หานซือฉีรีบพุ่งเข้าไปคว้ามือเฉียวเค่อเหรินเอาไว้ ทว่าเพราะมือที่เลอะความมันจากหน้าเค้กกันทั้งคู่ มันเลยไม่สามารถทำให้มีแรงยึดเหนี่ยวพอที่จะรั้งร่างของเฉียวเค่อเหรินไว้ได้ สุดท้ายจึงจบลงด้วยเสียงตูมเบาๆ เฉียวเค่อเหรินตกลงไปในสระน้ำเรียบร้อยแล้ว
ถึงแม้ว่าน้ำในสระน้ำดังกล่าวจะไม่ได้ลึกมากนัก แต่ก็ลึกมากพอที่จะทำให้เฉียวเค่อเหรินจมลงไปได้ นอกจากนี้ด้วยอากาศที่เย็น มันก็พลอยทำให้น้ำเย็นไปด้วย เฉียวเค่อเหรินผู้โชคร้ายรู้สึกกลัวสุดๆ เธอว่ายไปมาในสระน้ำนั้นด้วยความตื่นตระหนกจนค่อยๆ ถอยห่างออกไปจากริมสระมากขึ้นเรื่อยๆ “ซือฉี ช่วยฉันด้วย!”
ตัวเขาพยายามยื่นแขนออกไปจนสุดแล้ว แต่ก็ไม่สามารถถึงตัวเฉียวเค่อเหรินได้เสียที ไม่ว่าเขาจะพยายามขยับเปลี่ยนท่าขนาดไหนก็ตาม
ฝูเจิ้งเจิ้งพาเด็กทั้งสองคนไปหลบไกลๆ ก่อนจะรีบวิ่งกลับมายังสระน้ำ เธอถามด้วยเสียงเบา “นายว่ายน้ำได้ไหม?”
ด้วยคำถามนั้น มันทำให้หานซือฉีงุนงงนิดหน่อยแต่ก็ค่อยๆ พยักหน้าตามทีหลัง
เห็นดังนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็จับมือเขาไว้แน่น และเริ่มออกแรงดึง…เพียงครึ่งเดียว เธอแสร้งว่าเธอทุ่มสุดตัวแล้ว แต่ด้วยบางสิ่งบางอย่างที่ค้างคาในใจ มันเลยทำให้เธอออกแรงดึงแค่ครึ่งเดียวเท่านั้น ดีไม่ดีก็ไม่ถึงครึ่งด้วยซ้ำ
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่งแต่เมื่อได้ยินเฉียวเค่อเหรินเร่งเร้าให้ช่วย ท้ายที่สุดเขาก็หันไปบอกฝูเจิ้งเจิ้ง “ดึงเอาไว้นะ!” ก่อนจะค่อยๆ เอนตัวเข้าใกล้สระน้ำในจุดที่เฉียวเค่อเหรินตกลงไปพร้อมกับบอกอีกฝ่าย “เค่อเหริน จับมือฉันไว้!”
