ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪] – บทที่ 64 ไม่สามารถอดกลั้นความต้องการ

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

บทที่ 64 ไม่สามารถอดกลั้นความต้องการ

ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกเป็นกังวลมากๆ นั่นเพราะเธอน่ะรู้ดีว่าคนอย่างหานซือฉี พูดคำไหนคำนั้น เห็นทีคงต้องรีบหาวิธีที่จะแถเกี่ยวกับโทรศัพท์เครื่องนี้แทนเมื่อเขาได้มันไป

แต่ในตอนที่หานซือฉีเตรียมจะเดินเข้าใกล้เธอเพิ่มขึ้นอีก 1 ก้าว เฉินเฉี่ยวหลานก็เคาะประตูขึ้นเบาๆ และพูดธุระ “ท่านซือฉีคะ พี่ใหญ่โทรมาและบอกให้ท่านซือฉีรับโทรศัพท์ด้วยค่ะ”

เขาหยุดฝีเท้าลงและจ้องมองฝูเจิ้งเจิ้งอย่างเยือกเย็นก่อนจะเดินลงไปชั้นล่าง

ด้วยเสียงถอนหายใจอย่างโล่งอก ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบหยิบโทรศัพท์เครื่องเล็กนั้นขึ้นมาเพื่อปิดมันก่อนจะถอดซิมการ์ดออก เธอวิ่งออกไปที่ระเบียง หมายจะโยนซิมการ์ดทิ้ง แต่เมื่อคิดอยู่พักหนึ่ง เธอก็ตัดสินใจห่อซิมการ์ดนั้นด้วยกระดาษและเก็บมันไว้ใต้กระจกที่ใช้สำหรับแต่งหน้าแทน

เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น หานซือฉีก็กลับมายังห้องของเธออีกครั้ง

หญิงสาวก้มหน้าลงด้วยความหวาดหวั่น

ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่จ้องอยู่เงียบๆ พักใหญ่แล้วจึงพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “อยู่กับซิงซิงที่บ้าน”

เธอในตอนนี้ที่เตรียมใจโดนสอบสวนแล้วต้องช็อกไปกับสิ่งที่อีกฝ่ายพูด ก่อนจะรีบพยักหน้ารับในทันที

อย่างไรก็ตาม แก้มนุ่มของเธอก็ถูกมือหนาหยิกไว้ “ยังกล้าที่จะออกไปเดตกับชายอื่นอีกหรือเปล่า?”

นี่ขู่ฉันเหรอ? หรือหึง?

ฝูเจิ้งเจิ้งขมวดคิ้วก่อนจะตอบไป “ฉันไม่ได้ต้องการจะทำแบบนั้นอยู่แล้ว!”

“ไม่ต้องการเหรอ? ดี ดีมาก”

หลังจากพูดเช่นนั้นแล้ว หานซือฉีก็ปล่อยเธอและเดินจากไป

ถ้าฉันไปเดตกับผู้ชายจริงๆ มันจะหนักหัวนายหรือไงน่ะ?

ทีนายยังออกไปเดตกับผู้หญิงอื่นได้เลย…

ฮึ่ม!

ร่างบางไหลออกไปที่ระเบียงด้านนอกอีกครั้ง เธอเห็นรถของหานซือฉีกำลังขับออกไปช้าๆ ยังหน้าประตูย่านที่อยู่อาศัยนี้ จากนั้นก็ค่อยๆ ก้มหัวต่ำลงเพื่อพักสมองจากเรื่องวุ่นวายเมื่อครู่

ในทันทีที่เธอเดินลงมาด้านล่าง ฝูซิงที่กำลังต่อตัวต่ออยู่ก็พูดกับเธอเสียงดัง “หม่ามี๊ ฝูซิงกินบิสกิตหมดแล้ว!”

