บทที่ 66 ฝูซิงไปไหน?
ด้วยความตื่นกลัวฝูเจิ้งเจิ้งรีบปลีกตัวหลบออกมาทันที “เป็นบ้าไปแล้วหรือไงคะ! ปล่อยฉันไปเดี๋ยวนี้เลย! ถ้ายังทำแบบเมื่อกี้อีกฉันจะโกรธรุ่นพี่จริงๆ ด้วย!”
เมื่อเห็นว่าริมฝีปากของหยางเต๋ายังคงวกกลับเข้ามาหาเธออีกครั้ง ฝูเจิ้งเจิ้งจึงหยิกเขาไปแรงๆ ที่มือของเขาจนเจ้าตัวต้องชักมือกลับไปด้วยความเจ็บปวด ในทันทีที่อีกฝ่ายหันไปสนใจความเจ็บปวดที่มือ หญิงสาวก็รีบถอยห่างออกไม่รอช้าฝ่ามือเรียวบางตบเข้าไปที่หน้าของเขาเต็มแรง เธอก้มมองมือของตนที่มีรอยแดงจากการตบเมื่อครู่ด้วยความตกใจ
ชายหนุ่มยกมือขึ้นจับใบหน้าฝั่งที่เพิ่งจะโดนตบไปเมื่อครู่ด้วยความตกใจเช่นกัน
“ข-ขอโทษค่ะ…รุ่นพี่…”
“ขอโทษ…เจิ้งเจิ้ง”
ทั้งสองเสียงกล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกผิดด้วยกันทั้งคู่
หยางเต๋าผู้ที่ได้สติจากแรงตบเมื่อครู่นั้นรีบหันหน้าหนีไปทางอื่น เขาไม่กล้าสู้หน้าฝูเจิ้งเจิ้งอีกแล้ว
“ฉันรู้ดีว่ารุ่นพี่น่ะพยายามเพื่อฉันมาตลอดนะคะ… แต่รุ่นพี่เองก็น่าจะรู้…ว่าเรื่องของความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้ รุ่นพี่น่ะเป็นรุ่นพี่ที่ฉันเคารพรักที่สุดเสมอ…และมันจะเป็นแบบนั้นตลอดไป” พูดจบ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบเดินจากไปทันที
“เดี๋ยวก่อน” หยางเต๋าเดินตามและวางโทรศัพท์ของเล่นลงไปในมือของเธอ ซึ่งรูปร่างของมันเหมือนกับโทรศัพท์เครื่องเล็กที่เคยให้ไว้ก่อนหน้านี้ “นี่…สิ่งที่เธอต้องการ”
ในตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งรับมันไปและเตรียมที่จะจากไปอีกรอบ หยางเต๋าก็รั้งเธอไว้อีกก่อนจะพูดขึ้นช้าๆ “เจิ้งเจิ้ง ฉันขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้น…ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว…ได้โปรด อย่าโกรธฉันเลยนะ…ได้ไหม?”
