บทที่ 82 แหวนหมั้น
หานซือฉีหันไปมองตามเสียงแล้วก็พบว่าฝูซิงนั้นวิ่งกลับมาหาเขา
เขาหันกลับมาหาฝูซิงพร้อมกับยิ้มให้ “ซิงซิง ทำไมถึงกลับมาล่ะ?”
ฝูซิงชี้ไปทางถุงขนมในมือหานซือฉีพร้อมพูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้วอันเป็นเอกลักษณ์ “ป๊ะป๋า ตรงนี้มีขนมอร่อยๆ อยู่ด้วย”
ชายหนุ่มจับมือของเจ้าตัวเล็กไว้พร้อมรอยยิ้มก่อนจะพาเขาไปส่งยังรถที่ถูกจัดเตรียมไว้
หลังจากวางถุงขนมไว้ข้างๆ ฝูเจิ้งเจิ้งแล้ว หานซือฉีก็เอนตัวพิงลงมากับหน้าต่างรถ ก่อนจะพูดด้วยเสียงโทนต่ำ “หลายวันนี้ฉันคงจะยุ่งพอตัว รวมถึงจะไม่ได้ไปบริษัทด้วย ในเมื่อซิงซิงหยุดยาวแล้ว เธอเองก็หยุดอยู่บ้านกับเขาด้วยละกัน”
ฝูเจิ้งเจิ้งมองไปยังที่นั่งคนขับที่อยู่ด้านหน้าเธอ ก่อนจะพยักหน้ารับช้าๆ โดยไม่ได้พูดอะไร
ขณะที่รถกำลังสตาร์ทแล้ววิ่งออกช้าๆ ฝูซิงก็เปิดกระจกแล้วโบกไม้โบกมือให้กับหานซือฉี “บ๊ายบาย ป๊ะป๋า!”
ร่างของหานซือฉีค่อยๆ ลับตาไปจนกระทั่งไม่อยู่ในสายตาแล้ว ฝูซิงถึงนั่งลงแล้วหันไปถามฝูเจิ้งเจิ้ง “หม่ามี๊ ‘แต่งงาน’ คืออะไรเหรอ?”
“แต่งงานเหรอ?” ฝูเจิ้งเจิ้งทวนคำถามซ้ำก่อนจะเคาะหน้าผากฝูซิงไปเสียทีหนึ่ง “ทำไมเป็นเด็กขี้สงสัยแบบนี้ฮะ?”
“บอกฝูซิงหน่อยน้า~” ฝูซิงยังไม่ยอมแพ้ เขาเกาะแขนผู้เป็นแม่แล้วเขย่าแรง
“แต่งงานก็หมายถึงคน 2 คนที่รักกัน ตกลงปลงใจใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันแล้วก็ให้กำเนิดเด็กไง น้าสวี่กับลุงเสี่ยวเองก็กำลังจะแต่งงานกันเร็วๆ นี้ จากนั้นพวกเขาทั้งสองก็จะมีน้องด้วยกัน ลูกก็จะมีน้องไว้เล่นเป็นเพื่อน โอเคไหม?” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามอธิบายให้ง่ายที่สุด เพื่อให้เด็กๆ อย่างฝูซิงเข้าใจได้ง่ายๆ
“ฮึ่ม!” ทว่าฝูซิงกลับดูโกรธขึ้นมาทันทีเมื่อฟังจบ
เมื่อเห็นท่าทีเช่นนั้นของลูกชายตน ฝูเจิ้งเจิ้งก็อดสงสัยไม่ได้ที่ทำไมจู่ๆ เขาก็เป็นเช่นนั้น “ฝูซิง ลูกเป็นอะไรไปน่ะ?”
