ฝูเจิ้งเจิ้งนิ่งงันด้วยความตกใจ นี่เฉียวเค่อเหรินคิดจะทำให้เธออับอายท่ามกลางสาธารณชนงั้นเหรอ?
เหล่าพนักงานด้านหลังที่ได้ยินดังนั้น หลายคนก็เริ่มหันไปพูดคุยกันอย่างสนุกปาก แต่ก่อนที่ฝูเจิ้งเจิ้งจะได้โต้ตอบอะไร สวี่เหยียนก็ชิงพูดขึ้นมาเสียก่อน “คุณเฉียวคะ ฉันคิดว่าคุณคงจะจำคนผิดแล้วล่ะ เพราะเมื่อคืนน่ะ ฝูซิงโวยวายว่าจะเจอแม่ของเขาให้ได้เลย เพราะงั้นเจิ้งเจิ้งเลยเป็นกังวลแล้วรีบกลับไปดูลูกชายที่บ้านน่ะค่ะ”
เฉียวเค่อเหรินยิ้มจนลักยิ้มของเธอมันปรากฏขึ้นมา “โอ้? คุณสวี่เห็นคุณฝูกลับบ้านไปด้วยตาตัวเองเหรอคะ?”
“ใช่แล้วค่ะ” สวี่เหยียนพูดด้วยเสียงหนักแน่น
เมื่อฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มจะอารมณ์เย็นลงได้ เธอจึงเริ่มเป็นฝ่ายโยนคำถามไปบ้าง “คุณเฉียวคะ ที่คุณบอกว่าเห็นชายคนหนึ่งออกไปกับฉันด้วยน่ะ พอจะจำรูปร่างของชายคนนั้นได้ไหมคะ?”
“ไม่ค่ะ มันมืดมาก แถมฉันเองก็ยังเห็นเขาแค่จากไกลๆ ด้วย”
“งั้นในเมื่อคุณมองรูปร่างของชายคนนั้นแทบจะไม่เห็นแท้ๆ แต่ทำไมถึงสรุปว่าเป็นฉันที่ไปกับคนคนนั้นล่ะคะ?”
“อ๊ะ…”
ทันทีที่รู้ตัวว่าตนโดนฝูเจิ้งเจิ้งเล่นงานกลับเสียแล้ว ใบหน้าสวยนั้นก็แสร้งทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อน “บางทีฉันอาจจะจำผิดจริงๆ ก็ได้ค่ะ พอดีฉันเป็นห่วงคุณมากไปหน่อย เมื่อคืนน่ะ ในรีสอร์ทมีคนดื่มจนเมาเยอะมากๆ เลย ฉันเห็นว่าคุณฝูเองก็ดื่มไวน์ไปเยอะ เพราะงั้นแล้วคุณฝูต้องดูแลตัวเองดีๆ อย่าตกเป็นเหยื่อของคนพวกนี้นะคะ” เธอเน้นพยายามเน้นคำพูดเพื่อตอกย้ำอีกฝ่าย
“ขอบคุณสำหรับความเป็นห่วงนะคะ คุณเฉียว” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มเจื่อนๆ
หมินจงจู่ที่ยืนฟังอยู่ก็รู้สึกโล่งใจ เขาพูดกับเฉียวเค่อเหริน “คุณเฉียวครับ เดี๋ยวซือฉีจะตามมาทีหลัง ถ้ายังไงคุณเฉียวสามารถหาที่นั่งรอเขาซักครู่ได้เลยนะครับ เจิ้งเจิ้ง ไปชงชามาให้คุณเฉียวทีนะ”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็พยักหน้ารับรู้และเปิดประตูออฟฟิศให้เฉียวเค่อเหรินเดินเข้าไปก่อน ในขณะที่หมินจงจู่และพนักงานคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปทำงานต่อ
ท่าทีของเฉียวเค่อเหรินนั้นดูสง่าไม่เปลี่ยน เธอก้าวเดินเข้าไปในห้อง เชิดหน้าใบหน้าสวยขึ้นอย่างสง่านั่งหลังตรงรอที่ประจำของเธอ
ระหว่างที่เสิร์ฟชา หลังจากที่แน่ใจว่าประตูปิดสนิทแล้ว เจิ้งเจิ้งก็พูดกับเฉียวเค่อเหรินอีกครั้ง “ขอบคุณนะคะ คุณเฉียว”
คราวนี้เฉียวเค่อเหรินค่อยๆ หันหน้ามาช้าๆ และมองเธอด้วยสีหน้ารังเกียจ “ขอบคุณฉันเหรอ? ฝูเจิ้งเจิ้ง นี่เธอเชื่อจริงๆ เหรอว่าฉันเป็นห่วงเธอน่ะ?”
ฝูเจิ้งเจิ้งแสยะยิ้ม “ก็คิดอยู่แล้วล่ะค่ะว่าไม่ได้เป็นห่วงจริงๆ แต่เพราะถ้าไม่ได้ความช่วยเหลือจากคุณเฉียวเมื่อคืนแล้วล่ะก็ ฉันคงไม่สามารถ ‘เติมเต็มสิ่งที่ต้องการ’ ได้เร็วขนาดนี้หรอก”
“เธอไม่ได้กลับบ้านเมื่อคืนงั้นเหรอ!?”
“คุณคิดจริงๆ เหรอคะ ว่าฉันสามารถกลับบ้านได้หลังจากดื่มไวน์แก้วนั้นไปแล้ว?”
“แล้วเธอไปอยู่ที่ไหน!” หญิงสาวเริ่มรู้สึกไม่สบายใจ เมื่อมองฝูเจิ้งเจิ้งที่เอาแต่ยืนยิ้มให้ เฉียวเค่อเหรินก็ไม่สามารถอดกลั้นอารมณ์ที่พลุกพล่านของตนได้อีกต่อไป
“ร-หรือว่า…เธอไปอยู่กับซือฉีมาเมื่อคืนงั้นเหรอ!?”
เมื่อเห็นว่าเฉียวเค่อเหรินได้รู้ความจริงแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พยักหน้ารับอย่างช้าๆ และค่อยๆ ไล้มือดึงผ้าพันคอของตนออกมาพลางพูดอย่างอ้อยอิ่ง “จริงๆ แล้ว การที่ให้ฝูซิงไปหาซื้อป๊ะป๋ามามันก็ไม่ได้แย่เท่าไหร่หรอกนะคะ”
ใบหน้าสวยของเฉียวเค่อเหรินยับยู่ยี่จนเหมือนโดนพายุแห่งความโกรธพัดเข้าใส่เต็มๆ แววตาที่เคยอ่อนโยนนั้นจ้องเขม็งมายัง ‘รอยสีกุหลาบ’ ที่ถูกประทับไว้บนลำคอของฝูเจิ้งเจิ้ง ความหยิ่งผยองของเธอถูกทำลายไปจนหมด เฉียวเค่อเหรินพูดออกมาด้วยความเหลืออด “ฝูเจิ้งเจิ้ง! ที่เธอทำได้ขนาดนี้เพราะมันเกิดจากความผิดพลาด! ฉันจะคอยดูว่าน้ำหน้าอย่างเธอน่ะจะหัวเราะได้นานขนาดไหน!”
“ใครจะไปรู้ล่ะคะ ว่าฉันจะหัวเราะได้นานขนาดไหน? ฉันน่ะ รู้เพียงแค่ว่าตอนนี้เป็นใครควรหัวเราะก็เท่านั้นเอง” ฝูเจิ้งเจิ้งจงใจยั่วโมโหเธอด้วยรอยยิ้มเหยียดหยามที่เธอเคยได้รับ
เฉียวเค่อเหรินก่นด่าหญิงสาวตรงหน้าด้วยสีหน้าที่ซีดเผือด “ฝูเจิ้งเจิ้ง คิดว่าตัวเองได้ขึ้นเตียงกับซือฉีแล้วจะทำไม? เขาก็แค่ต้องการที่ระบายเท่านั้น หัดตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองซะบ้าง ฮึ่ม! อย่าฝันลมๆแล้งๆ ว่าจะได้แต่งงานเข้าตระกูลหานง่ายๆ คนอย่างเธอน่ะไม่มีค่าพอ ฉันขอเตือนเธอไว้เลยนะ ในอนาคตฉันอาจพลั้งมือเล่นงานเธอจนถึงตายก็ได้!”
“คุณเฉียวคะ คนที่เกิดมาต่ำต้อยแบบฉันน่ะ ไม่คู่ควรกับตระกูลหานอย่างที่คุณว่าจริงๆ นั่นแหละ แถมฉันเองก็ไม่เคยคิดจะแข่งอะไรกับคุณด้วย แต่ฉันอยากจะแนะนำอะไรไว้หน่อยนึง แทนที่คุณเฉียวจะมาจ้องหาเรื่องใครก็ตามที่พยายามปีนขึ้นไปบนเตียงของสุดที่รักของคุณ คุณลองหาวิธีปีนขึ้นเตียงเขาก่อนดีกว่าไหม? ยังไงครอบครัวของคุณก็เปิดกว้างอยู่แล้วนี่ อ๊ะๆ เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองหน่อยนะคะ ปีนขึ้นเตียงเขาให้ได้นะ สู้ๆ” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน แต่สายตาแสดงความเย้ยหยันแบบสุดๆ
ฝูเจิ้งเจิ้งน่ะรู้ดีว่ายิ่งเธอใช้คำพูดอ่อนโยนต่ออีกฝ่ายมากขนาดไหน มันก็จะยิ่งกระทบจิตใจของเฉียวเค่อเหรินมากขึ้นเท่านั้น และการที่ทำเช่นนั้นได้ ก็ถือเป็นความสุขของฝูเจิ้งเจิ้งไม่น้อยเลย
และมันชัดเจน เฉียวเค่อเหรินในตอนนี้แทบจะกัดฟันตนเองให้แตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว สายตาที่จับจ้องมายังฝูเจิ้งเจิ้งนั้นราวกับกำลังแผลงศรที่อาบไปด้วยยาพิษมากมายนับไม่ถ้วนใส่ศัตรูหัวใจคนนี้อยู่ แต่เพราะทำได้แค่นั้น เธอรู้ดีว่าตนเองน่ะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของฝูเจิ้งเจิ้งหรอก เธอไม่มีทางสู้อีกฝ่ายได้แน่ๆ
ในขณะที่เฉียวเค่อเหรินเตรียมจะเดินออกไป ประตูก็เปิดออกพร้อมกับหานซือฉีที่เดินเข้ามา
ฝูเจิ้งเจิ้งมองไปยังผู้ที่เข้ามาและเผลอสบตากับเขา ด้วยความรู้สึกบางอย่างมันทำให้เธอวิตกจนต้องรีบหลบตาไปทางอื่นและแสร้งทำเป็นจัดเรียงเอกสารแทน
ทางด้านเฉียวเค่อเหรินนั้นก็รีบเปลี่ยนสีหน้าให้เป็นปกติ จากพายุแห่งความโกรธเกรี้ยวกลายเป็นสดใสประดุจวันฟ้าเปิด เธอทักทายหานซือฉีด้วยรอยยิ้มหวานเยิ้มแต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีใครสังเกตหรอกนะว่ารอยยิ้มนั้นมันดูฝืนขนาดไหน
เหลียวมองไปตามมุมต่างๆ ในออฟฟิศที่ดูเงียบสงบดังเดิม หานซือฉีก็ไม่ได้พูดอะไรต่อและดิ่งตรงไปนั่งยังเก้าอี้ของตน
“ซือฉี ทำไมมาช้าจังล่ะคะ? ฉันมารอคุณตั้งนานแล้วนา~” เสียงถูกดัดจนเสียจริตหลุดออกมาให้ได้ยินอีกครั้ง มันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกหงุดหงิดและไม่สบายใจทุกทีที่ได้ยิน แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็ยังคอยแอบมองทั้งสองเรื่อยๆ แม้สายตาจะแสร้งทำเป็นมองเอกสารตรงหน้าก็ตาม และได้เห็นว่าเฉียวเค่อเหรินกำลังเกาะแกะหานซือฉีราวกับปลาหมึก แถมยังกำลังกระซิบกระซาบอะไรบางอย่างอยู่ด้วย
ชัยชนะอยู่กับเธอได้ไม่นาน ตอนนี้เธอก็กลับมารู้สึกว่าตนด้อยกว่าอีกฝ่ายเสียแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งไม่มีความสุขซักเท่าไหร่ เธอรีบๆ จัดเรียงเอกสาร ลุกขึ้นและเดินออกไปโดยที่ไม่ลืมที่จะปิดประตูให้ด้วยหลังจากออกไปแล้ว
เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งเดินออกมาจากออฟฟิศ สวี่เหยียนก็หันไปมองภายในห้องนั้นก่อนจะเอ่ยถามเพื่อนสาวด้วยความเป็นห่วง
หญิงสาวเพียงยักไหล่แสดงให้เห็นว่าเธอไม่ได้แยแสอะไรอยู่แล้ว
แต่ตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของฝูเจิ้งเจิ้งก็ดังขึ้น มันเป็นสายจากเบอร์ที่ไม่รู้จัก
แปลก…
“เจิ้งเจิ้ง ฉันหลิงหลงน้า~” ทันทีที่รับสาย เสียงของหลิงหลงที่เปี่ยมด้วยพลังงานบวกก็ลอยออกมา
“อ๊า คุณหลิงหลง!” เมื่อคิดถึงเรื่องที่จูหลิงหลงส่งเสื้อผ้ามาให้เธอเมื่อเช้า ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกเขินอายขึ้นมานิดหน่อย
“ใช่แล้วจ้า นี่ เมื่อเช้าห้างมันยังไม่เปิด ฉันก็เลยไปสุ่มๆ เอาจากเสื้อผ้าที่มีอยู่แล้วไปให้เธอแทน เธอใส่ได้พอดีไหมนะ?”
“โอ้ พอดีมากเลยค่ะ คุณหลิงหลงนี่ความจำดีจริงๆ” เมื่อเห็นว่าสวี่เหยียนกำลังมองเธอด้วยความอยากรู้อยากเห็น ฝูเจิ้งเจิ้งเลยหันหน้าไปทางอื่นและพูดเสียงเบาลง
“ฉันทำงานหนักทุกวัน จะเอาเวลาที่ไหนไปจำน่ะ? ซือฉีบอกฉันมาต่างหาก”
“ห้ะ? เขาเหรอคะ?” ฝูเจิ้งเจิ้งยังคงฝืนยิ้ม “เขาคงเดาถูกละมั้งคะ”
“เดาเหรอ? ฉันคิดว่าเขาวัดขนาดเธอด้วยมือซะอีก ยกตัวอย่างผ้าพันคอก็ได้ มันพอดีกับเธอเลยใช่ไหมล่ะ?”
“พ-พูดอะไรออกมาน่ะคะ!?” ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็อายม้วนไปหมด จูหลิงหลงเองก็หัวเราะเสียงดังออกมา
“ฮ่ะๆๆ ฉันไม่ได้จะมาตอกย้ำอะไรหรอก พอดีฉันจะไปซื้อของกับลูกค้า แล้วกะว่าจะซื้อเสื้อผ้าให้เธอด้วย ถ้ายังไงเธอช่วยมารับพวกมันเองตอนเลิกงานนะ แบบว่าหลายวันนี้ฉันงานยุ่งมากๆ จนไม่ว่างไปส่งให้เธอแน่นอน เดี๋ยวยังไงฉันจะส่งที่อยู่ให้หลังจากวางสายนะ แค่นี้แหละ กลับไปทำงานต่อแล้ว บ๊ายบายจ้า”
จูหลิงหลงรีบพูดธุระของเธอและวางสายไปทันทีหลังจากพูดจบ
อีกฝ่ายไม่เปิดโอกาสให้ฝูเจิ้งเจิ้งได้พูดขอบคุณเสียด้วยซ้ำ แต่ถ้าจะมีโอกาส ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังคงติดอยู่กับคำว่า ‘ฉันคิดว่าเขาวัดขนาดเธอด้วยมือซะอีก’
น่าอายชะมัด…
“เจิ้งเจิ้ง เจิ้งเจิ้ง! คุยกับใครน่ะ? เดาอะไรถูกเหรอ? หรือว่าเธอหมายถึง ดูดวงชะตาผ่านลายมืออะไรพวกนี้ไหม?” เมื่อเห็นว่าฝูเจิ้งเจิ้งเหม่อลอยอยู่พักใหญ่ๆ สวี่เหยียนเลยเขย่าแขนเธอแรงๆ และถามด้วยความอยากรู้
“อ-อ๊า เอ้อ ใช่ๆ ดูลายมือน่ะ แหะๆ” พลันเมื่อโดนดึงสติกลับมา ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบตอบผ่านๆ อย่างรวดเร็ว
สวี่เหยียนจ้องมองอีกฝ่ายอยู่พักใหญ่ๆ และเธอไม่เชื่อในคำพูดนั้นอย่างเด็ดขาด หญิงสาวมองซ้ายมองขวา เมื่อมั่นใจแล้วว่ารอบๆ ตัวไม่มีใครอยู่เธอจึงเอยถามออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง “ฉันไม่เชื่อเธอหรอก มีใครที่ไหนบ้างที่จะคุยกับหมอดูแล้วอายม้วนต้วนขนาดนั้น บอกฉันมาเดี๋ยวนี้เลยนะว่าเธอกำลังจะไปเดตกับหนุ่มหล่อใช่ไหม? บอกมาให้หมดเลย!”
“ไร้สาระน่า เธอน่ะควรรีบวางแผนที่จะเซอร์ไพรส์หนุ่มของเธอได้แล้ว” ฝูเจิ้งเจิ้งเคาะหัวสวี่เหยียนเบาๆ ด้วยแฟ้มเอกสาร
“ฉันจะกังวลเรื่องนั้นทำไม เพราะยังไงซะคืนนี้เธอก็ต้องมาช่วยฉันอยู่ดีนี่” สวี่เหยียนยิ้มกว้าง
“คืนนี้ฉันน่าจะไม่ว่างแล้ว รู้สึกมีไข้ ถ้ายังไงวันอื่นได้ไหม?” ฝูเจิ้งเจิ้งรู้สึกอยากจะนอนเร็วมากกว่าคืนนี้
“ไม่ได้ เพราะฉันมีบางสิ่งที่สำคัญที่ต้องคุยกับเธอด้วย”
“แต่…” ในขณะนั้นเอง ประตูของออฟฟิศก็เปิดออก ทั้งสองรีบจบบทสนทนาและแสร้งทำเป็นวุ่นกับงานอย่างขยันขันแข็งทันที
หานซือฉีและเฉียวเค่อเหรินเดินออกมาจากออฟฟิศนั้นและตรงไปยังทางเข้าลิฟต์ทันที
สวี่เหยียนแลบลิ้นไล่หลังสองคนนั้นไป
พลันเมื่อประตูลิฟต์ปิดลง ฝูเจิ้งเจิ้งก็หันมาชี้หน้าสวี่เหยียนและพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังเลียนแบบหานซือฉี “เลขาสวี่ ถ้าเธอยังกล้าเอาเวลางานมาพูดเรื่องส่วนตัวอีกล่ะก็ เธอจะโดนหักโบนัส 3 เดือนไปนะ”
หญิงสาวกลอกตาใส่ฝูเจิ้งเจิ้ง “คุณเข้าใจฉันผิดแล้ว ฉันน่ะขยันทำงานจะตายไปค่ะ”
“…”
“…”
“เธอนี่มันช่างยอกย้อนจริงๆ ฮ่าๆๆๆๆ”
ทั้งสองหัวเราะออกมาด้วยกันเสียงดัง
เมื่อเห็นว่าตัวเลขที่อยู่เหนือลิฟต์นั้นระบุว่าตัวลิฟต์ลงไปถึงชั้นล่างแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็โล่งอกแล้วหันไปถามสวี่เหยียน “เธอจะปรึกษาอะไรฉันน่ะ?”
ทันทีที่โดนถามคำถามเช่นนั้น สวี่เหยียนก็เริ่มจะตื่นเต้นขึ้นมาก่อนจะพูดตอบ “เจิ้งเจิ้ง…พรุ่งนี้เป็นวันเกิดของอี้เฉิงน่ะ ฉันเลยอยากจะทำเซอร์ไพร์สเขา”
“เซอร์ไพร์สวันเกิดเหรอ? มีไอเดียอะไรบ้างแล้วหรือเปล่า?”
“พรุ่งนี้ตอนกลางคืนจะเป็นคริสมาสต์อีฟด้วย ฉันได้ยินมาว่าที่รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางจะมีปาร์ตี้ตอนกลางคืน เพราะงั้นฉันเลยกะว่าจะพาอี้เฉิงไปที่นั่นและจัดงานวันเกิดที่นู่นไปเลย แต่ฉันจะแสร้งบอกเขาว่าจะชวนไปเต้นรำนะ เธอคิดว่ายังไง?”
รีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางเหรอ? แถมเป็นกลางคืนด้วย? มีอะไรล่อตาไปมากกว่านี้ไหมนะ?
ด้วยท่าทีดีใจของฝูเจิ้งเจิ้ง สวี่เหยียนเลยเข้าใจว่าอีกฝ่ายเองก็มองว่าความคิดนี้เป็นเรื่องที่ดีเหมือนกัน ดังนั้นเธอจึงพูดต่อ “เธอจะพาซิงซิงไปด้วยก็ได้ แล้วเดี๋ยวฉันจะพาเพื่อนไปเพิ่ม จะได้จองหลายๆ ห้อง งานเลี้ยงจบก็ค้างที่นั่นไปเลย แต่ฉันไม่มั่นใจเลยแฮะว่าจะยังมีห้องว่างหรือเปล่า…”
ในตอนนั้นเอง บนจอโทรศัพท์ของฝูเจิ้งเจิ้งก็มีข้อความถูกส่งเข้ามา เมื่อก้มไปดูก็พบว่ามันเป็นข้อความจากจูหลิงหลง เห็นดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งจึงรีบพูดขึ้นมาทันที “เรื่องจองห้องไม่น่าเป็นปัญหา ฉันกลัวว่าฉันกับฝูซิงจะออกจากบ้านตอนกลางคืนไม่ได้ต่างหาก”
“เพราะคุณหานเหรอ? งั้นเดี๋ยวฉันจะลองขอให้ก็แล้วกัน” เมื่อคิดได้ดังนั้น สวี่เหยียนก็เหมือนจะนึกอะไรขึ้นมาได้ เธอแตะอกตัวเองด้วยท่าทีตกใจ “นี่เขารบกวนชีวิตเธอถึงขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย? เขา…”
“เธอคิดมากไปแล้ว เขาก็แค่ไม่อยากให้ฝูซิงออกไปไหนข้างนอกตอนกลางคืน ยังไงซะฝูซิงก็เรียกเขาว่าพ่อ เพราะงั้นเขาเลยต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย”
“โอเค งั้นฝากเธอจัดการเรื่องจองห้องด้วยนะ ส่วนฉันจะขอคุณหานให้เธอเอง”
“โอเค” ฝูเจิ้งเจิ้งยิ้มและก้มหัวลองไปอ่านข้อความที่จูหลิงหลงส่งมาให้ก่อนจะเหลือบไปดูเวลาและเหลือบไปมองภายในออฟฟิศของหานซือฉี ดูจากสภาพห้องที่เก็บเรียบร้อยแล้วนั้น เธอเดาว่าเขาคงไม่กลับเข้าออฟฟิศอีกในรอบบ่ายแน่ๆ ดังนั้นเธอจึงพูดคุยกับสวี่เหยียนอีกนิดหน่อยและเลิกงานเร็วกว่าปกติ
หญิงสาวเดินตามที่อยู่ที่จูหลิงหลงส่งมาให้ และในที่สุดก็ได้พบกับสตูดิโอที่อีกฝ่ายทำงานอยู่
งานของจูหลิงหลงก็คือนักออกแบบ ดังนั้นสตูดิโอของเธอจึงไม่ได้ใหญ่โตมากนัก หากแต่ก็ดูจะวุ่นวายไม่น้อยเลย
ในทันทีที่ได้ยินว่าฝูเจิ้งเจิ้งมาถึงแล้ว จูหลิงหลงก็รีบวิ่งออกมารับด้วยสีหน้ายินดีสุดๆ
“ว้าว~ เธอเลิกงานเร็วมากๆ เลย หรือว่าจะโดดงานอีกแล้ว? ระบบของเว่ยหานน่ะเข้มงวดมากเลยนะ แบบนี้แสดงว่าซือฉีคงเอ็นดูเธอน่าดูเลย” ระหว่างที่พูด จูหลิงหลงก็ลากฝูเจิ้งเจิ้งเข้าออฟฟิศของเธอไปด้วย
“ไม่ใช่แบบนั้นหรอกค่ะ พอดีฉันได้ยินว่ามีเสื้อผ้าสวยๆ กำลังรอฉันอยู่ ก็เลยขอออกมาก่อน” ฝูเจิ้งเจิ้งอธิบายด้วยรอยยิ้ม
จูหลิงหลงหยิบถุงกระดาษสองใบขึ้นมาและส่งให้ฝูเจิ้งเจิ้ง “ลองใส่มันดูสิ ฉันคิดมันน่าจะเหมาะกับเธอมากๆ เลย อาจจะทำให้หนุ่มๆ หันมองกันตาเป็นมันเลยก็ได้นะ”
ฝูเจิ้งเจิ้งเปิดถุงออกมา เธอมองเสื้อผ้าที่อยู่ด้านในก่อนจะพยักหน้าและยิ้มให้ “สวยมากๆ เลยล่ะค่ะ ขอบคุณมากๆ เลยนะคะ คุณหลิงหลง”
“แน่นอนอยู่แล้ว นั่นก็เพราะฉันเป็นคนเลือกเองกับมือเลยยังไงล่ะ! จะให้ฉันเลือกชุดไม่สวยมาได้ยังไงกัน?” จูหลิงหลงยืดอกภาคภูมิใจ “เมื่อตอนที่เฉียวเค่อเหรินมาพบหน้าของฉันครั้งแรก เธอน่ะขอให้ฉันช่วยเลือกชุดที่เข้ากับตัวเธอให้…”
บางทีจูหลิงหลงอาจจะตระหนักได้ว่าไม่ควรพูดเรื่องเฉียวเค่อเหรินขึ้นมาต่อหน้าฝูเจิ้งเจิ้งพอดี มันเลยทำให้เจ้าตัวยิ้มแห้งๆ ก่อนจะพยายามเลี่ยงการพูดถึงเฉียวเค่อเหรินไป “ฉันไม่อยากจะพูดกับเธอคนนั้นซักเท่าไหร่ พูดก็พูดเถอะ ฉันน่ะสามารถเลือกชุดที่เหมาะสมให้ใครก็ได้ที่ฉันชอบฟรีๆ เลย แต่กับคนที่ฉันไม่ชอบแล้ว ต่อให้เอาเงินมาฟาดหัวแค่ไหน ยังไงก็ไม่อยากทำ และจะไม่ทำด้วย นั่นเป็นปณิธานของฉัน”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็ยิ้มออกมาเพื่อบอกว่าเธอไม่ได้กังวลอะไรกับเรื่องนี้ “ทำแบบนั้นไม่ได้นะคะ คุณหลิงหลงควรจะรับเงินไม่ว่าจะออกแบบชุดให้ใครก็ตามสิ มันควรเป็นแบบนี้ไม่ใช่เหรอ? ไว้คนไหนที่คุณไม่ชอบก็ค่อยบวกราคาไปสูงๆ หน่อยอะไรแบบนี้”
“ถ้าเฉียวเค่อเหรินไม่ได้มาข้องเกี่ยวอะไรกับตระกูลหาน ฉันก็คงจะยอมช่วยเธอนั่นแหละ” จูหลิงหลงน่ะมักจะเป็นคนที่พูดอะไรออกมาตรงๆ เสมอ เธอถอนหายใจแล้วพูดต่อ “แต่เพราะยัยนั่นโลภอยากได้ซือฉี ฉันไม่อยากให้เธอคนนั้นแต่งงานกับซือฉีหรอกนะ เหมาะสมกันตรงไหนน่ะ? ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อเธอเป็นคนใหญ่คนโตงัดลูกเล่นมาใช้ คิดเหรอว่าพี่ใหญ่จะยอมเห็นด้วยกับการแต่งงานแบบนี้น่ะ?”
———————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
แอบคิดตามเหมือนกันว่าถ้าไม่มีเฉียวเค่อเหริน หานซือเซียนจะว่ายังไงเกี่ยวกับคู่ หานซือฉี x ฝูเจิ้งเจิ้ง