ฝูเจิ้งเจิ้งจึงพยักหน้าให้ด้วยรอยยิ้มก่อนจะจากไป
ตลอดมาเธอน่ะมองหยางเต๋าเป็นพี่ชายเสมอ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เธอพูดไปแบบนี้ เขาบอกเธอมานานแล้วถึงความรู้สึกที่เขามี และเธอเองก็บอกเขาตลอดว่าเธอไม่ได้คิดอะไรเกินเลยกับเขา แต่เขาก็ดื้อไม่ยอมฟัง
ถึงอยากจะบอกว่า นอกจากใจตัวเองแล้ว เธอก็ไม่สามารถควบคุมใจใครได้หรอกนะ แต่มันก็มีกรณียกเว้นอยู่นิดหน่อย
อย่างเช่นการที่เธอไม่สามารถควบคุมใจตนเองได้เวลาคิดถึงหานซือฉี ความจริงที่เขามีคู่หมั้นแล้วมันคอยที่จะตอกย้ำเธอทุกครั้งที่คิดถึงเขา แต่ท้ายสุดก็ไม่สามารถสลัดเรื่องเขาออกจากหัวได้เสียที
ต้องรีบๆ หาเหนียนซี่ให้เจอ จากนั้นก็จะได้กุญแจเจ้าปัญหามาด้วย เมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้น เธอก็จะกลับไปเมือง A คอยอยู่ให้ห่างจากหยางเต๋าและหานซือฉี เท่านี้ก็จะสามารถใช้ชีวิตที่สงบสุขและเรียบง่ายกับฝูซิงได้
เมื่อมองนาฬิกาข้อมือของตน มันยังพอมีเวลานิดหน่อยก่อนจะเข้างานรอบบ่าย หลังจากที่โทรไปถามสวี่เหยียนและมั่นใจแล้วว่าหานซือฉียังไม่เข้าออฟฟิศ เธอก็โทรเรียกลิ่วหลินเพื่อให้ไปพบกันที่คาเฟ่ใกล้ๆ กับโรงน้ำชาฉีซิงที่เขาทำงานตอนกลางคืน
ในทันทีที่ทั้งสองพบกัน ฝูเจิ้งเจิ้งก็พบว่าสีหน้าของลิ่วหลินนั้นดูไม่ค่อยดีเอาเสียเลย เธอจึงชิงถามก่อนว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขา
ลิ่วหลินส่ายหน้าแทนคำตอบและเป็นฝ่ายดึงกลับเข้าเรื่องที่เขาคาใจมาตลอด “ครอบครัวของเธอเจอกุญแจหรือยัง?”
“จริงๆ ฉันก็หวั่นที่จะบอกความคืบหน้าแหละค่ะ แต่พวกเรายังหากันอยู่เลย” แม้จะไม่ได้ผลลัพธ์ที่เป็นชิ้นเป็นอันมาทำให้เขาสบายใจขึ้น แต่เธอก็ไม่พลาดที่จะทิ้งความหวังไว้ให้เขาพร้อมกับหาลู่ทางที่จะล้วงเอาคำตอบที่เธอต้องการจากเขามาด้วย “เอ้อ พี่ลิ่วคะ หลายวันมานี้ที่ครอบครัวฉันพยายามหากุญแจให้ พวกเขาพูดถึงบ้านหลังเก่าๆ หลังหนึ่งที่อยู่ตั้งอยู่ในเขตของรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางน่ะค่ะ พอดีฉันพาพวกเขาไปที่นั่นและเจอบ้านหลังนั้นอยู่ พอจะรู้อะไรบ้างไหมคะ?”
“ที่รีสอร์ทนั่นไปก็ไม่ได้อะไรกลับมาหรอก มันไม่เหลือความเป็นบ้านเก่าของพวกเราอีกต่อไปแล้ว”
“แต่ฉันเจอบ้านเก่าๆ ที่ไม่เหมือนกับรีสอร์ทหลังอื่นๆ อยู่นะคะ ดูเหมือนว่าบ้านหลังนั้นจะเป็นบ้านเซ็ตเดียวกับเมื่อครั้งมันยังเป็นชุมชนของพวกเราที่ยังไม่ถูกทำลายลงไป…”
เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ลิ่วหลินสามารถทำใจเชื่อได้ยาก และเขาก็ไม่อยากจะเชื่อด้วย “จะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? เมื่อตอนที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางถูกสร้างขึ้นน่ะ บ้านทุกหลังถูกทุบทิ้งหมดแล้วนะ”
“เอ๊ะ—ฮ่าๆๆๆ งั้นฉันน่าจะจำผิดเองนั่นแหละค่ะ ฉันเองก็คิดว่ามันเป็นไปไม่ได้เหมือนกัน” เมื่อเห็นทีท่าว่าจะไม่ได้คำตอบ ฝูเจิ้งเจิ้งก็หัวเราะกลบเกลื่อนหัวข้อสนทนาและยิ้มทิ้งท้ายก่อนจะลุกขึ้นเพื่อกลับไปที่ทำงาน
“เดี๋ยวก่อน” ทันใดนั้น ลิ่วหลินก็หยุดเธอและถามขึ้นด้วยความกังวล “เมื่อเร็วๆ นี้เธอได้ไปมีเรื่องกับใครมาหรือเปล่า?”