ยามเมื่อประโยคนี้เข้าหู แววตาของฝูเจิ้งเจิ้งก็เปล่งประกายขึ้นมาด้วยแสงแห่งความหวัง เธอตอบไปอย่างรวดเร็ว “โอเค! งั้นเดี๋ยวหม่ามี๊จะออกไปซื้อให้เดี๋ยวนี้เลย”

“ฝูซิงไปด้วย!” ฝูซิงรีบวางตัวต่อในมือทันที

“ไม่จ้ะ” เธอคิดไว้แล้วว่าถ้าตอบแบบนี้ฝูซิงบุ้ยปากให้แน่ๆ และมันก็เป็นจริง เพราะงั้นจึงพูดเสริม “ตอนที่ป๊ะป๋าของลูกกำลังจะออกไป เขาบอกหม่ามี๊ว่าอย่าให้ลูกออกไปข้างนอกโดยเด็ดขาด เพราะเดี๋ยวจะป่วยเอาได้ แล้วถ้าลูกป่วยอีก ลูกก็จะต้องไปฉีดยากับกินยาอีกนะ”

ได้ยินดังนั้นฝูซิงก็ไม่ได้เลิกบุ้ยปากในทันที หากแต่ก็ยอมกลับไปนั่งเล่นตัวต่อดังเดิม

เธอรู้ว่าลูกชายของตนนั้นยอมแพ้แล้ว ดังนั้นจึงพูดด้วยรอยยิ้มต่อ “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมป๊ะป๋าของลูกมักจะบอกว่าฝูซิงเป็นเด็กดีเสมอ ถ้างั้นเดี๋ยวหม่ามี๊จะซื้อของอร่อยๆ กลับมาด้วยก็แล้วกัน โอเคมั้ยจ๊ะ?”

“โอเค” ฝูซิงพยักหน้า ดูเหมือนว่าการเอาชื่อหานซือฉีมาอ้างนี่จะได้ผลดีกับฝูซิงจริงๆ

ฝูเจิ้งเจิ้งมีความสุขอยู่ในใจลึกๆ เธอเดินไปหยิบกระเป๋าที่ด้านบน ลงมาทักทายเฉินเฉี่ยวหลานด้านล่างก่อนจะเปิดประตู

“หม่ามี๊ กลับมาเร็วๆ นะ อย่าให้ฝูซิงรอนาน”

“เข้าใจแล้วจ้า~” ฝูเจิ้งเจิ้งโบกไม้โบกมือให้ลูกชายของตนก่อนจะยิ้มหน้าระรื่นออกจากบ้านไป

บริเวณหน้าปากทางเข้าย่านที่อยู่อาศัยปัจจุบัน ฝูเจิ้งเจิ้งโบกแท็กซี่และมุ่งตรงไปยังรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางทันที เมื่อไปถึงแล้ว ขณะที่เธอกำลังยืนอยู่หน้าประตูทางเข้านั้น ความกังวลก็ครอบงำจิตใจของเธออีกครั้ง โทรศัพท์ที่ไร้ซึ่งสายเรียกเข้าถูกหยิบขึ้นมาเพื่อแสร้งว่ากำลังโทรศัพท์ ขณะเดียวกันก็เดินเข้าไปภายในรีสอร์ทนั้นอย่างใจเย็นด้วย

หญิงสาวค่อยๆ เดินผ่านเส้นทางที่พอจะจำได้จากการมาครั้งล่าสุด

ทว่า เพราะรีสอร์ทที่นี่นั้นจัดได้ว่าใหญ่และกว้างขวางมาก หนำซ้ำเธอยังเคยมาแค่ครั้งเดียว มันจึงทำให้เธอไม่สามารถหาบ้านหลังดังกล่าวได้แม้จะเดินวนไปวนมา 2 รอบแล้ว

เธอเข้าไปหลบใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งเพื่อนึกถึงสถานที่และเหตุการณ์เมื่อเจอจีหมู่เซี่ยนที่นี่วันนั้น จากนั้นภาพของศาลาเล็กๆ ก็ปรากฏขึ้นมาในหัว ศาลาที่ว่านั้นอยู่ตรงข้ามกับบ้านที่จีหมู่เซี่ยนอยู่ในวันนั้น

อ๊า ใช่แล้ว! ต้องหาศาลาเล็กๆ ให้เจอก่อน!

เมื่อคิดได้ดังนั้น ร่างบางก็ออกจากใต้ร่มไม้และเริ่มออกตามหาศาลาเล็กๆ ทันที พลันเมื่อเห็นเค้าโครงของศาลาอยู่ตรงหน้า เธอก็อดไม่ได้ที่จะก้าวเท้าวิ่งด้วยความดีใจ

ในตอนนั้นเอง ชายคนหนึ่งก็เดินออกมาจากบ้านฝั่งตรงข้ามพอดี แต่ฝูเจิ้งเจิ้งหาได้สนใจไม่ เพราะตอนนี้ในหัวเธอมีแต่บ้านเก่าๆ หลังนั้นเท่านั้น

“เธอตามหาฉันอยู่หรือไง?” เสียงของหานซือฉีดังขึ้นมาจากไม่ไกลนัก มันทำเอาขาของฝูเจิ้งเจิ้งที่ย่ำไปข้างหน้านั้นแทบจะอ่อนแรงและพลิกคว่ำไปในทันที

เธอรีบหันกลับไปมองและพบว่าเขาไม่ได้มาแค่เสียง หากแต่ยืนอยู่ไม่ไกลจากตนนักตัวเป็นๆ เลย!

ทำไมเขาถึงมาอยู่ที่นี่น่ะ?

ฝูเจิ้งเจิ้งกัดริมฝีปากตนเอง แม้จะอยากร้องไห้ขนาดไหนแต่น้ำตาก็ไม่ยอมไหลออกมา จริงๆ การที่จะเจออีกฝ่ายในรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกนักหรอก เพราะยังไงซะที่นี่ก็เป็นของตระกูลหานอยู่แล้ว เธอควรจะโทษตัวเองดีกว่าที่มาที่นี่โดยไม่ยอมคิดให้ดีกว่านี้

“ไม่ใช่เหรอ? หรือว่ามาหาคนอื่น?”

“อ-เอ่อ… อ้อ ฉันไม่ได้มาหาใครหรอกค่ะ พอดีฉันได้ยินมาว่าที่นี่วิวสวย ก็เลยมาดูวิวเฉยๆ …”

จะให้คนอย่างหานซือฉีเชื่อเหตุผลที่แปลกประหลาดนี้ได้ยังไงกันนะ?

เขาจ้องเธอราวกับจะเอามีดจิ้มลงมากลางอกของเธอให้ได้ ก่อนจะถามขึ้นมาอีกครั้งด้วยเสียงที่ดังขึ้น “ฝูเจิ้งเจิ้ง เธอนี่ขยันขัดคำสั่งฉันจังเลยนะ?”

“ฉันไม่มีอิสรภาพที่จะออกมาเดินเล่นในที่ๆ ฉันอยากมาเลยหรือไงคะ?” คำถามกึ่งประชดประชันของเขานั้นทำให้เธอหงุดหงิดขึ้นมาเสียแล้ว

“กลับบ้านไปซะ!”

หญิงสาวหันหน้าไม่สนใจและมองไปทางอื่น และทันใดนั้น บ้านเก่าๆ ที่ตามหาก็ปรากฏตรงหน้าเธอแล้ว!

ท่าทีของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นมันสร้างความหงุดหงิดให้แก่หานซือฉีเช่นกัน “ดูเหมือนว่าบทเรียนที่ฉันให้ไปเมื่อคืนจะไม่ได้เข้าหัวเธอเลยสินะ!”

ครั้งนี้ฝูเจิ้งเจิ้งยกระดับจากรำคาญเป็นโกรธแล้ว “หานซือฉี! นายไม่มีสิทธิ์ทำแบบนั้นกับฉัน!”

“ปีกกล้าขาแข็งที่จะเถียงแล้วนี่!”

ใจจริงฝูเจิ้งเจิ้งก็ไม่ได้อยากจะเถียงอะไรนักหรอก แต่มันอดกลั้นความคันปากนี้ไม่ได้จริงๆ

ด้วยนิสัยตามปกติของเธอเองก็ไม่ใช่พวกหาเรื่องใครก่อน นี่ก็พยายามอดทนแบบสุดๆ แล้ว

เอาสิ ต่อให้เป็นนายก็เถอะ จะกล้าทำอะไรชั่วร้ายในที่สาธารณะแบบนี้หรือเปล่าล่ะ! ขู่อะไรไม่ดูสิ่รอบข้างเลย

แน่นอนว่าฝูเจิ้งเจิ้งนั้นลืมคิดถึงผลที่จะตามมาในเย็นนี้เสียสนิท

ในขณะที่หานซือฉีกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง โทรศัพท์ของเขาก็ดังขึ้นเสียก่อน

เมื่อเห็นว่าเขาต้องรับโทรศัพท์ เธอก็เลยถือโอกาสเดินปลีกตัวออกไป ทว่าอีกฝ่ายก็จับแขนเธอไว้เสียก่อน

“ฝูเจิ้งเจิ้ง กลับบ้านภายในครึ่งชั่วโมงนี้ซะ ไม่งั้นแล้วเธอจะไม่ได้กลับไปอีก!”

“คิดว่าฉันอยาก….”

“เธอคิดว่าซิงซิงจะอยากไปกับเธอหรือไง?”

“นี่นาย! ช่วยทำให้มันชัดเจนด้วยว่าฝูซิงเป็นลูกของฉันน่ะ!”

“คุณหานครับ คุณเฉียวกับท่านประธานหานกำลังรออยู่ที่ประตูแล้วครับ” ยามรักษาความปลอดภัยรีบวิ่งเข้ามาด้วยความเหนื่อยหอบ

“รู้แล้ว”

น้ำเสียงที่หยาบกระด้างของหานซือฉีนั้นทำเอายามรู้สึกหวาดกลัวได้เช่นกัน แต่เขาก็จำเป็นต้องพูดต่อ “ท่านประธานหานบอกให้คุณหานรีบๆ ไปครับ เขาบอกว่ายังมีเรื่องต้องทำกันอีกเยอะ”

พลันเมื่อเห็นว่าหานซือฉีกำลังเหลือบมองมายังตน ยามผู้น่าสงสารก็ได้แต่ปาดเหงื่อแล้ววิ่งหนีกลับไปยังทิศทางที่มาอย่างรวดเร็ว

“เข้าใจที่ฉันพูดแล้วหรือยัง?”

“ค่า ค่า จะรีบกลับไปทันทีเลยค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งทำเป็นยอมจำนนและพยักหน้าเหมือนไก่จิกข้าว

เพราะด้านหน้ารีสอร์ทนั้นมีทั้งเฉียวเค่อเหรินและหานซือเซียนอยู่ การจะพาเธอออกไปด้วยมันจึงไม่สะดวกนัก ดังนั้นเขาจึงทำได้แค่หันกลับมาจ้องฝูเจิ้งเจิ้งและขู่เตือนไปอีกครั้งก่อนจะออกไปก่อนเท่านั้น

แววตานั่นราวกับจะหั่นเธอเป็นชิ้นๆ เห็นกี่ครั้งก็ไม่ชินสักที และเพราะแบบนี้ เมื่อเห็นเขาหายไปแล้ว เธอจึงแอบบ่นเขาอยู่ลับๆ ทิ้งท้าย

ดูเหมือนหานซือเซียนจะหาเรื่องให้ทั้งคู่เดตกันอีกแล้วสินะ ฮึ่ม

เพราะงั้นก็เชิญเดตให้สนุกนะจ๊ะ แล้วอย่าหวังเลยว่าฉันจะยอมกลับไปง่ายๆ!

ฝูเจิ้งเจิ้งหันมองไปรอบๆ และในขณะที่เธอเตรียมจะก้าวเท้าเดินต่อ เธอก็พบว่าจีหมู่เซี่ยนนั้นยืนอยู่ไม่ไกลจากเธอนัก ชายคนนั้นกำลังจ้องมองมายังตนอยู่

พระเจ้า!

เพิ่งสลัดตัวยุ่งยากทิ้งไป นี่ต้องมาเจอกับศัตรูใหม่อีกเหรอเนี่ย!?

สงสัยวันนี้โชคชะตาจะไม่อยากให้มาสำรวจบ้านเก่านั่นสินะ!

เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจกล่าวทักทายอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม “อ้าว เจ้าหน้าที่จี บังเอิญจังเลยนะคะ”

เมื่อสังเกตดีๆ และพบว่าอีกฝ่ายนั้น ต่อให้ไม่ได้สวมชุดยูนิฟอร์ม เสื้อผ้าที่สวมก็ยังเป็นสไตล์เก่าๆ อยู่ เธอก็ชักจะสงสัยแล้วว่าสรุปคนๆ นี้มารับงานเสริมเป็นยามรักษาความปลอดภัยที่นี่หรือเปล่า? รวมไปถึงหญิงสาวที่ดูใจดีคนนั้นเมื่อมาครั้งล่าสุดเอง เป็นแม่แท้ๆ ของเขาจริงเหรอ?

“มาชมวิวอีกแล้วเหรอ?”

“อ-เอ่อ… ใช่ค่ะ แหะๆ แล้วคุณล่ะ?” หญิงสาวฝืนยิ้มออกไป เธอค่อนข้างกลัวชายคนนี้ระดับหนึ่ง เขาดูเป็นคนที่พร้อมจะล้วงความลับเธออยู่ทุกเมื่อ

จีหมู่เซี่ยนมองมายังคนตรงหน้าและถามออกมาแทนที่จะตอบ “กับชายคนเมื่อครู่ เพื่อนเหรอ?”

โดนถามเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ถึงกับตกใจแล้วรีบเฉไฉไปเรื่องอื่นทันที “คนนั้น…อ๊ะ เพื่อนค่ะ เพื่อน ขอบคุณจริงๆ เลยนะคะสำหรับคืนนั้น”

“ไม่เป็นไร”

“หลายสิ่งหลายอย่างที่คุณทำให้ฉันมันช่างมากมายเหลือเกิน ฉันไม่รู้จะขอบคุณยังไงถึงจะคุ้มค่า”

“ก็บอกแล้วว่าไม่เป็นไร”

“งั้นถ้ายังไงครั้งหน้าให้ฉันได้เชิญคุณไปทานข้าวเย็นด้วยกันเพื่อแสดงความขอบคุณนะคะ”

“ได้”

“เอ๊ะ?” เธอไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงมาแบบนั้น ทั้งๆ ที่จริงๆ เธอตั้งใจจะพูดไปตามมารยาทเฉยๆ หญิงสาวรีบใช้รอยยิ้มซ่อนความเลิ่กลั่กของตนไว้ก่อนจะพูดต่อ “ถ้ายังไงเดี๋ยวสะดวกแล้วฉันจะติดต่อคุณไปอีกที วันนี้ฉันต้องไปแล้ว ฝูซิงกำลังรอให้ฉันกลับบ้านอยู่”

ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มแห้งๆ ทิ้งท้ายก่อนจะปลีกตัวออกมา สีหน้าของเธอนั้นดูจะหน่ายกับสถานการณ์ในวันนี้มาก

ดูท่าว่าการลักลอบเข้ามาภายในนี้คงจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเสียแล้ว อุปสรรคมันมากมายเต็มไปหมด เห็นทีจะต้องหาโอกาสที่เข้ามาได้อย่างปกติเสียที

หลังจากที่ออกมาแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เดินทางไปยังย่านอันจูต่อเพื่อหาเจ้าของร้านคนนั้น ย่าลิ่ว เพื่อที่จะได้ถามเกี่ยวกับบ้านของเหนียนซี่ ถึงจะไม่ได้วางแผนจุดนี้ไว้ตั้งแต่แรก แต่อย่างน้อยๆ ก็คงต้องขอพึ่งโชคเสียหน่อย

แต่แล้วโชคก็ไม่ได้เข้าข้างเธอในวันนี้ นั่นเพราะย่าลิ่วเองก็ไม่ได้รู้อะไรเกี่ยวกับบ้านหลังนั้นเลยเหมือนกัน

จะเป็นไปได้ไหมนะที่ลิ่วหลินจะรู้เรื่องของบ้านเก่าๆ ที่เป็นเป้าหมายของเธอ?

เหลียวมองเวลา แล้วก็พบว่านี่เป็นเวลาทุ่มกว่าๆ แล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งเดาว่าวันนี้หานซือฉีที่อยู่กับเฉียวเค่อเหรินคงไม่ได้กลับบ้านเร็วแน่ๆ ดังนั้นแล้วเธอจึงมุ่งหน้าไปยังโรงน้ำชาฉีซิงต่อในทันที

เมื่อเดินเข้ามาในโรงน้ำชาฉีซิงแล้ว เธอก็พบว่าบรรยากาศในวันนี้ดูจะเงียบเหงาลงไปเสียหน่อย ดูลูกค้าจะน้อยกว่าปกติ

ลิ่วหลินที่เฝ้าหน้าร้านนั้นตาลุกวาวเมื่อเห็นฝูเจิ้งเจิ้งมายังโรงน้ำชา แต่พลันเมื่อเธอส่ายหน้าให้เบาๆ แววตาที่ลุกวาวก็ค่อยๆ หมองลงไป

มองจากยอดตึกก็รู้ว่าเขาน่ะผิดหวัง แต่เพราะที่แห่งนี้ยังมีคนอยู่ เขาถึงไม่สามารถเข้ามาถามอะไรได้

เธอบุ้ยปากไปทางหลังร้านก่อนจะรีบเดินนำเข้าไปก่อน

คุณนายหลี่ที่กำลังต้มน้ำอยู่ด้านหลัง เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งมาที่โรงน้ำชา เธอก็ตกใจและถามด้วยความตื่นเต้น “อาเจิ้ง เมื่อคืนเธอเป็นอะไรหรือเปล่า?”

คำถามนั้นไม่น่าจะหมายถึงเรื่องอื่นนอกจากที่เธอโดนหานซือฉีไล่ปล้ำที่ร้านนี้ ดังนั้นหญิงสาวจึงส่ายหน้า “ฉันไม่เป็นไรค่ะ เหตุการณ์มันไม่ได้แย่เหมือนที่คุณหลี่เป็นหว่งหรอก”

“ได้ยินแบบนั้นก็ชื่นใจหน่อย” คุณนายหลี่โล่งอก “ยังไงก็เถอะ ฉันต้องขอโทษที่ทำให้เธอต้องเจอกับเหตุการณ์แบบนั้นด้วยจริงๆ นะ”

ฝูเจิ้งเจิ้งรู้ดีว่าที่คุณนายหลี่ต้องรีบร้อนไปหมดเมื่อคืนก็เพราะ หลี่อวิ๋นนั้นเป็นหลานสาว มันไม่ใช่เรื่องแปลกหากน้าจะห่วงหลานขนาดนี้ ดังนั้นเธอจึงส่ายหน้าด้วยรอยยิ้มก่อนจะเข้าไปช่วยต้มน้ำด้วยอีกแรง

ระหว่างที่ฝูเจิ้งเจิ้งอยู่หลังร้านนั้น ลิ่วหลินก็แว้บเข้ามาอยู่หลายครั้ง แต่เพราะคุณนายหลี่ยังอยู่ที่นั่นด้วย เขาจึงไม่ได้พูดอะไรมากนอกจากแกล้งพูดไปว่าจะชวนฝูเจิ้งเจิ้งไปหาขนมกินเล็กๆ น้อยๆ

ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าใจความหมายในสิ่งที่เขาอยากจะสื่อได้ จึงพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

ตอนนี้เป็นเวลากว่า 5 ทุ่มเข้าไปแล้ว แขกหลายคนเองก็เริ่มกลับกันแล้วด้วย ลิ่วหลินกลับเข้ามาที่ด้านหลังร้านอีกครั้ง เขาทักทายคุณนายหลี่ก่อนจะเตรียมที่จะพาฝูเจิ้งเจิ้งออกไป

ขณะนั้นเอง หลี่อวิ๋นก็เข้ามาพอดี เธอคนนั้นเข้ามาดึงตัวฝูเจิ้งเจิ้งไว้ก่อนจะกล่าวขอโทษและขอไปหาขนมทานด้วย

การกระทำเช่นนี้มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งนึกถึงสิ่งที่คุณนายหลี่บอกเธอเอาไว้ว่า หลี่อวิ๋นนั้นตกหลุมรักลิ่วหลินอยู่ นี่แสดงว่าอีกฝ่ายกำลังเข้าใจเธอผิดอยู่อย่างงั้นสินะ?

ลิ่วหลินเองก็ดูจะตระหนักเรื่องนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงเปลี่ยนเป็นพาทั้งสองสาวนี้ออกไปแทน

เมื่อประตูเปิด หวางซิง ผู้ที่อยู่เวรกะเดียวกับลิ่วหลินก็ขอตามไปด้วย ครั้นลิ่วหลินปฏิเสธ หวางซิงก็ขยิบตาให้แล้วเข้ามากระซิบ “พี่ลิ่ว ที่ปฏิเสธไม่ให้ฉันไปด้วยเนี่ย เพราะพี่ไม่ชอบฉันเหรอ? หรือจริงๆ พี่คิดจะไปเล่นสนุกกับสองสาวนี่ตามลำพังกันแน่?”

ได้ยินดังนั้นลิ่วหลินก็ไม่ได้พูดอะไรมาก เขามองไปยังฝูเจิ้งเจิ้งอย่างช่วยไม่ได้ แล้วก็ตัดสินใจให้หวางซิงเดินนำทางไปด้วย

เรื่องในคืนนี้มันชักจะยุ่งยากไปกันใหญ่แล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งไม่เข้าใจว่าทำไมแค่การมาหาขนมกินนั้นถึงต้องมีปัญหาเยอะขนาดนี้ ครั้นจะให้ปลีกตัวออกก็ดูจะหักหน้าพวกเขามากไป ดังนั้นเธอจึงจำเป็นต้องไปอย่างเลี่ยงไม่ได้

ทั้งหมดเดินมาจนถึงร้านอาหารเล็กๆ แห่งหนึ่ง ซึ่งหวางซิงก็ไม่รอช้าที่จะรีบสั่งอาหารมาให้ทุกคนด้วยความอัธยาศัยดี จากนั้นก็วางขวดเบียร์ลงตรงหน้าตนเอง

สองสาวนั้นไม่สามารถดื่มเบียร์ได้ทั้งคู่ เพราะงั้นพวกเธอจึงเลือกดื่มอะไรเบาๆ และหนักไปทางทานอาหารบนโต๊ะแทน

หวางซิงนั้นเป็นพวกพูดเก่ง และปากหวาน เขาไม่ได้บังคับให้สาวๆ ดื่มเลยแม้แต่นิด กลับกันเขากับเลือกที่จะยุให้ลิ่วหลินดื่มเข้าไปอีกเรื่อยๆ

เมื่อลิ่วหลินเริ่มมีท่าทีว่าจะดื่มมากเกินไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็เตะเขาที่ใต้โต๊ะเพื่อเรียกสติ อีกฝ่ายสามารถเข้าใจท่าทีนี้ได้ เขาจึงเลิกที่จะดื่มไว้แต่เพียงเท่านั้น

ในเมื่อลิ่วหลินปฏิเสธแล้ว หวางซิงก็ไม่คะยั้นคะยอต่อ เขาบอกว่าตัวเขาจะกลับไปทำงาน และเป็นฝ่ายลุกออกไปก่อน

ขณะที่ลิ่วหลินเตรียมจะส่งหลี่อวิ๋นไปด้วยเหมือนกัน เขาก็พบว่าหน้าของหญิงสาวคนนี้มันแดงไปหมด แล้วไหนจะยังแขนขาที่ดูอ่อนแรงอีก เธอดูจะไม่ปกติเสียแล้ว

“พี่ลิ่ว หลี่อวิ๋นดื่มมากเกินไปหรือเปล่าคะ?”

แม้ว่าฝูเจิ้งเจิ้งเตรียมจะเข้าไปช่วยหลี่อวิ๋น แต่ลิ่วหลินก็ผลักเธอออกไปข้างๆ ก่อน “เธอกลับไปก่อน ไว้เดี๋ยวฉันมีเวลาแล้วจะติดต่อไป ฉันจะพาหลี่อวิ๋นกลับไปเอง”

พูดจบลิ่วหลินก็พาหลี่อวิ๋นออกไปนอกร้านทันที เมื่อมองตามหลังไป ความรู้สึกแปลกๆ ก็ปรากฏขึ้นในใจเธอเอง และเมื่อเธอมองเวลา เธอก็พบว่านี่มันเกือบจะเช้าแล้ว!

พระเจ้า! ทำไมฉันถึงอยู่นอกบ้านดึกขนาดนี้นะ!

ด้วยความกังวลว่าหานซือฉีจะกลับไปถึงบ้านก่อน เธอจึงรีบกลับบ้านไปอย่างรวดเร็ว

——————————————————————————————————–

คุยกับผู้แปล

พวกหล่อนจิบเครื่องดื่มเบาๆ จะเอาอะไรมาเมาน่ะ? อ๊อกซิเจนในน้ำเหรอ?

-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

Status: Ongoing
เรื่องราวชีวิตของคุณแม่ยังสาว ฝูเจิ้งเจิ้ง และลูกชายตัวแสบของเธอ ฝูซิง เด็กน้อยที่เฝ้าแต่จะตามหาผู้เป็นพ่อให้ได้ วันดีคืนดีเจ้าตัวน้อยดันไปเจรจาซื้อผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นคุณพ่อของเขาเสียนี้ฝูเจิ้งเจิ้ง สาวสวยวัย 24 ปีผู้ที่วุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงลูกน้อยอย่าง ฝูซิง ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวของเธอนั้นแม้จะยุ่งยากไปบ้างแต่ชีวิตในแต่ละวันก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในบริษัทเว่ยฮั่น ใครจะไปคิดเล่าว่าจู่ๆ เจ้าลูกชายตัวแสบของเธอจะเก็บเงินแล้วไปหาซื้อป๊ะป๋ามาเติมเต็มให้ชีวิตแบบไม่บอกเธอเสียอย่างงั้น แถมป๊ะป๋าคนใหม่ของเขา ดันเป็นรองประธานบริษัทเว่ยฮั่นที่เธอเพิ่งจะสมัครเข้าทำงานอีก!? ตายละ แล้วแบบนี้ชีวิตฉันจะเป็นยังไงต่อไปเนี๊ย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท