ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪] – บทที่ 68 จะให้ดอกไม้ที่เลี้ยงในเรือนกระจกหอมกว่าดอกไม้ป่าได้อย่างไร

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

บทที่ 68 จะให้ดอกไม้ที่เลี้ยงในเรือนกระจกหอมกว่าดอกไม้ป่าได้อย่างไร?

“หม่ามี๊ คุณครูหลี่บอกว่า หลังจากสัปดาห์นี้แล้วจะเป็นวันหยุดยาวนะ”

ฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังแต่งตัวให้ฝูซิงอยู่ต้องแอบตกใจน้อยๆ “เอ๋? ถึงช่วงหยุดยาวในหน้าหนาวแล้วเหรอเนี่ย?”

นี่แสดงว่าเธออยู่เมือง B มา 2-3 เดือนแล้วเหรอเนี่ย?

“คุณครูหลี่กลัวว่าถ้าเที่ยวหลังจากนี้จะหนาวมากขึ้นกว่าเดิมแล้วเด็กๆ จะป่วยง่าย”

“อ๋อ แบบนี้เองสินะ” เธอเดินไปส่งฝูซิงที่บันไดแล้วยืนมองเจ้าตัวเล็กเดินลงบันไดไปด้วยตัวคนเดียวขณะที่ตัวเธอนั้นก็คิดอะไรบางอย่างได้ขึ้นมา

พวกเธอต้องออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด โดยใช้ช่วงวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึงนี้ แต่นั่นก็จะทำให้เธอต้องอยู่ดูแลฝูซิงมากขึ้นและทำงานไม่ค่อยสะดวกนัก…หรือบางทีถ้าหากุญแจนั่นเจอก่อนก็น่าจะทำให้เรื่องต่างๆ มันง่ายขึ้นก็ได้

ในตอนที่ฝูเจิ้งเจิ้งเตรียมจะลงไปด้านล่างแล้ว เฉินเฉี่ยวหลานก็เดินขึ้นมาบอกกับเธอ “คุณเจิ้งคะ เดี๋ยวฉันจะช่วยแพ็คของให้นะคะ เชิญไปทานมื้อเช้าได้เลยค่ะ เดี๋ยวท่านซือฉีจะพาซิงซิงไปส่งโรงเรียนให้เอง”

ได้ยินดังนั้น ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกกังวลขึ้นมานิดหน่อยจึงเดินตามเฉินเฉี่ยวหลานไปด้วย

“ไปทานข้าวเถอะค่ะคุณเจิ้ง ตรงนี้ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของฉันเอง เดี๋ยวท่านซือฉีคงกลับมารับหลังจากส่งซิงซิงเสร็จแล้ว” เฉินเฉี่ยวหลานพูดขณะที่เริ่มลงมือเก็บเสื้อผ้าของฝูเจิ้งเจิ้งลงไปในกระเป๋า

“นี่เอาจริงเหรอคะเนี่ย?” ท่าทีและคำพูดของเฉินเฉี่ยวหลานนั้นทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้ได้ทันทีว่าหานซือฉีกำลังจะพาเธอไปยังที่อยู่ใหม่ที่เขาไปจัดหามาแน่ๆ

หญิงสาวไม่รอช้า หยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาและโทรหาเขาทันที

ครั้งนี้เธอไม่จำเป็นต้องรอสายนาน เพียงแค่ครู่เดียว ปลายสายก็รับโทรศัพท์แล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งเปิดฉากต่อว่าอีกฝ่ายอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วที่เขายังดึงดันไม่ยอมฟังเธอ “คุณหานคะ ฉันบอกแล้วไงว่าไม่ต้องเข้ามาช่วยฉันหาที่อยู่ใหม่! การที่ฉันย้ายไปอยู่ในที่ที่คุณหานจัดหามาให้ มันจะต่างอะไรกับอยู่ที่บ้านของคุณหานในชินหยวนกันคะ? ท้ายสุดแล้วพวกเราก็จะถูกมองเป็นเป้าสายตาเหมือนเดิม—อ๊ะ ฮัลโหล! ฮัลโหล!!”

หานซือฉีตัดสายไปโดยไม่พูดอะไรทั้งนั้น ซึ่งมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก

หลังจากที่วางสายแล้ว เธอก็หันกลับไปเห็นเฉินเฉี่ยวหลานกำลังพยายามลากกล่องและกระเป๋า 2 ใบใหญ่ๆ ลงไปด้านล่างอยู่ แม้จะยังไม่พอใจ แต่เธอก็ต้องรีบเข้าไปช่วยอีกฝ่ายไว้ก่อน

เมื่อพวกเธอลงมาถึงด้านล่าง รถที่ดูคุ้นเคยก็มาจอดอยู่ที่กลางสวนด้านหน้า รถคันนั้นไม่ใช่รถของหานซือฉี แต่หานซือฉีก็ลงมาจากรถคันนั้น

เขาเดินตรงเข้ามาและหยิบเอากล่องลังสัมภาระและกระเป๋าทั้งสองใบนั้นขึ้นท้ายรถไป

“เฮ้ คุณหาน ฉันบอก…”

“เธอจะเงียบได้หรือยัง?” หานซือฉีหันกลับมาถามขณะที่ช่วยเฉินเฉี่ยวหลานยกกระเป๋าใบอื่นๆ ขึ้นรถมาด้วย

“พวกเรา…”

ใบหน้าเข้มของชายหนุ่มเหลือบมองเธอเป็นการเตือนครั้งสุดท้าย “เธออยากจะย้ายไปอยู่ที่อื่นก็ได้ ตามสะดวก แต่ซิงซิงจะอยู่กับฉัน”

“หา? พูดอะไรออกมาน่ะคะ? นามสกุลของฝูซิงคือ ฝู ไม่ใช่ หาน นะคะ! ช่วยอย่าเข้าใจผิดด้วย!”

“คุณเจิ้ง เลิกหัวเสียเถอะค่ะ ขึ้นรถได้แล้ว” เฉินเฉี่ยวหลานเองก็หันมาปรามเธอด้วยอีกคน

“เลือกเอาว่าเธอจะไปด้วยกัน หรือจะมีแค่ป้าเฉินกับซิงซิงที่ย้าย ถ้าเธอไม่ไปฉันจะได้เอากระเป๋าลง ป้าเฉินกระเป๋าของเธอใบไหนนะ?” หานซือฉีกลับมาเปิดท้ายรถอีกครั้ง

“โอเคๆ ไปก็ได้” ท้ายสุดฝูเจิ้งเจิ้งก็ต้องยอมและดันกระเป๋าเธอกลับเข้าไปด้านในดังเดิม

ตลอดมาหานซือฉีก็ทำในสิ่งที่พูดกับเธออย่างเคร่งครัด เพราะแบบนั้นจึงมั่นใจว่าถึงลูกชายจะเป็นของเธอจริงๆ หานซือฉีก็สามารถทำให้เธอและลูกต้องพลัดพรากจากกันได้อย่างแน่นอน ยังไงก็ตาม ตอนนี้เธอยังหาห้องเช่าไม่ได้ ต่อให้อยากจะย้ายที่อยู่ขนาดไหน แต่อย่างน้อยก็ยังต้องใช้เวลาอีกหลายวัน

ด้วยเหตุนี้ฝูเจิ้งเจิ้งจึงยอมขึ้นรถไปแต่โดยดี

หานซือฉีมองไปยังอีกฝ่ายด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ หลังจากที่เฉินเฉี่ยวหลานขึ้นรถไปแล้ว เขาถึงค่อยขับรถออกไปจากที่แห่งนี้