เด็กชายไม่ได้ตอบอะไรและกลับไปนั่งพิงหน้าต่างอีกครั้ง
เธอคิดว่าเขาคงจะคิดถึงอะไรที่ไม่น่าชอบใจออกขึ้นมาก็เลยเป็นแบบนี้ แต่เมื่อเธอกำลังจะปลอบเขา โทรศัพท์ของเธอมันก็ดังขึ้น ซึ่งปลายสายคือสวี่เหยียน
“เจิ้งเจิ้ง พรุ่งนี้เช้าฉันจะไปขโมยเวลาของเธอเพื่อไปช่วยฉันทำอะไรบางอย่าง”
“ทำอะไรน่ะ?” มันเป็นเรื่องแปลกสำหรับสวี่เหยียนมากๆ ที่จู่ๆ เธอพูดรวบรัดออกมาเช่นนี้ จนฝูเจิ้งเจิ้งสงสัยสุดๆ
“ห้ามถาม! 9 โมงครึ่งพรุ่งนี้ ฉันจะรอเธอที่ประตูหน้าคอมมูนิตี้ ถ้าเธอไม่มาล่ะก็ฉันจะเลิกคบเป็นเพื่อนแน่ๆ!” พูดเสร็จสวี่เหยียนก็รีบวางสายไปในทันที
ฝูเจิ้งเจิ้งงุนงงกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากๆ หรือว่าเพราะเสี่ยวอี้เฉิงคงจะเตรียมอะไรที่โรแมนติกไว้รอสวี่เหยียนเหรอ เจ้าหล่อนถึงได้ต้องให้เธอไปเป็นเพื่อน แต่ถ้าเรื่องแค่นี้ก็บอกมาตรงๆ ก็ได้นี่นา
เหลือบมองไปยังฝูซิง เมื่อเห็นเขายังคงทำสีหน้าเคร่งเครียด ฝูเจิ้งเจิ้งก็จงใจพูดขึ้นมา “น้าสวี่จะเลี้ยงอาหารอร่อยๆ พวกเราพรุ่งนี้น่ะ เอ จะมีเจ้าแรคคูนอ้วนแถวนี้สนใจไหมน้า~”
“น้าสวี่จะเลี้ยงอะไรเหรอ?” ได้ยินคำว่าอาหารอร่อย ผู้ที่เป็นแรคคูนอ้วนในประโยคก็รู้ตัวและหันขวับมาถามด้วยแววตาที่เปล่งประกายทันที
“อะไรก็ได้ทุกอย่าง”
“ว้าว! เยี่ยมยอดไปเลย!” ฝูซิงปรบมือด้วยความดีอกดีใจ ดูเหมือนว่าเขาจะลืมเรื่องที่ทำให้อารมณ์เสียเมื่อครู่ไปแล้ว เห็นดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็อดที่จะแอบหัวเราะอยู่ในใจไม่ได้
—————————————————-
วันนี้เป็นวันที่อากาศอบอุ่น
ยืนมองสายลมที่พริ้วไหวไปเรื่อย ฝูซิงก็ปีนขึ้นมาบนเตียงพร้อมกับสะบัดผ้าห่มที่ห่มคลุมร่างของฝูเจิ้งเจิ้งออก…เป็นครั้งที่ 100 พร้อมตะโกน “หม่ามี๊! เช้าแล้ว! พระอาทิตย์ขึ้นนานแล้วด้วย!”
“อ๊าาาาาาา! หม่ามี๊บอกไปแล้วไงว่าพวกเรานัดกัน 9 โมงครึ่ง!” ฝูเจิ้งเจิ้งลุกขึ้นมานั่งอีกครั้งพร้อมกับอธิบายด้วยสีหน้าง่วงนอนและผมเผ้าที่ยุ่งเหยิงไปหมด
ถ้ารู้ว่าเจ้าแรคคูนตะกละนี่จะคึกแบบนี้ ไม่บอกเรื่องนัดกับสวี่เหยียนไว้ตั้งแต่เมื่อวานซะก็ดี
“หม่ามี๊! หม่ามี๊สอนฝูซิงตลอดว่าให้ตรงต่อเวลา! เพราะงั้นรีบๆ ลุกแล้วไปแต่งตัวได้แล้ว ไม่งั้นเราจะไปไม่ทันเวลานะ!” ฝูซิงนำเสื้อผ้าของฝูเจิ้งเจิ้งมาวางกองรวมกันที่โซฟาและกลับมาปลุกเธอต่อด้วยความขยันขันแข็ง
ท้ายสุดฝูเจิ้งเจิ้งก็ต้องจำใจลุกขึ้นจากที่นอน ไปอาบน้ำและแต่งตัวเพื่อให้ฝูซิงเลิกกระวนกระวายเสียที
เมื่อใกล้ถึงเวลานัด เธอก็พาฝูซิงไปยังทางเข้าคอมมูนิตี้เพื่อพบสวี่เหยียน และแน่นอนที่สุด สวี่เหยียนไม่ได้อยู่คนเดียว ใกล้ๆ เธอนั้นมีเสี่ยวอี้เฉิงที่จอดรถรออยู่ด้วย
“พวกเราจะไปไหนกันเหรอ?” หลังจากที่ขึ้นรถมาแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็เอ่ยถามขึ้น
เสี่ยวอี้เฉิงไม่รอช้าที่จะตอบด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม “ซื้อแหวนน่ะ อาเหยียนอยากได้คำแนะนำจากเธอ”
“โอ้? แล้วเธอจะทำตัวลับๆ ล่อๆ ทำไมน่ะ? นี่อย่าบอกนะว่าวางแผนจะไปปล้นกัน?” ฝูเจิ้งเจิ้งหยอก
“บ้าน่า! ใครทำตัวลับๆ ล่อๆ กัน!!” สวี่เหยียนปฏิเสธ แต่ใบหน้าของเธอมันแดงก่ำไปหมดแล้ว
“หม่ามี๊ คนสองคนจะแต่งงานกันได้จำเป็นต้องซื้อแหวนเหรอ?” จู่ๆ ฝูซิงก็ถามขึ้นมา
หญิงสาวรีบหันไปตอบลูกชายของตนด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้วจ้ะ”
ทันใดนั้นเด็กน้อยก็บุ้ยปากและแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาอีก
อย่างไรก็ตาม ท่าทีนี้ของฝูซิงนั้นไม่ได้เป็นที่เอะใจของทั้งสามคนเลย พวกเขาพากันไปยังห้างเพชรที่ใหญ่ที่สุดภายในเมือง B ระหว่างทางก็พูดคุยกันสนุกสนานไปเรื่อย
จ้องมองไปยังการออกแบบที่หรูหราเป็นเอกลักษณ์ของห้างเพชรที่เพิ่งมาถึง สวี่เหยียนที่ยืนอยู่หน้าทางเข้านั้นก็เกิดประหม่าและปฏิเสธที่จะเข้าไปเสียอย่างนั้น
ดังนั้นเสี่ยวอี้เฉิงจึงต้องมาลากสวี่เหยียนเข้าไปแทน “พวกเรากำลังจะแต่งงานแล้วกลายเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะ ฉันอาจจะซื้อแหวนที่มีเพชรเม็ดโตให้เธอไม่ได้ แต่อย่างน้อยๆ แหวนที่จะสวมให้เธอมันก็ต้องเป็นแหวนเพชรล่ะ!”
ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็เข้ามาช่วยเกลี้ยกล่อมด้วย “ดูสิๆ เสี่ยวอี้เฉิงดีกับเธอขนาดนี้แล้ว ถ้าเธอไม่ซื้อฉันก็ช่วยไม่ได้น้า~”
เมื่อพวกเขาเข้าประตูห้องไป ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกว่าท้องของเธอนั้นไม่สู้ดีเสียเลย เพราะงั้นหลังจากที่นำฝูซิงไปวางไว้บนเก้าอี้สูงแล้ว เธอก็รีบปลีกตัวไปเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็วโดยที่เสี่ยวอี้เฉิงและสวี่เหยียนไม่ได้รู้เรื่องด้วยเนื่องจากพวกเขากำลังง่วนกับการเลือกแหวนกันอยู่
ฝูซิงที่ต้องนั่งอยู่บนเก้าอี้นั้นรู้สึกเบื่อ แต่แล้วทันใดนั้นรูปร่างที่คุ้นเคยก็ปรากฏขึ้นมาในระยะสายตาของเขา เจ้าตัวเล็กรีบไต่ลงไปจากบนเก้าอี้แล้ววิ่งเข้าไปเรียกคนคนนั้นทันที แต่ในขณะที่กำลังจะอ้าปากเรียกนั้นเอง ฝูซิงก็ต้องชะงักไปด้วยความผิดหวัง นั่นเพราะ ผู้ที่มากับ หานซือฉีนั้น ก็คือ เฉียวเค่อเหรินที่กำลังยิ้มแก้มปริอยู่นั่นเอง
เฉียวเค่อเหรินยื่นมือของตนให้หานซือฉีดูด้วยความตื่นเต้น ในขณะที่แหวนเพชนบนนิ้วเองก็ส่องประกายเจิดจ้าอยู่ให้เห็นระยิบระยับไปด้วย
แววตาของฝูซิงดูจะโกรธมากๆ และเขากำลังโกรธหานซือฉี ผู้ที่กำลังยิ้มจางๆ อยู่ เด็กน้อยหันซ้ายหันขวา แล้วก็พบปากกามาร์คเกอร์สีดำอยู่บนเคาน์เตอร์ เขาจึงเข้าไปหยิบมันมาพร้อมกับละเลงหมึกลงบนฝ่ามือก่อนจะวิ่งกลับไปหาหานซือฉี
“สวัสดีครับ น้าเฉียว วันนี้น้าเฉียวสวยมากๆ เลยนะครับ!”
ด้วยเสียงที่เอ่ยทักนั้น ทำให้เฉียวเค่อเหรินหันไปมอง และเธอก็ต้องประหลาดใจที่ได้เห็นฝูซิงอยู่ที่นี่ หญิงสาวมองซ้ายมองขวาเพื่อหาฝูเจิ้งเจิ้ง เมื่อไม่เห็นว่าอีกฝ่ายอยู่ใกล้ๆ เธอจึงแสร้งทำเป็นสัมผัสหัวของฝูซิงด้วยความใจเย็น พลางเอ่ยถาม “สวัสดีจ้ะซิงซิง ทำไมหนูถึงมาอยู่ที่นี่ล่ะ?”
หานซือฉีที่ได้เห็นฝูซิงเองก็ประหลาดใจเช่นกัน เขามองเด็กคนนี้ด้วยสายตาที่มีแต่ความสงสัย
เด็กน้อยไม่เหลียวมองหานซือฉีเลย เขาเอาแต่เอ่ยชมเฉียวเค่อเหริน “แหวนบนมือนั่นเองก็สวยเหมือนกัน!”
“สวยเหรอ?” เฉียวเค่อเหรินยื่นมือของเธอเพื่อให้ฝูซิงได้เห็นแหวนนั้นชัดๆ ด้วยความภาคภูมิใจ
ฝูซิงจับมือเธอไว้และแหงนหน้ามองก่อนจะตอบด้วยความซื่อสัตย์ “สวยมาก! มันสวยมากๆ เลยครับ! อ๊ะ น้าเฉียว บนหน้าคุณน้ามีอะไรเลอะอยู่น่ะครับ”
“เอ๋” เฉียวเค่อเหรินรีบดึงมือกลับแล้วสัมผัสตามใบหน้าของตนเพื่อเช็ดสิ่งที่คิดว่าเลอะออกทันที จากนั้นเธอก็หันไปหาหานซือฉีเพื่อถาม “ซือฉี หน้าฉันเลอะอะไรเหรอคะ?”
ทว่าเมื่อผู้ที่อยู่ฝั่งเดียวกับหานซือฉีได้เห็นรอยดำบนใบหน้าของสาวงามผู้นี้ พวกเขาต่างก็พากันหลุดหัวเราะออกมา
เจ้าตัวแสบต้นเรื่องนี่ก็เช่นกัน เขาปรบมือพร้อมหัวเราะเสียงดังก่อนจะรีบเก็บมือที่เปื้อนมาร์คเกอร์นั้นซ่อนไว้ด้านหลัง “ฮ่าๆๆๆ น้าเฉียวกลายเป็นแมวแล้ว!”
หญิงสาวรีบส่องหน้าตัวเองผ่านกระจก จากนั้นสีหน้าของเธอก็มืดมนลงไปทันที ทว่าเมื่อเธอเหลือบไปเห็นว่าครอบครัวของตนกำลังเดินมา เธอก็กลืนความโกรธเหล่านั้นลงไปแล้วรีบหยิบทิชชู่เปียกขึ้นมาเช็ดหน้าทันที
ในขณะที่เธอกำลังเช็ดหน้าอยู่นั้นเอง เฉียวเค่อเหรินก็พูดกับฝูซิงอย่างใจเย็นไปด้วย “ซิงซิง ดื้อจริงๆ เลย ถ้าหากหนูทำแบบนี้อีก น้าจะโกรธหนูแล้วจับหนูตีก้นแล้วนะ”
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายจะจับตนตีก้น ฝูซิงก็รีบวิ่งกลับไปที่ร้านเครื่องเพชรที่สวี่เหยียนกำลังเลือกซื้อแหวนอยู่ แต่ยังไม่ทันจะได้วิ่งถึงร้าน ทั้งฝูเจิ้งเจิ้งและสวี่เหยียนที่อยู่ในอาการวิตกสุดๆ ก็วิ่งมาทางเขาพอดี
“ฝูซิง! ลูกวิ่งไปทั่วอีกแล้วนะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งตะโกนใส่เขาด้วยความโกรธ
ฝูซิงไม่ได้หาข้อแก้ตัวใดๆ ให้ตนเอง เขาจับมือฝูเจิ้งเจิ้งไว้แล้วรีบลากกลับไปยังร้านเครื่องเพชร พลางพูดเร้า “หม่ามี๊ รีบๆ ไปเลือกแหวนเถอะ”
“ของในร้านนั้นยังไม่ดีพอน่ะจ้ะ เพราะงั้นเราไปร้านถัดไปกันดีกว่า” สวี่เหยียนพูดด้วยรอยยิ้ม
“แหวนพวกนี้ดูดีจะตายยย ฝูซิงคิดว่าแหวนในร้านนี้ดูสวยมากเลยนะ!” เด็กน้อยจงใจดึงแม่ของตนกลับเข้าไปในร้านดังเดิม
ฝูเจิ้งเจิ้งและสวี่เหยียนต่างก็มองหน้ากัน ต่างฝ่ายต่างยิ้มให้กันเอง และในขณะที่ทั้งสองกำลังจะเดินกลับเข้าไปในร้าน เสียงหวานเลี่ยนที่คุ้นหูของเฉียวเค่อเหรินก็ดังมาจากด้านหลัง “ซือฉี คุณคิดว่าวงไหนสวยกว่ากันเหรอคะ?”
หัวใจของฝูเจิ้งเจิ้งพลันหล่นวูบลงแม้จะยังไม่ทันได้หันไปมอง ฝูซิงที่เหมือนจะพยายามเลี่ยงไม่ให้ทั้งสองได้พบกันอยู่แล้วก็รีบเดินมาด้านหลังไว้ โดยหวังว่าฝูเจิ้งเจิ้งหันมาก็จะได้มองไม่เห็น ทว่าเด็กตัวเล็กๆ อย่างเขาจะสามารถยืนบังสายตาคนอื่นได้ด้วยเหรอ?
เฉียวเค่อเหรินที่เพิ่งจะหันมาเห็นฝูเจิ้งเจิ้งและเพื่อน ก็เอ่ยทักทายด้วยรอยยิ้ม “คุณฝู คุณสวี่ พวกคุณเองก็มาซื้อแหวนเพชรเหรอคะ? บังเอิญจังเลยนะ ฉันเองก็มาซื้อแหวนหมั้นกับซือฉีเหมือนกัน แหวนพวกนี้สวยไปหมดจนฉันเลือกไม่ถูกเลย พวกคุณพอจะช่วยฉันได้ไหมคะ?”
สีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้งซีดเผือดลงในทันที เธอเหลือบมองหานซือฉีด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยคำถาม แต่นอกจากเขาจะไม่ยอมพูดอะไรแล้ว เขายังหลบตาเธออีกด้วย
เติ้งอันอวี่ ผู้เป็นแม่ของเฉียวเค่อเหรินเดินเข้ามาเบรคเฉียวเค่อเหรินไว้ก่อน เธอยิ้มให้ทุกคนก่อนจะพูดกับลูกตนเอง “เค่อเหริน ยัยบ๊อง แหวนแต่งงานของลูกก็ต้องให้สามีของลูกเลือกสิจ๊ะ จะให้เพื่อนช่วยเลือกได้ยังไงน่ะฮะ?”
“อ๊ะ คุณแม่ หนูลืมไปเลยถ้าคุณแม่ไม่ได้มาเตือนแบบนี้” เฉียวเค่อเหรินหันกลับไปมองหานซือฉี และถามใหม่ “งั้น ซือฉีคะ คุณคิดว่าวงไหนสวยกว่ากันเหรอ?”
หานซือฉียิ้มอย่างอ่อนโยนก่อนจะตอบ “สวยทั้งสองวงเลย”
ขณะที่เฉียวเค่อเหรินกำลังแก้มป่องกับคำตอบที่ไม่ได้ช่วยให้เธอตัดสินใจได้แบบนั้น เฉียวหยวนหานก็พลันหัวเราะขึ้นมา “ซือฉีนี่หลักแหลมจริงๆ เธอตั้งใจจะให้วงหนึ่งเป็นแหวนหมั้น ส่วนอีกวงหนึ่งเป็นแหวนแต่งงานสินะ ฮ่าๆๆ เพอร์เฟ็คๆ”
เติ้งอันอวี่เองก็หัวเราะเช่นกัน “ฮะๆๆ เค่อเหริน ดูสิ ซือฉีรักลูกมากๆ เลยนะ เพราะลูกชอบทั้งสองวง เขาก็ไม่ปฏิเสธทั้งสองวงเลย”
“หึยยยย คุณพ่อ คุณแม่ อย่ามาแหย่สิคะ โธ่ หนูอายหมดแล้ว” เฉียวเค่อเหรินพูดด้วยท่าทีเขินอายในขณะที่ใบหน้าของเธอนั้นแทบจะจมลงไปในอกของหานซือฉี
เมื่อต้องมาเห็นภาพเหล่านี้ด้วยสายตาของตนเอง ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกเหมือนหัวใจของเธอกำลังถูกกระหน่ำแทงด้วยมีดคมอย่างไร้เมตตาจนมันเป็นแผลนับไม่ถ้วน ความเจ็บปวดนั้นมากราวกับว่าเธอถูกแทงจริงๆ
“เจิ้งเจิ้ง ไปกันเถอะ” สวี่เหยียนที่เริ่มกังวลรีบดึงฝูเจิ้งเจิ้งที่กำลังกัดริมฝีปากของตนเองอยู่
“หม่ามี๊ ไปกันดีกว่า ไม่ต้องพูดกับป๊ะป๋าอีกต่อไปแล้ว!” ฝูซิงจ้องมองหานซือฉีและเฉียวเค่อเหรินผู้ที่เกือบกลายเป็นก้อนหินมนุษย์ในสายตาของเขาด้วยความโกรธ และเขาเองก็ต้องการจะพาฝูเจิ้งเจิ้งออกไปจากตรงนี้เช่นกัน
“เค่อเหริน พรุ่งนี้ลูกก็จะหมั้นกับซือฉีแล้ว ชวนเพื่อนลูกมาที่งานเลี้ยงของเราด้วยสิ” เติ้งอันอวี่ยังคงพูดด้วยรอยยิ้มราวกับไม่รู้ถึงบรรยากาศที่กำลังคุกรุ่น
“เอ่อ คุณเฉียว พอดีว่าพวกเรามีบางอย่างที่ต้องไปทำน่ะค่ะ ถ้ายังไงขอตัวก่อนนะคะ” สถานการณ์มันแย่ลงเรื่อยๆ รวมถึงฝูเจิ้งเจิ้งก็ยืนนิ่งไปแล้ว สวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิงจึงตัดสินใจที่จะรีบขอตัวลาแล้วดึงร่างที่แน่นิ่งเป็นรูปปั้นไปแล้วออกมาทันที
ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังโดนดึงให้หันกลับไปนั้น เธอก็ยังคงเหลือบมองหานซือฉีอยู่ และมันยังคงเป็นเช่นเดิม เขาไม่ได้มองเธอเลยแม้แต่นิด ในสายตาของเขามีเพียงเฉียวเค่อเหรินเท่านั้น ซึ่งมันทำให้หญิงสาวผู้ที่เพิ่งจะมีความสุขได้วันเดียว เหมือนโดนพายุลูกใหญ่พัดเข้ามาทลายโลกแห่งความสุขของเธอทิ้งไม่มีชิ้นดี
ก่อนหน้านี้ เขาเป็นคนบอกเธอเองว่ารักเธอมากขนาดไหน และไม่ยอมให้เธอไปรักคนอื่น แต่เพียงชั่วพริบตา เขาก็กำลังมาเดินซื้อแหวนแต่งงานกับหญิงอื่นแล้ว!
ทำไมเขาถึงทำแบบนี้กับเธอนะ? นี่เขาคิดว่าเธอเป็นยัยโง่ที่สามารถหลอกได้ง่ายๆ งั้นเหรอ?
“เจิ้งเจิ้ง ฉันต้องขอโทษจริงๆ ฉันไม่คิดว่า…” สวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิงที่ไม่ได้สนใจจะซื้อแหวนแล้วหันมาปลอบใจฝูเจิ้งเจิ้งที่อาการไม่ดีนัก พวกเขาเป็นกังวลเรื่องของเพื่อนสาวคนนี้มากกว่าเรื่องแหวนแต่งงานของพวกตนเสียอีก
“สวี่เหยียน พวกเธอไม่ได้ผิดอะไรเลย ฉันจะกลับไปทำตัวให้ใจเย็นๆ ก็แล้วกันนะ” ฝูเจิ้งเจิ้งส่ายหน้าเบาๆ หลังจากที่ลงรถมาแล้ว เธอก็ไม่มีอารมณ์ที่จะคุยอะไรกับสวี่เหยียนเพิ่มเติมและพาฝูซิงกลับห้องไปเงียบๆ
“หม่ามี๊…” ฝูซิงพยายามเข้ามาเกาะแกะแขนเรียกร้องความสนใจจากผู้เป็นแม่เพราะเขาเป็นห่วงเธอเช่นกัน
“ไปเล่นกับย่าเฉินก่อนนะจ๊ะ หม่ามี๊ขอพักผ่อนซักหน่อยนะ” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามฝืนยิ้มออกมาก่อนจะเดินตรงเข้าไปในห้องของตนเองแล้วทิ้งตัวนอนลงไปบนเตียงนุ่ม
ในตอนนั้นเอง โทรศัพท์ของเธอก็ดังขึ้น เธอไม่รอช้าที่จะหาและหยิบขึ้นมาดู แต่เมื่อเห็นว่าเบอร์ที่แสดงอยู่บนหน้าจอนั้นเป็นเบอร์ที่ไม่คุ้นตา เธอก็รับสายนั้นด้วยความผิดหวังอยู่ลึกๆ
—————————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
โอย เจ็บไปทั้งหัวใจทำไมยังทน ♫ เจิ้งเจิ้งงงงง ฮือออออออออ