“เอ๋? ฉันคิดว่าไม่นะคะ เกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ฝูเจิ้งเจิ้งงุนงง
ลิ่วหลินลังเลอยู่พักหนึ่งก่อนจะเอ่ยปากพูดในสิ่งที่เขาสงสัย
เรื่องที่คาใจเขานั้น ก็คือเรื่องที่หลี่อวิ๋นที่เมาอะไรสักอย่างเมื่อคืนนั้น ผลออกมาแล้วว่าในเบียร์มียาเสพติดอยู่
ฝูเจิ้งเจิ้งถึงกับผงะ นั่นเพราะเธอดื่มเบียร์ไปแค่แก้วเดียวเท่านั้นเอง เพราะงั้นหลี่อวิ๋นเลยเป็นฝ่ายดื่มเบียร์ที่เหลือของเธอแทน
“ม-มีใครที่จ้องจะทำร้ายฉันอยู่เหรอคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดออกมาด้วยความกระอั่กกระอ่วน
เขาพยักหน้า “ฉันคิดว่ามันน่าจะเป็นฝีมือหวางซิง เพราะฉันถามไปยังโรงน้ำชาแล้วก็พบว่าหวางซิงนั้นลาออกไปแล้ว แต่ฉันคิดว่าน่าจะเป็นเพราะเขามีหนี้แล้วโดนเจ้าหนี้ตามตัวมากกว่าก็เลยลาออก”
นี่มันมืดแปดด้านสุดๆ ตามปกติแล้วก็มีเรื่องกับหานซือฉีทุกๆ วัน แต่นอกจากหานซือฉีแล้วก็ไม่เจอคนอื่นอีกนะ…
ใครกันที่คิดจะทำร้ายเธอด้วยวิธีสกปรกแบบนี้?
“เจิ้งเจิ้ง เอาเป็นว่าเธอก็ระวังตัวเองด้วย แต่ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ช่วยฟังเรื่องน่าอนาถใจของฉันหน่อยเถอะ” ลิ่วหลินเห็นว่าปิดบังอีกฝ่ายไปก็คงจะหนักใจเปล่าๆ ท้ายสุดเขาจึงทำสีหน้าห่อเหี่ยวก่อนจะพูดต่อ “ฉันน่ะ รู้สึกดีกับหลี่อวิ๋นมาโดยตลอดเลยนะ แต่เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืน…เธอดันมาบังคับให้ฉันแต่งงานกับเธอซะงั้น เธอบอกว่าฉันต้องรับผิดชอบ”
“หลี่อวิ๋นก็เป็นคนสวยแถมยังนิสัยดีไม่ใช่เหรอคะ? ในเมื่อพี่ลิ่วชอบเธอ แบบนี้มันก็ดีนี่นา?”
“มันจะไปดีได้ยังไงเล่า! หลังจากเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนน่ะ ฉันปลีกตัวมานั่งคิดอยู่คนเดียวที่มุมเตียง จู่ๆ เธอก็ตื่นขึ้นมา ถามว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ ฉันก็บอกให้เธอหยุดก่อกวนฉันก่อน ฉันต้องการความสงบ แต่จู่ๆ เธอก็ตบหน้าฉัน แล้วบอกว่า ‘นายเป็นของฉันแล้ว เลิกคิดเรื่องอื่นได้แล้ว!’ เธอคิดว่าฉันควรจะแต่งงานกับผู้หญิงแบบนี้จริงๆ เหรอ?”
“อุ๊บ—-ฮ่าๆๆๆๆ” ฝูเจิ้งเจิ้งหลุดหัวเราะออกมาเสียงดังก่อนจะเข้าไปปลอบเขา “นั่นมันก็แสดงให้เห็นว่าเธอแคร์พี่ลิ่วไง”
“ลืมๆ มันไป ฉันรู้สึกหนักใจทุกครั้งที่พูดถึงเธอคนนั้น เจิ้งเจิ้ง เธอเองก็ต้องดูแลตัวเองดีๆ แล้วเมื่อเจอกุญแจแล้ว ก็ระวังโดนลอบทำร้ายเพิ่มด้วยล่ะ”
“โอเค ฉันเข้าใจแล้ว” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้ม และเมื่อมองไปยังนาฬิกา เธอก็รีบบอกลาอีกฝ่ายและกลับไปยังบริษัทเว่ยหานทันที
โชคยังดีที่หานซือฉียังไม่มา ไม่งั้นแล้วเธอคงได้โดนต่อว่าที่เข้าทำงานช่วงบ่ายช้าแน่ๆ
เมื่อนั่งลงไปแล้ว บทสนทนาระหว่างตนกับลิ่วหลินมันก็ลอยขึ้นมาในหัว ถ้าหากเขาเข้าใจถูก มีใครที่เกลียดเธอขนาดนี้อยู่ด้วยเหรอ?
ทำไมคนๆ นี้ถึงต้องจ้องจะทำร้ายเธอด้วยวิธีแบบนี้ด้วย?
ทำไมนะ…
“เจิ้งเจิ้ง!”
“เหวอ!”
“เธอคิดอะไรอยู่น่ะ?” เสียงของสวี่เหยียนดังมาจากประตู เธอเคาะประตูก่อนแล้วหากแต่ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ตอบ ก็เลยเปิดเข้ามาเรียก ใบหน้าสวยนั้นยิ้มให้เมื่อเห็นว่าสาวสวยอีกคนในห้องตอบสนองต่อตนแล้ว
“ข-ขอโทษที พอดีง่วงนิดหน่อยน่ะ แหะๆ แล้วว่าแต่เธอแอบมาคุยแบบนี้ได้เหรอ?”
สวี่เหยียนยิ้มอย่างภาคภูมิใจ “คุณหานไม่เข้าบริษัทบ่ายนี้นะ พอดีฉันได้ยินมาจากผู้จัดการหมินที่คุยโทรศัพท์กับคุณหานอยู่น่ะ ไม่งั้นแล้วเธอคิดว่าฉันจะกล้ามาคุยกับเธอในเวลาแบบนี้เหรอ?”
“เธอได้ยินหรือเปล่าว่าเขากำลังทำอะไรอยู่?”
“เขา? ใครน่ะ?” สวี่เหยียนถามด้วยความสงสัย
*แปะ*
ฝูเจิ้งเจิ้งตีหน้าผากที่ยื่นเข้ามาจากประตูของสวี่เหยียนไปเบาๆ ด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “รู้ยังว่าใคร?”
“อุ่ก— แล้วทำไมไม่พูดออกมาตรงๆ เลยเล่า! ใครจะไปรู้ว่าหล่อนใช้คำว่า ‘เขา’ แทนคำว่า ‘คุณหาน’ กันน่ะ! แล้วที่ถามนี่ทำไม? คิดถึง ‘เขา’ ขึ้นมาหรือไง?”
“ค-คิดถึงอะไรกันยะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง
“ก็ดี เจิ้งเจิ้ง ฉันจะเตือนเธอไว้อีกครั้ง ห้ามตกหลุมรักคุณหาน เธอต้องต่อต้าน ไม่ใช่เข้าร่วม! ต้องไม่ลืมว่าอีกฝ่ายเป็นเฉียวเค่อเหริน เธอไม่มีทางทำอะไรคนคนนั้นได้หรอก! แล้วว่าแต่เธอเคยคุยกับคุณหานเรื่องย้ายออกหรือยังนะ?”
เมื่อประเด็นเรื่องลามมาถึงเฉียวเค่อเหริน หัวใจของฝูเจิ้งเจิ้งก็ห่อเหี่ยวลงไปทันที ถ้าหากเฉียวเค่อเหรินรู้ว่าเธออาศัยอยู่ที่บ้านหานซือฉี บางทีคนคนนั้นอาจจะเกลียดเธอขึ้นมาทันทีเลยก็ได้…ใช่ไหมนะ?
จะว่าไป…หวางซิงที่ใส่ยาอะไรบางอย่างลงไปในเบียร์ที่หลี่อวิ๋นดื่มไป ใช่คนของเฉียวเค่อเหรินหรือเปล่า?
ในเมื่อครอบครัวของเธอร่ำรวยซะขนาดนั้น ถ้าตั้งใจจะทำล่ะก็ ไม่ใช่เรื่องยากเลย!
พลันเมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งดูแปลกไป สวี่เหยียนก็เอ่ยถามขึ้นมาด้วยความกังวล “เจิ้งเจิ้ง หรือว่ามีอะไรเกิดขึ้นแล้วเหรอ? นี่ อย่าทำให้ฉันกลัวสิ!”
“ป-เปล่า ไม่มี ฉันแค่คิดว่าเธอพูดถูกแล้วเฉยๆ น่ะ แหะๆๆ” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบส่ายหน้าในทันที เธอรู้ดีว่าสวี่เหยียนน่ะขี้กลัวขนาดไหน
“เจิ้งเจิ้ง ฉันน่ะรู้สึกไม่ดีตลอดเลยเกี่ยวกับที่อยู่ตอนนี้ของเธอ เพราะงั้นเธอรีบๆ ย้ายออกจะดีกว่านะ ไม่ช้าก็เร็ว แต่ขอให้ออกมาเถอะ”
“เข้าใจแล้ว” มองสวี่เหยียนที่พยักหน้าให้เธอทิ้งท้ายก่อนจะออกไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกหนักใจขึ้นมา
จริงๆ ก็ไม่ใช่แค่สวี่เหยียนที่รู้สึกไม่ดี ตัวเธอเองก็รู้สึกไม่ดีเหมือนกัน มันเริ่มตั้งแต่วันที่พวกเธอไปดูธารน้ำแข็งด้วยกันแล้ว หากไม่ใช่เพราะเฉียวเค่อเหริน ฝูซิงก็คงจะไม่กลิ้งตกลงไปในแม่น้ำนั้น!
นอกจากนี้ เธอยังรู้สึกอีกว่า เสียงร้องที่บอกว่า “ตรงนี้มีระเบิด” ที่ได้ยินตอนนั้นมันก็แค่เรื่องโกหก เป็นไปได้หรือเปล่าว่าทั้งหมดนี่อยู่ในแผนของเฉียวเค่อเหรินทั้งหมดเลย? หรือดีไม่ดีเฉียวเค่อเหรินก็อาจจะเป็นคนตะโกนเองเสียด้วยซ้ำ?
ถึงเรื่องมันจะผ่านมาพักใหญ่ๆ แล้วก็เถอะ แต่พวกคุณเองก็น่าจะจำได้ ว่าเพราะเสียงร้องนั่น มันทำให้ชีวิตเธอสองแม่ลูก รวมถึงจีหมู่เซี่ยนเกือบจะต้องเสียชีวิตไปด้วยเลย เลยหากไม่มีใครมาช่วยดึงเชือกกลับขึ้นไป
เธอจะไม่ยอมให้ฝูซิงต้องไปตกอยู่ในอันตรายเช่นนั้นอีกแน่ๆ ต่อให้ตัวเองจะต้องเจ็บถึงเพียงไหน แต่จะไม่ให้ฝูซิงต้องบาดเจ็บอีกแล้ว!
เมื่อนึกถึงลูกชายตัวแสบ ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกขึ้นได้ว่าเมื่อเช้าเขาบ่นเรื่อง ‘ของอร่อยๆ ของฝูซิงอยู่ไหน’ ไป ความไม่สบายใจมันกัดกินหัวใจของเธอด้วยคำพูดที่เจ้าตัวเล็กตั้งใจพูดหรือเปล่าไม่รู้
หญิงสาวหันมองซ้ายทีขวาทีด้วยความหวั่นใจ จะให้เลิกงานตอนนี้ก็ดูจะเร็วไปหน่อย แต่ถ้าจะให้รอจนถึงเวลาเลิกงานก็คงจะรอไม่ไหวด้วย คิดได้ดังนั้นเธอก็คว้ากระเป๋าถือแล้ววิ่งออกไปทันที
“เธอจะไปไหนน่ะเจิ้งเจิ้ง!” สวี่เหยียนรีบลุกตามมาติดๆ
“ฉันมีบางอย่างต้องไปทำน่ะ เพราะงั้นเลยจะเลิกงานเร็วหน่อย” ทว่าคำตอบที่ให้ไปนั้นดูจะไม่ได้คลายความกังวลให้สวี่เหยียนได้เลย ท้ายสุดเธอก็ต้องอธิบาย “ฝูซิงบอกว่ารู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนักเมื่อเช้า ตอนนี้ฉันไม่มีอะไรต้องทำ ก็เลยว่าจะไปที่โรงเรียนอนุบาลเพื่อดูแลเขาสักหน่อยน่ะ”
“อ๋า แบบนี้นี่เอง ถ้างั้นรีบไปเถอะ เดี๋ยวฉันจะทำงานส่วนของเธอเอง” คราวนี้สวี่เหยียนยิ้มออกมาแล้ว เธอรีบดันฝูเจิ้งเจิ้งไปยังลิฟต์ทันทีเพื่อไม่ให้เสียเวลา
ฝูเจิ้งเจิ้งหันกลับมายิ้มให้อีกฝ่ายทิ้งท้ายก่อนจะเดินเข้าลิฟต์ไป
หลังจากที่ออกมาจากตัวอาคารเว่ยหานได้แล้ว เธอก็รีบสาวเท้าไปยังโรงเรียนอนุบาลอย่างรวดเร็ว
ถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นฤดูหนาวที่อากาศหนาวสมชื่อ แต่การที่ต้องเดินด้วยความเร่งรีบบนถนนนั้นก็เรียกเหงื่อได้ดีเช่นกัน
ร่างที่มีเหงื่อซึมอยู่ภายใต้ชุดหนาสำหรับกันหนาวรีบปรี่ไปยังประตูห้องเรียนของฝูซิงและพบว่าผู้ปกครองรวมไปถึงเด็กๆ กำลังเรียนหัตถกรรมร่วมกันอยู่
ทว่าฝูซิงกลับไม่อยู่ในห้องนั้น ที่นั่งประจำของเขาเหลือเพียงเก้าอี้เปล่าๆ เท่านั้น
หลี่เสี่ยวเมิ่งที่เผอิญเหลือบมาเห็นฝูเจิ้งเจิ้งพอดี เธอก็เดินเข้ามาพร้อมกับยิ้มให้ “สวัสดีค่ะ คุณแม่ซิงซิง”
พลันเมื่อมั่นใจแล้วว่าลูกชายของตนไม่อยู่ในห้องแน่ๆ เธอก็รีบหันไปหาคุณครูหลี่ที่เข้ามาทักทายอย่างร้อนใจ “คุณครูหลี่คะ ฝูซิงไปไหนล่ะคะ? ทำไมเขาไม่อยู่ในห้องเรียน?”
“โอ้ ซิงซิงเหรอคะ” หลี่เสี่ยวเมิ่งนึกอะไรขึ้นมาได้ “คุณพ่อของเขาพาออกไปทานมื้อกลางวันด้านนอกหลังจากที่ทำงานฝีมือเสร็จตั้งแต่ช่วงเช้าน่ะค่ะ อืมมมม แต่ฉันยังไม่เห็นพวกเขากลับมากันเลยนะ”
“เอ๊ะ” เรื่องมันกลับกลายเป็นว่า ที่หานซือฉีไม่ได้เข้างานตลอดช่วงเช้านั่นก็เพราะมาทำหัตถกรรมกับฝูซิงที่โรงเรียนงั้นเหรอเนี่ย ฝูเจิ้งเจิ้งหัวเราะกับตัวเองที่ดูเหมือนจะคิดมากไป
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งใจเย็นลงแล้วเตรียมจะกลับ หลี่เสี่ยวเมิ่งก็ยิ้มให้เธออีกครั้ง “ไม่ต้องกังวลไปนะคะ ฉันคิดว่าเดี๋ยวพวกเขาก็คงจะพาซิงซิงกลับมาแล้ว”
“พวกเขา? มีใครอื่นอีกเหรอคะ?” ความรู้สึกไม่ดีเกิดขึ้นในใจของฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้ง
“คุณเฉียวเค่อเหริน อาสาสมัครของที่นี่ค่ะ”
เฉียวเค่อเหริน?
ภายในหัวของฝูเจิ้งเจิ้งเหมือนโดนระเบิดลูกใหญ่หล่นทับ ผู้หญิงคนนั้นอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย!
ดูท่าเธอจะปล่อยเรื่องนี้ไปแบบสบายๆ ไม่ได้ซะแล้ว
ฝูเจิ้งเจิ้งเดินไปจับไหล่ของหลี่เสี่ยวเมิ่งไว้ในทันทีและถามไถ่ “คุณครูหลี่คะ พวกเขาได้พูดไหมคะว่าจะไปกินอะไรกันก่อนจะออกไป?”
“ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไปทานสเต็กกันที่ร้านเซนส์บันด์นะคะ แต่นี่มันก็บ่าย 3 เข้าไปแล้ว บางทีพวกเขาอาจจะทานเสร็จแล้วก็ได้ คุณแม่ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกนะคะ มีคุณหานอยู่ด้วย ซิงซิงคงไม่วิ่งซนหรอก…ล่ะมั้ง” หลี่เสี่ยวเมิ่งนั้นเข้าใจว่าฝูเจิ้งเจิ้งคงจะกังวล กลัวว่าฝูซิงจะวิ่งป่วนไปทั่ว เธอเลยรีบปลอบใจอีกฝ่ายเอาไว้ก่อน
“ถ้ายังไงฉันขอตัวก่อนนะคะ คุณครูหลี่” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้ตอบรับคำปลอบโยนจากอีกฝ่ายและรีบออกจากโรงเรียนอนุบาลไปในทันที ระหว่างนั้นก็พยายามติดต่อหานซือฉีไปด้วย แต่เขาก็ไม่รับสายเลย
เธอรีบโบกแท็กซี่ที่วิ่งผ่านและมุ่งหน้าตรงไปยังร้านเซนส์บันด์อย่างเร่งรีบ
ยามที่เธอมาถึงร้านดังกล่าวแล้ว เธอก็พบว่าภายในร้านนั้นมีเพียงเด็กเสิร์ฟ และไม่มีลูกค้าอยู่ภายในแต่อย่างใด
ก่อนที่เด็กเสิร์ฟที่เดินออกมาจะได้ถาม ฝูเจิ้งเจิ้งก็ชิงถามก่อน “เมื่อตอนเที่ยง มีชายหญิงคู่หนึ่งพาเด็กตัวเล็กๆ ราวๆ 5 ขวบมาทานอาหารที่นี่ไหมคะ?”
เด็กเสิร์ฟยิ้มหวานก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “ต้องขอโทษจริงๆ ค่ะคุณลูกค้า ช่วงเที่ยงๆ บ่ายๆ เป็นช่วงที่ร้านของเรามีลูกค้าเยอะเป็นประจำอยู่แล้ว เพราะงั้นเราเลยไม่มั่นใจว่าคุณลูกค้ากำลังพูดถึงลูกค้าชุดไหนอยู่น่ะค่ะ”
ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังพยายามอธิบายถึงรูปร่างของทั้ง 3 คน เด็กเสิร์ฟอีกคนหนึ่งก็เดินเข้ามากระซิบกับเด็กเสิร์ฟที่กำลังฟังคำอธิบายอยู่ “หรือจะเป็นครอบครัวที่มีคนล้มน่ะ?”
ได้ยินคำพูดนั้นเบาๆ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบหันไปคว้ามือของเด็กเสิร์ฟที่มาทีหลังด้วยความร้อนใจทันที “ฝูซิงล้มเหรอคะ? เขาบาดเจ็บมากหรือเปล่า!?”
————————————————————————————————————-
คุยกับผู้แปล
เฉียวเค่อเหรินนี่ตัวร้ายในละครไทยจริงๆ ต้องมีตบกับฝูเจิ้งเจิ้งสักฉาดละถ้าทำเองทุกอย่างแบบที่เดาไว้
-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-