สองแขนที่จับมือของหานซือฉีไว้เริ่มออกแรงดึงกลับ ฝูเจิ้งเจิ้งกัดฟันแน่นและพยายามดึงให้เท่าที่พอจะดึงไหว เธอพยายามให้หานซือฉีสามารถเข้าใกล้เฉียวเค่อเหรินได้ทีละนิด
ทันทีที่เห็นว่าหานซือฉีสามารถคว้ามือของเฉียวเค่อเหรินได้แล้วและเตรียมจะดึงกลับ แรงของฝูเจิ้งเจิ้งมันก็พลันมลายหายไปหมด เธอปล่อยมือทั้งสองข้างที่จับอีกฝ่ายไว้ และ ตูม เสียงบางอย่างตกน้ำ ไปพร้อมกับหานซือฉีที่ไม่อยู่ที่ริมสระแล้ว
อุ๊บส์ มือลื่น~
ร่างของหานซือฉีนั้นกระเด็นตามแรงของเธอลงไปในสระอย่างที่คาดหวังไว้
“อ๊าาา ป๊ะป๋าตกน้ำไปแล้ว! ช่วยด้วย! ช่วยป๊ะป๋าด้วย!” ฝูซิงที่ก่อนหน้านี้กำลังแอบมีความสุขกับการที่ได้เห็นเฉียวเค่อเหรินต้องเผชิญกับความโชคร้ายนั้นก็เกิดเป็นกังวลขึ้นมาเมื่อเห็นว่าหานซือฉีเองก็ตกลงไปในน้ำด้วย เขาวิ่งไปรอบๆ แล้วตะโกนเรียกให้คนช่วยไปด้วย
ได้ยินเสียงร้องของฝูซิง หานเสี่ยวเสี่ยวเองก็ชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะวิ่งตามฝูซิงไปและขอให้คนอื่นช่วยเช่นกัน “ช่วยด้วยค่ะ! ช่วยด้วย!”
เสียงร้องของเด็กๆ นั้นเรียกความสนใจของผู้คนละแวกนั้นได้ดี แต่กว่าพวกเขาจะมาถึงที่เกิดเหตุ หานซือฉีก็พาเฉียวเค่อเหรินว่ายกลับมายังขอบสระเรียบร้อยแล้ว คนเหล่านั้นเพียงแค่มาช่วยดึงทั้งสองขึ้นเท่านั้น
เฉียวเค่อเหรินที่เพิ่งจะขึ้นฝั่งได้นั้น ช็อกและร้องห่มร้องไห้ไม่หยุด
ฝูเจิ้งเจิ้งที่ยืนรออยู่บนฝั่ง เมื่อเห็นเฉียวเค่อเหรินขึ้นมาด้วยท่าทีหนาวสั่น เธอก็เริ่มตระหนักได้ว่า เส้นผมที่กระเซอะกระเซิง ใบหน้าที่ซีดเซียวและริมฝีปากที่จืดสนิทนั้นปราศจากความมีราศีก่อนหน้าลิบลับ เฉียวเค่อเหรินในตอนนี้ หากจะบอกว่าผี ก็คงไม่เกินเลยนัก
เธอหันหน้ากลับออกไปจากจุดนั้นก่อนจะได้คิดไปมากกว่านี้ ซึ่งในขณะนั้น หานซือฉีที่ขึ้นมาพร้อมๆ กับเฉียวเค่อเหรินก็รีบพยุงเธอออกไปด้านนอกตามด้วยผู้คนมากมายที่เข้ามาช่วยเมื่อครู่นี้วิ่งตามกันไป
“หม่ามี๊ เป็นอะไรหรือเปล่า?” ฝูซิงกุมมือหานเสี่ยวเสี่ยวเข้ามาหาฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
หญิงสาวรีบหันไปย่อตัวแล้วกอดเด็กๆ ทั้งสองเอาไว้พลางกล่อมด้วยเสียงนุ่มนวล “หม่ามี๊ไม่เป็นไรจ้ะ พวกหนูเป็นอะไรกันหรือเปล่า?”
“ฝูซิงไม่เป็นไร! ฝูซิงเข้มแข็ง!” ฝูซิงหันหน้าไปมองหานเสี่ยวเสี่ยว แล้วเอ่ยถาม “เสี่ยวเสี่ยวล่ะ กลัวหรือเปล่า?”
“ถ้าซิงซิงไม่กลัว เสี่ยวเสี่ยวก็ไม่กลัว!” หานเสี่ยวเสี่ยวเองก็ตอบอย่างกล้าหาญเช่นกันขณะที่กุมมือของฝูซิงเอาไว้
“ไม่ต้องกลัว! ฝูซิงจะปกป้องเสี่ยวเสี่ยวเอง!” เห็นเช่นนั้นฝูซิงก็ตีอกตนให้ความมั่นใจ
ฟังเด็กๆ ดูจะไม่กลัวกันเช่นนี้ฝูเจิ้งเจิ้งก็โล่งใจ เธออุ้มหานเสี่ยวเสี่ยวขึ้นมาและจูงมือฝูซิงเข้าไปที่บ้านด้วยความรู้สึกผิด
ทันทีที่พวกเธอถึงหน้าบ้าน ฝูเจิ้งเจิ้งก็เห็นคนมากมายวิ่งออกมาจากประตู ซึ่งประกอบด้วยจีหยาฉู หานเถิงอวี้ หนี่หวานภรรยาของหานซือเซียนและปิดท้ายด้วยเฉินเฉี่ยวหลาน
ทั้งสามคนนั้นเข้ามาห้อมล้อมเธอและดูว่าเด็กๆ เป็นอะไรหรือเปล่า เมื่อเห็นว่าแก้วตาดวงใจของพวกเขาไม่เป็นอะไร ความโล่งใจจึงบังเกิดขึ้นมา
หนี่หวานรับหานเสี่ยวเสี่ยวไว้แล้วกลับไปยังบ้านของพวกตนด้วยกัน แต่กระนั้นกลับไม่มีใครพูดถึงเฉียวเค่อเหรินที่เพิ่งจะตกน้ำไปเลย
ฝูเจิ้งเจิ้งพาฝูซิงกลับไปยังห้องของตนเผื่อว่าเขาจะต้องการพักผ่อน
หลังจากที่เปิดช่องการ์ตูนในทีวีเอาไว้แล้ว เธอจึงกลับไปนั่งที่โซฟาด้วยความอื้ออึงกับเหตุการณ์เมื่อครู่
ในตอนแรกเธอคิดว่าหากได้เห็นเฉียวเค่อเหรินตกน้ำ มันคงจะสนุกดีไม่ใช่น้อย แต่เมื่อได้เห็นจริงๆ ได้เห็นอีกฝ่ายสั่นเทาไปด้วยความกลัว เธอกลับรู้สึกผิดเสียอย่างนั้น!
ภาพที่วนฉายซ้ำๆ ในหัวมันคอยเตือนตัวเองว่าเธอไม่น่าทำแบบนั้นลงไปเลย
“หม่ามี๊ ป๊ะป๋าตกลงไปในน้ำ ป๊ะป๋าจะป่วยหรือเปล่า?” ฝูซิงหันมาเอ่ยถามด้วยความกระวนกระวาย
“ไม่หรอกจ้ะ ป๊ะป๋าน่ะสุขภาพดีจะตายไป” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบหันไปปลอบเจ้าลูกชายก่อนแล้วจึงสังเกตเห็นได้ว่าตัวเขานั้นดูจะแอบเสียใจอยู่เหมือนกัน
แม้จะดูการ์ตูนกันมาตั้งแต่เช้า แต่มันกลับไม่ได้ทำให้จิตใจของฝูเจิ้งเจิ้งสงบลงเลย เธอหยิบโทรศัพท์มาหลายครั้งหมายจะกดโทรหาหานซือฉี แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำเสียที
เฉินเฉี่ยวหลานเคาะประตูเบาๆ ก่อนจะเดินเข้ามา “คุณเจิ้งคะ ป้าทำชาเอาไว้เผื่อจะช่วยให้หายจากอาการตกใจได้ ท่านหญิงบอกให้ป้าพาฝูซิงลงไปด้านล่างเพื่อดื่มชาด้วย เสี่ยวเสี่ยวเองก็กำลังดื่มอยู่เหมือนกัน”
“โอเคค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งตอบรับแล้วรีบพาฝูซิงลงไปด้านล่าง แต่เมื่อลงไป เธอก็ไม่พบทั้งหนี่หวานและหานเสี่ยวเสี่ยวแล้ว
“มานี่เร็วซิงซิง เดี๋ยวย่าป้อนชา หนูจะได้หายกลัว” จีหยาฉูยิ้มรับและโบกมือให้ฝูซิง
ฝูเจิ้งเจิ้งก็เพียงพยักหน้าเบาๆ ให้ฝูซิงไปหาจีหยาฉูได้
หลังจากที่จีหยาฉูป้อนชาฝูซิงไปบ้างแล้ว ผู้หญิงคนหนึ่งก็เข้ามาภายในบ้าน
เธอคนนั้นแต่งตัวดูมีภูมิฐานและดูสง่างาม ทว่าสีหน้าของเธอนั้นกลับดูหมองหม่น
คุ้นจริงๆ ใครกันนะ เคยเจอกันมาก่อนเหรอ? ทำไมคุ้นแบบนี้
หญิงที่มาใหม่เดินผ่านฝูเจิ้งเจิ้งโดยที่ไม่ได้พูดอะไรทั้งนั้น เธอเพียงแค่เหลือบมองเมื่อตอนเดินผ่านเท่านั้น
“อ้าว ทำไมมาอยู่ที่นี่ล่ะคะ คุณแม่ของเค่อเหริน?” จีหยาฉูวางถ้วยชาลง เธอมองฝูซิงด้วยความเป็นกังวล ก่อนจะลุกขึ้นไปทักทายอีกฝ่ายในทันที
เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ฝูเจิ้งเจิ้งก็นึกออกทันทีว่าเธอคือ เติ้งอันอวี่ ผู้ที่เคยเจอกันมาก่อนที่ร้านเครื่องเพชร คิดได้ดังนั้นเธอก็เริ่มเป็นกังวลขึ้นมา
เติ้งอันอวี่เข้าไปยังห้องนั่งเล่นโดยไม่ยิ้มหรืออะไรทั้งนั้น “ซือฉีดูแลเค่อเหรินอยู่ด้วยกันที่โรงพยาบาลน่ะค่ะ ฉันไม่อยากจะรบกวนเวลาของพวกเขา ก็เลยมาเยี่ยมคุณแทน”
คำพูดนั้นเหมือนว่ามันจะถูกส่งตรงมาบอกให้ฝูเจิ้งเจิ้งรู้เสียมากกว่า ดังนั้นเธอจึงแสร้งไม่เข้าใจแล้วกวักมือเรียกให้ฝูซิงวิ่งไปหาเธอชั่วคราว
หานเถิงอวี้และเติ้งอันอวี่ต่างพยักหน้าให้กันเบาๆ เมื่อเห็นฝูซิง เธอก็แสร้งทำเป็นประหลาดใจขึ้นมา “เด็กๆ ช่างน่ารักจริงๆ โอ๊ะ ทำไมเด็กคนนี้หน้าตาเหมือนซือฉีจังเลยล่ะคะ? หรือว่าจะเป็นเด็กที่ซือฉีรับมาเป็นลูกเหมือนที่เค่อเหรินพูดไว้?”
จีหยาฉูยิ้มแบบฝืนๆ ก่อนจะพูด “ซือฉีก็รักเด็กเสมอนั่นแหละค่ะ”
เติ้งอันอวี่ยิ้มก่อนจะหันไปทางฝูเจิ้งเจิ้งแล้วจึงถามขึ้นมา “เธอเป็นแม่ของเด็กสินะคะ คุณฝู? ซือฉีจะรับเด็กมาเลี้ยงซักคนมันก็เป็นเรื่องไม่ผิดหรอก แต่ฉันสงสัยนิดหน่อย ตรงที่เขายอมรับให้แม่ของเด็กมาเป็น 1 ในสมาชิกของตระกูลด้วยหรือเปล่า?”
“แน่นอนว่าไม่ค่ะ!” จีหยาฉูรีบตอบ “คุณฝูก็แค่มาเล่นกับลูกของเธอบ้างเป็นครั้งคราว เดี๋ยวเธอก็กลับไป”
“ฉันได้ยินมาว่าคุณฝูน่ะจ้องจะล่อลวงซือฉีอยู่ตลอดเลย” เติ้งอันอวี่พูดต่อด้วยความเยือกเย็น “ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมเค่อเหรินถึงต้องรีบมาหาซือฉีแม้ว่าตัวเองจะยังป่วยอยู่เมื่อเช้านี้ โชคดีที่อย่างน้อยๆ ศัตรูของเค่อเหรินก็ยังมียางอายอยู่บ้าง ไม่งั้นล่ะก็ ป่านนี้ฉันคงต้องเสียใจกับเค่อเหรินไปแล้ว”
คำพูดนั้นทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งโกรธมากๆ แต่ก่อนที่เธอจะได้พูดอะไร เติ้งอันอวี่ก็ยิ้มจางๆ ให้หานเถิงอวี้ก่อนจะพูดต่อ “ฉันได้ยินมาว่าคอนโดในเมืองฮั่นต้าเฟสแรกนั้นขายออกจนหมดแล้ว คุณเองก็กำลังเตรียมจะขายเฟส 2 อยู่ด้วย ดูท่าซือเซียนคงจะเหนื่อยมากๆ เลยสินะคะ”
หานเถิงอวี้แอบขยิบตาให้จีหยาฉูก่อนจะตอบเติ้งอันอวี่ไปด้วยรอยยิ้ม “ใช่แล้ว ตอบขอบคุณทางคุณพ่อของเค่อเหรินจริงๆ ที่ได้ช่วยเรื่องนี้เอาไว้”
จีหยาฉูลุกขึ้นหลังจากที่หานเถิงอวี้พูดไปแล้ว พร้อมกับเดินไปรับตัวฝูซิงด้วย “นั่งรอก่อนนะคะ ฉันจะไปเตรียมชามาให้”
พูดจบทั้งเธอและฝูซิงต่างก็เดินออกจากที่นี่ไป ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็เหลือบมองเติ้งอันอวี่ก่อนจะรีบตามสองคนก่อนหน้าไปอย่างรวดเร็ว
“พวกเราเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วนะคะ ไม่ต้องสุภาพมากก็ได้ เอ้อ เมื่อวานหยวนหานโทรหาฉันแล้วก็คุยเรื่องเมืองฮั่นต้า ฉันคิดว่าซือเซียนรีบเกินไปนะคะ” เติ้งอันอวี่แสร้งทำเป็นไม่เห็นอะไรก่อนจะพูดต่อด้วยประโยคที่ดูลึกลับ
เธอทำให้หานเถิงอวี้ผงะและรีบถามในทันที “ทำไมกันเหรอครับ? มีอะไรเปลี่ยนแปลงที่สถานีรถไฟใต้ดินเหรอ?”
ใบหน้าที่มากด้วยประสบการณ์ของเติ้งอันอวี่ผลิยิ้มและไม่ยอมตอบคำถามไปตรงๆ “หยวนหานบอกมาว่า เขาอยากจะให้งานแต่งระหว่างซือฉีแล้วก็เค่อเหรินราบรื่นเหมือนโปรเจคต์เมืองฮั่นต้าน่ะค่ะ”
หานเถิงอวี้ช็อกขึ้นมาอีก และเติ้งอันอวี่ก็พูดเสริมอย่างไม่เปิดโอกาสให้เขาได้พูดอะไรบ้าง “นี่มันก็สายแล้ว เห็นทีฉันคงต้องไปดูแลเค่อเหรินแล้วล่ะค่ะ ถ้ายังไงก็ฝากสวัสดีคุณแม่ของซือฉีด้วยนะคะ ฉันขอตัวก่อน ไว้เจอกันใหม่โอกาสหน้า”
——————————————————–
ฝูเจิ้งเจิ้งเดินตามจีหยาฉูมายังบ้านที่หานซือเซียนอยู่ซึ่งไม่ไกลจากบ้านหลังก่อนนัก
หนี่หวานและหานเสี่ยวเสี่ยวกำลังนั่งคุยกันอยู่ภายในนั้น และเมื่อหานเสี่ยวเสี่ยวหันไปเห็นว่าฝูซิงกำลังมา เธอก็พูดขึ้นด้วยความดีใจ “ซิงซิง เสี่ยวเสี่ยวกำลังเบื่อพอดีเลย ไปเล่นตัวต่อด้วยกันไหม?”
“ได้เลย!”
หานเสี่ยวเสี่ยวพาฝูซิงขึ้นไปยังชั้นสอง หนี่หวานเองก็หันมายิ้มให้ฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะตามเด็กๆ ทั้งสองคนขึ้นไปด้านบนอย่างรวดเร็ว จีหยาฉูหันมามองฝูเจิ้งเจิ้งก่อนตนเองจะเดินตามขึ้นไปโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน
ด้วยความที่ฝูเจิ้งเจิ้งไม่ได้อยากจะโดนบรรยากาศกดดันแบบเมื่อครู่อีก เธอจึงไม่ได้ตามขึ้นไปและนั่งดูทีวีอยู่ในห้องนั่งเล่นแทน
คำครหาของเติ้งอันอวี่นั้นยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของเธอ ส่วนหนึ่งก็เพราะเธอไม่มีโอกาสได้โต้ตอบด้วย
ในตอนแรกเธอก็กังวลเกี่ยวกับเฉียวเค่อเหรินอยู่หรอก แต่ตอนนี้น่ะไม่แล้ว แถมยังรู้สึกเสียดายความรู้สึกที่เคยมีให้ด้วย
ไม่นานนักหลังจากที่มาอยู่ที่นี่ หานเถิงอวี้ก็เดินเข้ามาด้วยสีหน้าบึ้งตึง “คุณฝู คิดได้หรือยัง?”
หญิงสาวชะงักไปครู่หนึ่ก่อนจะพูดตอบ “ฉันยังเหลือเวลาอีกตั้ง 2 วันนะคะ!”
“ถ้างั้นก็ช่วยกลับไปแล้วค่อยมาอีกทีเมื่อเธอตัดสินใจได้ก็แล้วกันนะ”
นี่คือมาไล่ฉันเหรอ? ได้เห็นดีกันสิ!
เธอลุกพรวดขึ้นในทันทีพร้อมกับเป็นฝ่ายพูดโดยไม่แยแสขึ้นบ้าง “โอเค งั้นฉันขอพาฝูซิงกลับไปก่อนนะคะ”
“ไม่ได้! ฝูซิงจะไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น!”
“ก็นี่มันยังไม่ถึง 3 วันตามที่ฉันบอกไว้ ถ้างั้นก็เลือกเอาสิคะว่าจะให้ฉันไปกับฝูซิงหรือให้อยู่กับฝูซิงที่นี่!” ฝูเจิ้งเจิ้งยืนกราน
“เธอ!”
“คุณพ่อ กลับไปก่อนเถอะครับ เดี๋ยวผมคุยกับคุณฝูเอง”
พลันเมื่อหันกลับไปมองต้นเสียง เธอก็พบว่าหานซือเซียนยืนอยู่ด้านหลังเธอแล้ว
“ซือเซียน ตระกูลเฉียวน่ะ…”
“ผมรู้แล้ว” เขาขัดคำพูดของผู้เป็นพ่อเสียก่อน
หานเถิงอวี้หันไปมองฝูเจิ้งเจิ้งอย่างไม่พอใจก่อนจะจากไปด้วยความโกรธ
“คุณฝู ฉันจะส่งสิ่งที่เธอต้องการไปให้เช้าพรุ่งนี้ เพราะงั้นหวังว่าคำตอบนี้จะช่วยให้เธอออกไปจากที่นี่ตอนนี้เลยได้ไหม” ชายหนุ่มพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่นและมั่นคงตามปกติ
เหมือนกันทั้งพ่อทั้งลูก คิดจะให้ฉันออกจากรีสอร์ทฉืออิ๋งลี่หยางนี่คนเดียว?
ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังจะอ้าปากพูดอะไรออกมา หานซือเซียนก็ชิงพูดตัดบทเสียก่อน “คุณฝู ถ้าหากครอบครัวของฉันไม่สงบสุข ฉันไม่มีอารมณ์จะเอาสิ่งที่เธออยากได้ไปส่งให้นะ”
ได้ยินเช่นนั้นเธอก็ได้แต่กัดฟันแล้วตอบไป “ก็ได้ค่ะ งั้นฉันจะไปบอกลาฝูซิงก่อน”
“ไม่จำเป็น เดี๋ยวฉันจะอธิบายให้ซิงซิงฟังเอง ไว้ใจได้ว่าพวกเราจะดูแลซิงซิงเป็นอย่างดี”
ฝูเจิ้งเจิ้งมองไปชั้นบนนั้นก่อนจะลังเลอยู่ครู่หนึ่งและออกจากที่นี่ไปในที่สุด
หานซือเซียนมองตามหลังฝูเจิ้งเจิ้งไปด้วยแววตาที่สับสนในอารมณ์ พักใหญ่ๆ ต่อจากนั้น เขาถึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาแล้วโทรหาใครบางคน “จองตัวเครื่องบินให้ฉัน”
———————————————————————————-
ฝูเจิ้งเจิ้งกลับมายังบ้านที่เคยอยู่จนถึงเมื่อเช้านี้ เธอหยิบกระเป๋าถือของเธอแล้วเดินลงไปด้านล่างเพื่อบอกลาเฉินเฉี่ยวหลาน หลังจากที่เดินออกมาจากที่นั่นได้ไม่กี่ก้าว มันก็อดที่จะหันกลับไปมองด้านหลังขณะที่น้ำตากำลังเอ่อคลอไม่ได้
เมื่อออกมาพ้นประตูด้านหน้าแล้ว เธอกำลังจะโบกแท็กซี่ ทันใดนั้นรถคันหนึ่งก็มาจอดเทียบข้าง
คนขับรถคือจีหมู่เซี่ยน!
ภายใน 3 พี่น้องตระกูลหานนั้น พี่รองของตระกูลเป็นคนที่เธอกลัวมากที่สุดแล้ว!
“ขึ้นรถ เดี๋ยวฉันไปส่ง” จีหมู่เซี่ยนเปิดประตูฝั่งคนนั่งข้างๆ
“ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอกค่ะ ฉันเรียกแท็กซี่ได้”
“เธอกลัวตำรวจเพราะว่าไปทำอะไรผิดมาหรือไง?” จีหมู่เซี่ยนเหลือบมองฝูเจิ้งเจิ้งก่อนจะยิ้มน้อยๆ ให้
ถัดจากพี่ใหญ่ก็เป็นพี่รองที่มาบังคับให้ฉันขึ้นรถเหรอ? ไม่ได้ผลหรอก!
พลันเมื่อเห็นแท็กซี่วิ่งเข้ามา ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบโบกรถคันนั้น
จีหมู่เซี่ยนรีบลงจากรถแล้วเข้าไปยืนขวางทางเธอไว้ ครั้นฝูเจิ้งเจิ้งจะปลีกตัวออกมาด้านข้าง เขาก็จับแขนเธอไว้อีก
“คิดจะทำอะไรฉันน่ะคะ!” ฝูเจิ้งเจิ้งขึ้นเสียง
—————————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
มีความสุขได้แว้บเดียว ที่เหลือความทุกข์โถมเข้าใส่รัวๆ