พวกเขาอยู่บนถนน ราวๆ 20 นาที ก็มาถึงย่านที่พักอาศัยแห่งใหม่ ที่ถูกเรียกว่า เจี่ยเย่ฮัวหยวน ซึ่งสภาพแวดล้อมภายในนี้เรียกได้ว่าค่อนข้างจะเรียบง่ายและทั่วไป ด้านหน้าย่านแห่งนี้ประกอบไปด้วยตึกที่ไม่สูงมากนักตั้งเรียงรายเหมือนรั้ว จะมีเพียงตึกด้านหลังเพียงแห่งเดียวเท่านั้นที่สูงและมีลิฟต์ใช้

รถที่นั่งมาเข้าไปจอดบริเวณหน้าตึกที่มีลิฟต์นั้น หานซือฉีลงไปก่อนพร้อมกระเป๋าเดินทางสองใบในมือ ส่วนฝูเจิ้งเจิ้งและเฉินเฉี่ยวหลานก็ค่อยหยิบกระเป๋าเดินทางที่เหลือแล้วค่อยตามเขาไปอีกที

เจี่ยเย่ฮัวหยวน…เจี่ยเย่ฮัวหยวน…ใครอยู่ที่นี่นะ…คุ้นหูจริงๆ

ขณะที่กำลังขึ้นลิฟต์ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ทบทวนชื่อของย่านนี้อยู่ในหัวเงียบๆ เธอคลับคล้ายคลับคลาเหมือนว่าจะเคยได้ยินมาก่อนว่าใครอยู่ที่นี่ หากแต่ก็จำไม่ได้ว่าไปได้ยินมาจากไหน

เมื่อลิฟต์เปิด หานซือฉีก็เดินนำทั้งสองไปยังห้องๆ หนึ่งที่อยู่บนชั้น 12 ห้องขนาดใหญ่ที่มีถึง 3 ห้องนอนใน 1 ห้องนั้นๆ ขนาดของมันน่าจะร่วมๆ 140 ตารางเมตรได้เลย แสงสว่างจากหน้าต่างสามารถส่องผ่านได้ตั้งแต่เหนือจรดใต้ได้เป็นอย่างดี ถึงแม้ว่าจะยังไม่ได้ตกแต่งอะไรมาก แต่เพียงเท่านี้ก็น่าอยู่แล้ว เพราะเท่าที่มอง ห้องนี้มีสิ่งของที่จำเป็นต่อการอยู่อาศัยจัดเตรียมไว้หมดแล้ว

ฝูเจิ้งเจิ้งหันมองไปรอบๆ ห้อง สีหน้าของเธอแสดงความรู้สึกพึงพอใจออกมาอย่างเห็นได้ชัด

“ห้องนี้อาจจะเล็กไปหน่อย อาจจะไม่ค่อยชินในช่วงแรก” หานซือฉีพูดขึ้นหลังจากเดินสำรวจห้องนี้ทั้งห้องแล้ว

“แค่นี้ก็ดีพอสำหรับคนธรรมดาอย่างพวกฉันแล้วค่ะ มีแค่คนอย่างคุณหานนั่นแหละที่ชินกับการอยู่กับคฤหาสถ์หลังใหญ่ๆ นั่น” ฝูเจิ้งเจิ้งเดินตรงออกไปยังระเบียงเพื่อสูดอากาศบริสุทธ์ภายนอกด้วย และเธอก็ไม่ลืมที่จะแซะเขาทิ้งท้าย

“เหมือนว่าเธอจะต้องโดนสอนมารยาทเพิ่มแล้วหรือเปล่า?”

ทันทีที่เห็นหานซือฉีเดินเข้ามาใกล้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบแสร้งถามเขาก่อน “ที่นี่มันไกลจากโรงเรียนอนุบาลที่ฝูซิงเรียนอยู่นิดหน่อยน่ะค่ะ แล้วก็ฉันคงไม่ยอมแน่ถ้าคุณหานจะมารับมาส่งฝูซิงทุกวัน”

เขาเข้าใจว่าเธอต้องการจะสื่อถึงอะไร “อีกไม่กี่วันซิงซิงก็จะหยุดยาวแล้ว ระหว่างนั้นจงจู่จะไปรับไปส่งเขาเอง ส่วนเธอ จะต้องไปทำงานกับรถที่ทางบริษัทจัดมาให้”

อ๊า! จำได้แล้ว รถคันนั้นของหมินจงจู่นี่เอง! หือ เพราะว่าถ้าใช้รถของตัวเองจะโดดเด่นเกินไปในย่านนี้สินะ อืมมม เข้าใจได้ ๆ

“ฉันไม่อยากจะไปด้วยรถบริ–”

“รับสวี่เหยียนที่อยู่ตึกที่สองด้านหน้านี่ด้วย”

ที่ด้านหน้าของย่านนี้ จะมีป้ายสำหรับหยุดรถเพื่อรับส่งคนอยู่ และสวี่เหยียนเองก็ใช้รถบริษัทในการเดินทางอยู่เสมอ จริงๆ เรื่องนี้ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้อยู่แล้ว

เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งเข้าใจอะไรผิดไป เขาจึงหรี่ตามองเธอและแสดงสีหน้าขี้แกล้งออกมา “เธอคิดว่าฉันจะจัดรถมารับเธอโดยเฉพาะงั้นเหรอ?” คราวนี้หญิงสาวเขินจนพูดไม่ออก

แต่ไม่นานนักเธอก็กลับมาร่าเริงอีกครั้ง ไม่แปลกใจแล้วว่าเธอคุ้นชื่อเจี่ยเย่ฮัวหยวนมาจากไหน ดูเหมือนว่าหานซือฉีเองก็จะรับฟังเธออยู่บ้างเหมือนกัน

คิดได้ดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงฉีกยิ้มกว้างชนิดที่ว่าเธอไม่เคยยิ้มแบบนี้ให้ใครมาก่อน

“เธอก็แค่ได้ผลพวงมาจากการที่ต้องดูแลซิงซิงนั่นแหละ”

คำพูดที่ไร้เยื่อใยของหานซือฉีทำเอารอยยิ้มบนใบหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งค่อยๆ จางหายไปในทันที

คิดว่าฉันอยากให้นายมาสนใจมากหรือไงยะ?

หานซือฉีเดินไปทางประตูแล้วหันมามองรอบๆ “ช่วยป้าเฉินทำความสะอาดที่นี่ให้เรียบร้อย ไม่ต้องไปทำงานแล้วก็ไม่ต้องไปรับซิงซิงด้วย”

เขาเปิดประตูและเดินออกไปก่อนจะหันกลับมาอีกครั้ง แววตาที่จริงจังจ้องมองฝูเจิ้งเจิ้งราวกับร่ายมนต์สะกดอยู่ภายในใจ “ห้ามออกจากห้อง ได้ยินใช่ไหม?”

“ค่าๆ นี่คุณหานจะจู้จี้จุกจิกฉันจนฉันนึกว่าเป็นแม่— หมายถึงแม่ที่เสียไปแล้วน่ะค่ะ…”

ข-ขอโทษค่ะคุณแม่…ลูกคนนี้ไม่ได้ตั้งใจจะสาปแช่งนะ…

หลังจากพูดไปแบบนั้นแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบกล่าวขอโทษบุพการีในใจ นั่นเพราะหยางเต๋าจัดแจงข้อมูลส่วนตัวของเธอให้เป็นเด็กกำพร้าเมื่อตอนส่งเข้ามาในเมืองนี้

ฝูเจิ้งเจิ้งเดินกลับไปยังระเบียงอีกครั้งหลังจากที่หานซือฉีลงจากตึกไปแล้ว เธอมองรถของหมินจงจู่ที่ไม่ใช่หมินจงจู่ขับ เคลื่อนออกไปจากลานจอดรถก่อนจะเดินกลับเข้าไปทิ้งตัวลงนอนบนเตียงด้วยความผ่อนคลาย

ถ้าหากว่าหานซือฉีเป็นเพียงพนักงานระดับกลางๆ เหมือนหมินจงจู่ เขาก็จะไม่ต้องถูกสงสัยว่ามาพัวพันกับคดีใหญ่ๆ ที่เธอกำลังสืบอยู่ด้วย แถมยังไม่ต้องมีปัญหาจากการที่โดนคลุมถุงชนเพื่อรักษาชื่อเสียงวงศ์ตระกูลเอาไว้อีก แบบนี้คงจะดีกว่าที่เป็นอยู่เห็นๆ เลย…

*ครึ่ก ตึก ตึก ตึก ตึก*

เสียงอะไรบางอย่างดังขึ้นมาจากชั้นบน มันเป็นเสียงเหมือนลูกแก้วตกลงมาบนพื้น

ห้องชั้นบนมีเด็กเล็กหรือยังไงน่ะ? กำลังเล่นลูกแก้วอยู่เหรอ?

*แกรก แกรก แกรก แกรก*

คราวนี้เป็นเสียงเหมือนเล็บข่วนดังมาจากด้านข้างกำแพง ซึ่งมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกหงุดหงิดได้พอตัวเลย

เธอลุกขึ้นก่อนจะเดินออกไปด้านนอก แต่ก่อนจะได้ไปดูว่าข้างๆ ทำอะไร เธอก็ได้ยินเสียงของป้าเฉินดังมาจากทางระเบียงห้อง “โอ้ย แย่เลยแบบนี้ ฉันจะทำยังไงดีเนี่ย?”

หญิงสาวรีบวิ่งไปยังต้นเสียงแล้วก็พบว่าผ้าห่มที่ถูกตากอยู่ที่ระเบียงด้านนอกนั้น ในตอนนี้มันเปียกไปทั้งผืนแล้ว

“อ่ะ คุณเจิ้ง พอดีฉันเอาผ้าห่มมาตากลมด้านนอกน่ะค่ะ แต่ไม่รู้ว่าห้องด้านบนเค้าทำอะไรกัน ถึงมีน้ำหกลงมาขนาดนี้” เฉินเฉี่ยวหลานตบผ้าห่มที่ชุ่มน้ำไปด้วยความโกรธ

“บางทีพวกเขาอาจจะรดน้ำต้นไม้อยู่ก็ได้นะคะ” ฝูเจิ้งเจิ้งเข้าไปช่วยเก็บผ้าห่มเข้ามา แล้วก็เหลือบไปเห็นว่าบนพื้นนั้นมีฝุ่นอยู่เต็มไปหมด เธอจึงไปหยิบเอาเครื่องดูดฝุ่นมาหมายจะดูดทิ้ง แต่ทันทีที่เปิดสวิทช์ ไฟทั้งห้องก็ดับลงไปทันที

ทำไมเป็นห้องที่สาหัสขนาดนี้นะ!

ตอนนี้ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะโกรธขึ้นมาบ้างแล้ว ทั้งๆ ที่เป็นห้องที่ดูหรูหราเอาเรื่องแท้ๆ แต่ทำไมถึงไม่สะดวกสบายให้สมกับความหรูหราเลย!

“อย่าเพิ่งหงุดหงิดไปเลยค่ะคุณเจิ้ง เดี๋ยวฉันเช็ดพื้นให้เองนะ” เฉินเฉี่ยวหลานรับรู้ได้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนไปของฝูเจิ้งเจิ้ง เธอเลยรีบเดินเข้ามาปลอบ

“ป้าเฉินคะ พักก่อนเถอะ เดี๋ยวฉันจะลงไปด้านล่างแล้วซื้อของใช้ที่จำเป็นนิดหน่อย แล้วเดี๋ยวจะบอกนิติบุคคลเรื่องไฟดับให้ด้วย” ฝูเจิ้งเจิ้งไม่รอให้เฉินเฉี่ยวหลานได้โต้แย้ง เธอคว้ากระเป๋าถือแล้วออกจากห้องไปอย่างรวดเร็ว

ลิฟต์เคลื่อนที่ขึ้นมาจากชั้นล่างสุดมายังชั้นของเธอด้วยเวลาที่ไม่นาน ดูเหมือนว่าลิฟต์จะยังพอสมราคาห้องอยู่บ้าง หญิงสาวเตรียมจะก้าวเดินเข้าไปเมื่อประตูลิฟต์เปิด ทว่าคนๆ หนึ่งกลับเดินสวนออกมาก่อน และคนๆ นั้น ก็คือเฉียวเค่อเหริน!

เฉียวเค่อเหรินเดินออกมาและหยุดอยู่ที่หน้าลิฟต์ เธอค่อยๆ เงยหน้าขึ้นและมองตรงไปยังฝูเจิ้งเจิ้งพลางถามด้วยรอยยิ้ม “คุณฝู อยู่ที่นี่มีความสุขดีไหมคะ?”

มองไปยังรอยยิ้มที่เสแสร้งของผู้ที่ออกมาจากลิฟต์ ฝูเจิ้งเจิ้งก็ผงะไปนิดหน่อย นี่อย่าบอกนะว่าไอ้เรื่องทั้งหมดเมื่อครู่เป็นฝีมือเฉียวเค่อเหรินน่ะ?

เมื่อตั้งสติได้แล้ว เธอจึงค่อยทักทายกลับไปตามมารยาท “สวัสดีตอนเช้าค่ะ คุณเฉียว…”

“แต่ฉันไม่มีความสุขเลยค่ะ” เฉียวเค่อเหรินตัดบทด้วยสีหน้ารังเกียจ “คุณฝูคิดว่าฉันควรจะมีความสุขไหมคะที่ได้มารู้ว่าคู่หมั้นของตัวเองเอาสาวที่ไม่รู้หัวนอนปลายเท้าจากไหนไม่รู้มากกไว้ที่บ้านน่ะ?”

จากท่าทีเช่นนี้ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้ได้ทันทีว่าเฉียวเค่อเหรินนั้นคงรู้แล้วว่าก่อนหน้านี้เธออยู่ที่บ้านของหานซือฉีมาก่อน ก็คิดไว้แล้วว่าซักวันหนึ่งก็คงจะปิดเรื่องนี้ไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้คิดว่าพอวันนั้นมาถึงจริงๆ เธอจะรู้สึกหงุดหงิดได้ขนาดนี้ ดังนั้นแล้วฝูเจิ้งเจิ้งจึงพูดกลับไปด้วยน้ำเสียงที่ดูไม่แยแส “ฮ่าๆๆ จริงเหรอคะ? ถ้างั้นคุณเฉียวควรจะจับตาดูคู่หมั้นของคุณให้ดีๆ ซะแล้วล่ะ อย่าปล่อยให้เขามาเพ่นพ่านหาหญิงอื่นง่ายๆ แบบนี้สิ”

“ดอกไม้ป่าราคาถูกพยายามจะเข้ามาเกาะแกะซือฉีของฉันราวกับไม่เคยเห็นผู้ชายมาก่อน คุณฝูคิดว่าฉันควรจะทำยังไงดีคะ?”

“โห ขนาดดอกไม้ป่าถูกๆ ยังทำให้คู่หมั้นของคุณเสียศูนย์ได้ขนาดนี้ คุณเฉียวน่าจะต้องเพิ่มคุณค่าให้ตัวเองแล้วล่ะมั้งคะ ลองเพิ่มคุณธรรมหรือไม่ก็ลองปรับปรุงนิสัยตัวเองซักหน่อยเป็นไง? บางทีอาจจะทำให้คู่หมั้นของคุณหลงคุณจนหัวปักหัวปำเลยก็ได้นะคะ”

“จะให้ดอกไม้ที่ปลูกในเรือนกระจกหอมหวานไปกว่าดอกไม้ป่าที่มีดีแค่ทำให้คนอื่นลุ่มหลงได้ยังไงล่ะคะ? แถมฉันเองก็ไม่มี ‘เด็กเวร’ ที่มาใช้ต่อรองให้เขาเข้าหาซะด้วยสิ”

“‘เด็กเวร’ ที่เธอว่านั่นหมายถึงใคร?” แววตาของฝูเจิ้งเจิ้งเกรี้ยวกราดขึ้นมาทันที

“อ๊ะ ตายจริง โกรธเหรอ?” เฉียวเค่อเหรินดูจะถูกใจท่าทีของฝูเจิ้งเจิ้งมากๆ เธอหัวเราะออกมาเสียงดัง “เธอคิดว่าลูกชายของเธอคือลูกของซือฉีเพราะมันเรียกซือฉีว่าป๊ะป๋างั้นเหรอ? หัดส่องกระจกดูความน่าสมเพชของตัวเองบ้างนะ ไม่สำเหนียกตัวเองแล้วยังพยายามปีนขึ้นเตียงซือฉีอีกเหรอ? เธอคิดเหรอว่าซือฉีจะยินดีรับเธอและลูกเข้าไปเป็นสมาชิกตระกูลหานน่ะ?”

ฝูเจิ้งเจิ้งยืนนิ่งฟังก็รู้สึกโกรธขึ้นมา เธอไม่สนใจแล้วว่าเฉียวเค่อเหรินจะเป็นลูกสาวของเทศมนตรีและโต้เถียงกลับไป “คุณเฉียวคะ แล้วตัวคุณเองน่ะคิดบ้างหรือเปล่าว่าหานซือฉีอยากจะแต่งงานกับคุณไหม? ไม่ใช่ว่าทุกๆ คนในเมือง B นี้รู้กันหมดแล้วเหรอว่าคุณน่ะพยายามยั่วยวนหานซือฉีอยู่ฝ่ายเดียว? ถ้าคุณเฉียวคิดว่าตัวเองดีจริง ซือฉีอาจจะให้คุณมาอยู่ที่นี่แทนฉันก็ได้นะคะ”

ในเมื่ออีกฝ่ายมาเพราะหานซือฉี เธอก็จะเอาคำว่า ‘ซือฉี’ เนี่ยแหละมาตอกหน้าให้กลับไปจนได้ และดูท่ามันจะได้ผล สีหน้าของเฉียวเค่อเหรินดูซีดเผือดลงไปในทันที สาวเจ้ากัดฟันแน่นก่อนจะพูด “ฉันควรจะปล่อยให้เธอและลูกตกลงไปตายในธารน้ำแข็งนั่นจริงๆ!”

“เธอจงใจที่จะผลักฝูซิงลงไปในแม่น้ำวันนั้นงั้นเหรอ!?”

“ใช่! ฉันจงใจ! แล้วก็ฉันเองเนี่ยแหละที่ตะโกนบอกว่ามีระเบิด! เฮอะ ไม่คิดเลยจริงจริ๊งว่าพวกแกจะยังรอดมาได้แบบนี้”

“เฉียวเค่อเหริน เธอนี่มันร้ายกาจจริงๆ! แม้แต่ชีวิตของเด็กคนหนึ่ง เธอก็ยังทำได้ลงคอ!”

เฉียวเค่อเหรินไม่สนใจ เธอประกาศก้องออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ฝูเจิ้งเจิ้ง ฉันจะบอกเธอไว้ตั้งแต่วันนี้เลยนะ ว่าซือฉีเป็นของฉัน จะไม่มีใครหน้าไหนทั้งนั้นที่จะมาแย่งตัวเขาไปได้!”

“แสดงว่าเธอเองสินะที่ให้คนมาเปลี่ยนกระเป๋าของฉันไปเพื่อยัดเยียดข้อหาขโมยให้ รวมไปถึงใส่ยาถ่ายลงไปในอาหารที่ร้านปลาย่างนั่นอีก!”

“ใช่! ฉันขอเตือนไว้เลยนะว่า ถ้าเธอยังไม่ถอยห่างออกจากหานซือฉีให้เร็วที่สุดล่ะก็ ฉันจะทำให้เธอได้ทุกข์ใจมากกว่านี้อีก!” เฉียวเค่อเหรินค่อยๆ เดินเข้าหาฝูเจิ้งเจิ้ง ก่อนจะหันหน้าไปกระซิบเบาๆ ด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยเพื่อให้อีกฝ่ายได้ยินชัดๆ “รวมถึงพ่อลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของเธอด้วย”

“อย่าเหิมเกริมซะให้มาก!” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามข่มมือของตนไม่ให้พลาดพลั้งไปตบหน้าเฉียวเค่อเหรินอยู่ ดังนั้นเธอจึงกำมือและผลักสาวตรงหน้าออกไปแทน

“ฉันเหิมเกริมได้มากกว่าที่เธอคิดเยอะ เจิ้งเจิ้ง เธอจะลองดูก็ได้นะ”

“ทั้งเธอแล้วก็ลูกชาย ฉันจะแก้แค้นให้สาสมกับที่มาสร้างความอับอายไว้ให้ฉันเลย! เริ่มจากเด็กนั่นก่อนเลยก็แล้วกัน ฉันจะสั่งสอนให้มันนั่นรู้ว่าที่ต่ำที่สูงเป็นยังไง!”

เฉียวเค่อเหรินหัวเราะเสียงดังก่อนจะกดปุ่มเปิดประตูลิฟต์

“หยุดนะ! บอกฉันมาเดี๋ยวนี้ว่าเธอจะทำอะไรฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งที่หมายจะคว้าแขนของเฉียวเค่อเหรินไว้นั้นแต่กลับพลาดด้วยระยะที่คำนวณผิด กระนั้นด้วยความที่ร่างกายของเธอมีความยืดหยุ่นที่มากกว่าคนปกติ มันเลยทำให้เธอสามารถพุ่งตัวเพิ่มระยะได้อีกนิดหน่อยโดยไม่เสียการทรงตัวจนล้มลงไป ทว่าสิ่งที่เธอคว้ามาได้นั้นกลับไม่ใช่แขนของอีกฝ่าย หากแต่เป็นผมที่ยาวสลวยของเฉียวเค่อเหรินต่างหาก!

—————————————————————————————————-

คุยกับผู้แปล

ย-อย่าบอกนะว่า…นั่นวิกน่ะ… ไม่นะ ถ้าคนเขียนเขียนมางี้ จะปรับมู้ดตอนแปลไม่ทันแล้วนะ!

-ทีมงานผู้แปล Enjoybook-

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

ลูกซื้อพ่อให้แม่ [买个爹地宠妈咪]

Status: Ongoing
เรื่องราวชีวิตของคุณแม่ยังสาว ฝูเจิ้งเจิ้ง และลูกชายตัวแสบของเธอ ฝูซิง เด็กน้อยที่เฝ้าแต่จะตามหาผู้เป็นพ่อให้ได้ วันดีคืนดีเจ้าตัวน้อยดันไปเจรจาซื้อผู้ชายคนหนึ่งมาเป็นคุณพ่อของเขาเสียนี้ฝูเจิ้งเจิ้ง สาวสวยวัย 24 ปีผู้ที่วุ่นวายอยู่กับการเลี้ยงลูกน้อยอย่าง ฝูซิง ด้วยตัวคนเดียวมาตลอด ชีวิตแม่เลี้ยงเดี่ยวของเธอนั้นแม้จะยุ่งยากไปบ้างแต่ชีวิตในแต่ละวันก็ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี จนกระทั่งวันหนึ่งที่เธอตัดสินใจสมัครเข้าทำงานในบริษัทเว่ยฮั่น ใครจะไปคิดเล่าว่าจู่ๆ เจ้าลูกชายตัวแสบของเธอจะเก็บเงินแล้วไปหาซื้อป๊ะป๋ามาเติมเต็มให้ชีวิตแบบไม่บอกเธอเสียอย่างงั้น แถมป๊ะป๋าคนใหม่ของเขา ดันเป็นรองประธานบริษัทเว่ยฮั่นที่เธอเพิ่งจะสมัครเข้าทำงานอีก!? ตายละ แล้วแบบนี้ชีวิตฉันจะเป็นยังไงต่อไปเนี๊ย!!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท