“ข่าวดีอะไรเหรอ?” ฝูเจิ้งเจิ้งตื่นเต้นไปทั้งเนื้อทั้งตัว
“ฉันได้ยินมาว่าเอกสารที่เกี่ยวกับการสร้างสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินภายในเมืองนั้นกำลังจะถูกตีพิมพ์ออกมาแล้ว เรื่องวุ่นๆ ในเมืองฮั่นต้ากำลังจะจบลงแล้วนะ”
“อ๋อ โอเค” ได้ยินเช่นนั้นเธอก็อดที่จะผิดหวังนิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้
หานซือฉีบอกเธออย่างหนักแน่นและมั่นใจว่าเขาและเฉียวเค่อเหรินไม่มีอะไรต่อกัน! แล้วนี่ถ้าไม่ใช่เพราะเขาไปเอาอกเอาใจเฉียวเค่อเหริน มันจะเป็นไปได้เหรอที่เฉียวหยวนหานจะปล่อยให้โครงการเมืองฮั่นต้าเป็นไปได้ด้วยดีน่ะ? เป็นไปได้หรือไงที่ปัญหาในเมืองฮั่นต้านั้นจะจบลงเร็วขนาดนี้?
“เจิ้งเจิ้ง เธอไม่มีความสุขเหรอ? ฉ-ฉันแค่อยากจะบอกข่าวกับเธอเฉยๆ…” สวี่เหยียนรับรู้ได้ถึงความผิดหวังนั้น และเธอเป็นกังวลขึ้นมาทันที
“ไม่ใช่หรอก ข่าวดีน่ะถูกแล้ว” ฝูเจิ้งเจิ้งพยายามปรับอารมณ์ตนเอง ครั้งนี้คงต้องยอมรับว่าเธอน่ะเห็นแก่ตัวมากไปหน่อยจริงๆ
“เจิ้งเจิ้ง ฉันขอโทษด้วยจริงๆ ฉันไม่ได้คิดเรื่องนี้ให้ดีก่อน เอาเป็นว่าให้ฉันชวนเธอกับซิงซิงไปทานข้าวเย็นนี้นะ”
“เย็นนี้เหรอ? ไม่สะดวกเท่าไหร่แฮะ เป็นวันอื่นได้ไหม?”
“ถ้าเธอไม่สะดวก งั้นฉันจะไปเชิญเธอถึงที่ห้องเลยนะ” สวี่เหยียนออดอ้อน “ฉันไม่ได้เจอซิงซิงมานานแล้ว ฉันคิดถึงเจ้าตัวเล็กมากเลยรู้ไหม?”
ฝูเจิ้งเจิ้งน่ะรู้จักนิสัยของสวี่เหยียนดี ถ้าหากเธอไม่ยอมไปทานข้าวด้วยล่ะก็ เธอคงต้องรู้สึกผิดกับหล่อนแน่ๆ เพราะงั้นหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอจึงตอบตกลงกลับไป
หลังจากที่บอกเฉินเฉี่ยวหลานให้รู้เรื่องนี้แล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็พาฝูซิงไปยังจุดนัดพบ
“ซิงซิง คิดถึงน้าหรือเปล่า~?” สวี่เหยียนรีบเข้าไปอุ้มฝูซิงแล้วหอมซ้ายหอมขวาด้วยความคิดถึงทันที
ฝูซิงรีบปาดลิปสติกที่เลอะแก้มซ้ายทีขวาทีแล้วพูดขึ้นมา “น้าสวี่ ฝูซิงเป็นผู้ชายนะ! น้าสวี่ก็มีลุงเสี่ยวเป็นแฟนแล้ว เพราะงั้นน้าสวี่จะจุ๊บชายอื่นไม่ได้!”
คำพูดของเขาทำทุกคนพากันหัวเราะไปหมด
เสี่ยวอี้เฉิงเองก็ยกนิ้วโป้งให้ฝูซิงด้วย “ซิงซิงพูดในสิ่งที่ลุงอยากพูดไปแล้ว!”
“ผู้ชายก็ต้องช่วยเหลือกันเองอยู่แล้ว!” ฝูซิงจับไหล่เสี่ยวอี้เฉิงไว้ในขณะเดียวกันเขาก็อุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นไปด้วย
“แล้วผู้ชายจะจุ๊บผู้ชายคนอื่นได้หรือเปล่าล่ะ?” หมอหนุ่มจงใจถามแกล้ง
“อืมมมมมม” ได้ยินเช่นนั้นฝูซิงก็คิดอย่างจริงจังอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกไป “ได้สิ! ป๊ะป๋าเองก็ยังจุ๊บฝูซิงเลย!”
ทั้งเสี่ยวอี้เฉิงและสวี่เหยียนต่างพากันหัวเราะออกมาอีกครั้ง ตรงกันข้ามกับฝูเจิ้งเจิ้ง ที่พอได้ยินคำว่า ‘ป๊ะป๋า’ หัวใจของเธอมันก็ห่อเหี่ยวลงไปทันทีแต่ยังคงต้องฝืนยิ้มไว้ไม่ให้บรรยากาศมันเปลี่ยนแปลง
หลังจากที่ทานอาหารกันเสร็จแล้ว เพื่อนร่วมงานของเสี่ยวอี้เฉิงชักชวนให้ไปคาราโอเกะต่อ ซึ่งสวี่เหยียนเองก็หันมาชวนฝูเจิ้งเจิ้งให้ไปด้วยกัน แต่เธอไม่รู้สึกอยากจะไปร้องเพลงหรืออะไรแบบนั้น จึงใช้ข้ออ้างว่าฝูซิงต้องพักผ่อนในการปฏิเสธไป
เมื่อแยกย้ายมาจากพวกสวี่เหยียนและเสี่ยวอี้เฉิงแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็ค่อยๆ เดินกลับมาตามทางหลวงพร้อมทั้งจับมือฝูซิงเอาไว้ด้วย
“หม่ามี๊ ไม่สบายใจเหรอ?” ฝูซิงเดาเอาจากการที่รู้สึกว่าแม่ของตนดูเงียบๆ เขาแหงนหน้าเล็กๆ นั้นมองและเอ่ยถาม
“ซิงซิง ลูกคิดถึงหลันหลันไหมจ๊ะ?” หลันหลันนั้นเป็นเพื่อนสนิทของฝูซิงในโรงเรียนอนุบาลในเมือง A ที่พวกเธอจากมา
“คิดถึง!”
“งั้นเดี๋ยวหม่ามี๊จะพาลูกกลับไปเจอหลันหลันเป็นไง?” เธอก้มตัวลงไปและมองไปยังลูกชายของตนด้วย
“ป๊ะป๋าจะกลับไปกับพวกเราด้วยไหม?”
ฝูเจิ้งเจิ้งชะงักไปก่อนจะส่ายหน้าเบาๆ
“แต่ฝูซิงไม่อยากจะไปจากป๊ะป๋าเลย…” ดวงตาเล็กๆ ของฝูซิงนั้นแดงขึ้นมานิดหน่อยทันที ราวกับว่าเขากำลังจะร้องไห้
หญิงสาวลังเลอยู่ครู่หนึ่งว่าควรจะพูดอะไรดี แต่ในที่สุดเธอก็พยายามหาคำพูดที่น่าจะทำให้ลูกน้อยของเธอนั้นเข้าใจถึงสถานการณ์ปัจจุบันได้ง่ายๆ “ป๊ะป๋าของลูกกำลังจะแต่งงานกับน้าเฉียวเร็วๆ นี้แล้วนะ ถ้าเราไม่กลับไปตอนนี้ ปู่กับย่าก็จะมาพาตัวฝูซิงไปยังที่ที่หม่ามี๊ตามหาตัวฝูซิงไม่เจอ จากนั้นฝูซิงก็จะไม่ได้เจอหม่ามี๊อีกเลยนะ”
“ไม่เอา! ฝูซิงไม่อยากแยกจากหม่ามี๊!” ได้ยินเช่นนั้นฝูซิงก็กอดคอฝูเจิ้งเจิ้งไว้แน่นราวกับกลัวว่าแม่ของตนจะหายไปแบบไม่บอกไม่กล่าว
เธออยากจะร้องไห้ออกมากับท่าทีนี้ แต่ก็ต้องรีบปลอบประโลมลูกชายเสียก่อน “หม่ามี๊จะไม่ยอมให้ใครมาพรากลูกไปจากหม่ามี๊แน่นอนจ้ะ!”
“เจิ้งเจิ้ง นั่นเธอหรือเปล่า?” ทันใดนั้นเอง เสียงที่เอ่ยขึ้นมานั้นก็ทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งช็อกไปในทันที เธอรีบยืนขึ้นแล้วจึงสังเกตได้ถึงชายร่างสูงที่มายืนอยู่ตรงหน้าเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้
ทันทีที่เธอเห็นรูปร่างของชายคนนั้น หญิงสาวก็รีบวิ่งเข้าไปหาพร้อมกับจับมือของชายคนดังกล่าวด้วยความตกใจ แต่ก่อนจะได้พูดอะไรกับเขา หานซือฉีก็ปรากฏตัวขึ้นให้เห็นในระยะสายตา คนคนนั้นกำลังเดินตรงเข้ามาหาเธอจากด้านหลังของชายตรงหน้านี้ ฝูเจิ้งเจิ้งกังวลขึ้นเป็นอย่างมาก เธอรีบปล่อยมือจากเขาแล้วหันหลังกลับไปในทันที
“เจิ้งเจิ้ง?” ชายที่แต่เดิมกำลังยิ้มนั้นแสดงสีหน้าประหลาดใจออกมาบ้าง
ในขณะที่เขากำลังเดินเข้าไปหาเธอ ฝูเจิ้งเจิ้งก็รีบส่ายมือและส่ายหน้าด้วยความร้อนใจ “คุณจำคนผิดแล้วค่ะ!”
เพียงพูดจบ เธอก็ไม่รอให้เขาตอบอะไรก่อนจะรีบสาวเท้าออกจากจุดนั้นพร้อมกับฝูซิงให้เร็วที่สุด
“เจิ้งเจิ้ง? เป็นอะไรไปน่ะ?” ชายหนุ่มยังคงไม่ยอม เขารีบเดินตามเข้ามาและจับมือฝูเจิ้งเจิ้งไว้อย่างรวดเร็ว “ทำไมเธอถึงบอกว่าเธอไม่รู้จักฉันล่ะ?”
*ผัวะ!*
“อ๊า! หานซือฉี! เป็นบ้าไปแล้วหรือไง!?”
ร่างของชายที่เดินตามเธอนั้นล้มลงไปต่อหน้าต่อตาหลังถูกหานซือฉีต่อยไปเต็มแรง ทำเอาฝูเจิ้งเจิ้งแทบช็อก เธออยากจะช่วยเข้าไปพยุงร่างของเขาขึ้นมาเพื่อดูอาการ แต่ก็ต้องหยุดและจ้องมองไปยังหานซือฉีแทน “เขาก็แค่จำผิด ทำไมนายต้องทำอะไรป่าเถื่อนแบบนี้ด้วย!”
หานซือฉีเยาะเย้ยชายที่นอนอยู่บนพื้น “ออกไปให้ไกลจากผู้หญิงของฉันซะ! จะไปไหนก็ไป!”
พูดจบเขาก็เข้ามาอุ้มฝูซิงแล้วลากตัวฝูเจิ้งเจิ้งออกจากจุดนั้นทันที
ฝูเจิ้งเจิ้งหันกลับไปมองชายที่กำลังค่อยๆ ยืนขึ้นมา ใบหน้าของเขาที่มีเลือดไหลออกมาจากจมูกและปากเต็มไปด้วยความเป็นห่วง เธอส่ายหน้าให้เขาเบาๆ ขณะที่ถูกหานซือฉีพาตัวออกไปไกลจากเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ตลอดทางที่นั่งรถมากับหานซือฉีนั้น เขาขับรถเร็วมากๆ มากกว่าครั้งไหนๆ พร้อมกับแสดงสีหน้าบึ้งตึงอยู่ตลอดเวลา ในขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งก็เอาแต่คิดถึงชายที่ใบหน้าเต็มไปด้วยเลือดคนนั้นด้วยความรู้สึกสับสน เธอไม่ได้พูดอะไร และเมื่อมองไปยังลูกชายตัวเล็กที่กำลังเป็นห่วงเธอ ใบหน้าสวยนั้นก็ปั้นยิ้มขึ้นมาและดึงเขามากอดเอาไว้แน่นๆ
เมื่อกลับมาถึงเจี่ยเย่ฮัวหยวนแล้ว เฉินเฉี่ยวหลานก็เปิดประตูรับพวกเขา เธอรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติ ดังนั้นเธอจึงไม่พูดอะไรนอกจากรีบพาฝูซิงกลับเข้าห้องของตนไปอย่างรู้หน้าที่
มองไปยังหานซือฉีที่ลงไปนั่งที่โซฟาโดยไม่ได้พูดอะไร ฝูเจิ้งเจิ้งก็ขมวดคิ้วก่อนจะเดินกลับไปยังห้องของตนโดยไม่พูดอะไรเช่นกัน
“เธอจะไม่อธิบายอะไรสินะ?” หานซือฉีเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นจากด้านหลังเธอ
หญิงสาวหยุดและหันกลับไปหาผู้พูดช้าๆ “ถ้าฉันบอกว่าเขาแค่เข้าใจผิดคิดว่าฉันเป็นใครซักคน นายจะเชื่อหรือไง?”
“เธอคิดว่าฉันควรจะเชื่อด้วยเหรอ?”
“งั้นฉันก็ไม่มีอะไรจะพูด” ฝูเจิ้งเจิ้งหันกลับไปดังเดิมและเดินเข้าห้องไป
ทันใดนั้นหานซือฉีก็ลุกขึ้นและเดินตามเธอเข้าไปติดๆ เขาพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ฝูเจิ้งเจิ้ง! เธอคิดว่าฉันโง่นักหรือไง? บอกฉันมาสิ ว่าเธอเริ่มคบหากับหมอนั่นตั้งแต่เมื่อไหร่!?”
ในเมื่อเขารุนแรงมา ฝูเจิ้งเจิ้งเองก็รุนแรงด้วย เธอหันกลับไปพูดด้วยน้ำเสียงก้าวร้าว “ในพจนานุกรมก็มีคำศัพท์ตั้งมากมาย ทำไมนายถึงเอาแต่พูดว่า ‘คบหา’ ตลอดเลยฮะ!”
หานซือฉีเถียง “แล้วในเมื่อพจนานุกรมก็มีคำศัพท์ตั้งมากมาย ทำไมเธอถึงรู้จักแค่ ‘คบหา’ ล่ะ!”
เธอพยายามข่มอารมณ์โกรธของตนเองไว้และพูดให้ช้าลง “งั้นในเมื่อนายมั่นใจว่าฉันกำลังคบกับเขา นายอยากจะให้ฉันอธิบายอะไรอีก?”
เขาดึงร่างของเธอเอาไว้ก่อนจะหยิกแก้มนั้นแรงๆ ขณะขึ้นเสียงดัง “เธอกล้าหรือเปล่าที่จะพูดว่าเธอไม่ได้ตกใจเมื่อเห็นฉันน่ะ? เธอกล้าไหมที่จะบอกว่าเธอไม่เสียใจที่ฉันซัดเจ้านั่นไป? เธอกล้าบอกไหมว่าเธอกำลังอยากจะผละออกจากหมอนั่นตอนที่ฉันไปลากตัวออกมา?”
ฝูเจิ้งเจิ้งปัดมือของเขาออกและจ้องมองเขาอย่างไม่วางตา “ฉันบอกไปแล้วว่าเขาก็แค่คนที่เข้าใจผิด แล้วดูสิว่านายทำอะไรลงไป? นายเข้าไปทำร้ายเขาแบบไม่สนสี่สนแปด แบบนี้ไม่ให้ฉันรู้สึกผิดเหรอ?”
“ดี ในเมื่อเธอเลือกที่จะยอมตายแทนที่จะยอมรับ ดูเหมือนว่าฉันเองคงจะเลี้ยงดูเธอได้ไม่ดีเท่าที่ควรสินะ”
“เลี้ยงดู?” ฝูเจิ้งเจิ้งเหยียดหยาม “ฉันเป็นใคร? ทำไมคุณหานต้องมาดูแลฉันเหรอคะ? คนที่นายต้องไปดูแลให้ดีน่ะ คือยัยภรรยาสาวสวยที่นอนอยู่บนเตียงนายโน่น!”
“งั้นเธอก็จะออกไปแล้วหาผู้ชายมานอนบนเตียงเธอเหมือนกันล่ะสิ?” แววตาของหานซือฉีนั้นแทบจะลุกเป็นไฟ เขาพูดต่อ “โอเค งั้นเชิญทำตามใจชอบได้เลย”
พูดจบหานซือฉีก็เบือนหน้าหนีแล้วเดินจากไป
มองไปยังหานซือฉีที่ออกไปอย่างเร่งรีบแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งก็รู้สึกแปลกๆ เธอจึงรีบตามออกจากห้องไปเช่นกันแล้วก็พบว่าเขานั้นกำลังไปพร้อมกับฝูซิงที่อยู่ในอ้อมแขนด้วย
“ฝูซิง! หานซือฉี วางฝูซิงลงเดี๋ยวนี้!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบเข้าไปจับตัวของฝูซิงไว้ด้วยความกังวล
ทว่าเขากลับผลักเธอออก “หม่ามี๊! หม่ามี๊!” ฝูซิงร้องไห้ออกมาเสียงดัง “ป๊ะป๋า ฝูซิงอยากอยู่กับหม่ามี๊!”
“หานซือฉี! นายสัญญาแล้วนี่ว่าจะพาฝูซิงมาอยู่กับฉัน 1 คืนน่ะ! ทำไมนายถึงไม่รักษาสัญญา!” ฝูเจิ้งเจิ้งวิ่งเข้าไปอีกครั้งและคราวนี้เธอรั้งแขนหานซือฉีไว้ น้ำเสียงที่กำลังพูดถามของเธอมันเปลี่ยนจากหยิ่งผยองกลับกลายเป็นอ้อนวอนแทบจะทันที
“เธอเองก็กำลังคบหากับคนอื่นอยู่ไม่ใช่หรือไง? ยังอยากให้ฉันรักษาสัญญาอีกเหรอ?” หานซือฉีมองไปยังหญิงสาวที่มากอดแขนตนด้วยแววตาเยือกเย็น
“ไม่ใช่นะ! ฉันไม่มีอะไรแบบนั้นจริงๆ! ได้โปรดเถอะ อย่าพาฝูซิงไปจากฉันเลยนะ ขอร้อง…”
“ไว้เธอคิดได้ว่าควรทำอะไรแล้วค่อยกลับมาหาฉัน” เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก หานซือฉีก็สะบัดตัวออกจากฝูเจิ้งเจิ้งอีกครั้งและเดินเข้าลิฟต์ไป เฉินเฉี่ยวหลานที่ยืนดูฝูเจิ้งเจิ้งต้องทุกข์ระทมนั้นก็เกิดความสงสาร แต่เธอไม่รู้จะพูดอะไร เมื่อประตูลิฟต์ปิดลง ฝูเจิ้งเจิ้งก็ยังพยายามจะเข้าไปแล้วงัดประตูนั้นให้เปิดออก
“ฝูซิง—” ขณะที่ฝูเจิ้งเจิ้งกำลังพยายามงัดประตูลิฟต์นั้น เธอก็โดนหลินหยงเฉิงเข้ามารั้งตัวจากด้านหลังไว้เสียก่อน
“คุณฝูครับ คุณหานนั้นกำลังอารมณ์ไม่ดีตอนนี้ รอเขาอารมณ์ดีก่อนค่อยเข้าไปคุยดีกว่าครับ” หลินหยงเฉิงปลอบเธอเบาๆ
ฝูเจิ้งเจิ้งหันกลับมามองหลินหยงเฉิงด้วยความเกลียดชังทันที
ชายหนุ่มที่พลอยโดนหางเลขไปด้วยกล่าวด้วยความกังวล “ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ครับคุณฝู นี่เป็นงานที่คุณหานได้มอบหมายเอาไว้ ผมต้องปกป้องคุณแล้วก็นายน้อย”
เธอไม่ได้พูดอะไรต่อทั้งนั้นและยอมกลับเข้าห้องไป ขณะที่นอนขดตัวอยู่บนโซฟานั้นเอง ภาพของชายที่หน้าเต็มไปด้วยเลือดก็ปรากฏขึ้นมาในหัว พร้อมกับใบหน้าที่โกรธจัดของหานซือฉีที่พุ่งขึ้นมาพร้อมๆ กัน
ภาพจำเหล่านี้ทำให้เธอไม่สามารถปล่อยวางได้ หลังจากลุกขึ้นมานั่งบนโซฟาพักหนึ่ง ในท้ายสุดเธอก็ลุกขึ้นและมองออกไปผ่านตาแมวที่ประตู เมื่อเห็นว่าไม่มีใครอยู่ด้านนอกแล้ว เธอก็เปิดประตูเบาๆ แล้วรีบวิ่งออกไปทันที
ปลายทางที่ฝูเจิ้งเจิ้งมานั้นคือสถานที่ที่พบชายคนนั้นก่อนหน้านี้ ทว่าเมื่อไปถึง ที่แห่งนั้นก็ไม่มีใครอยู่แล้ว เมื่อตระหนักได้ว่ามันยังไม่ดึกมาก เธอจึงหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและโทรออก แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาก็มีเพียงข้อความที่ว่าโทรศัพท์ถูกปิดเครื่องอยู่เท่านั้น
หลังจากที่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็ไปยังโรงแรมที่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลนักเพื่อสอบถามว่าคนคนนั้นได้มาจองห้องพักหรือเปล่า แต่สุดท้ายเธอก็ยังคงต้องจมอยู่กับความผิดหวังดังเดิม เพราะที่โรงแรมนั้นก็ไม่มีใครรู้เรื่องเกี่ยวกับเขาเหมือนกัน
ฝูเจิ้งเจิ้งยังคงไม่ละความพยายาม เธอเดินทางไปยังโรงแรมแห่งอื่นต่อรวมๆ แล้วก็ 7 แห่ง แต่ทุกที่ก็ล้วนแต่มอบความผิดหวังให้เธอเหมือนๆ กันหมด จนกระทั่งหานซือฉีมาขวางทางเธอเอาไว้
“ฉันไม่คาดคิดเลยว่าเธอจะเด็ดเดี่ยวขนาดนี้” หานซือฉีถากถางแทนคำทักทาย
ฝูเจิ้งเจิ้งไม่คาดคิดเช่นกันว่าเขาจะปรากฏตัวขึ้นเร็วขนาดนี้ แม้จะยังตกใจ แต่เธอก็สามารถสงบสติอารมณ์ได้อย่างรวดเร็วและพูดกับเขาไปว่า “ฉันก็แค่รู้สึกผิดที่นายไปทำร้ายเขาโดยไม่มีเหตุผลเท่านั้น”
หานซือฉีขมวดคิ้ว “เพราะงั้นเธอเลยจะมาขอโทษเขาเพื่อฉัน?”
เมื่อรู้สึกได้ว่าหานซือฉีเหมือนมีอะไรจะพูดมากกว่านั้น เธอจึงไม่ได้พูดอะไรต่อและยืนจ้องเขาเงียบๆ
ชายหนุ่มค่อยๆ แสยะยิ้มออกมา “เจิ้นเฉา ใช่ไหม? อย่าบอกนะว่าเธอคิดจะพาลูกชายของฉันหนีไปพร้อมกับไอ้หมอนั่นน่ะ!”
ได้ยินชื่อเจิ้นเฉาออกมาจากปากหานซือฉี ความกังวลของฝูเจิ้งเจิ้งที่เคยข่มไว้ได้ก็ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง เธอรู้แล้วว่าการที่เธอออกมาเช่นนี้และการออกตามหาเจิ้นเฉานั้นคือข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรง!
แต่เธอกังวลเกี่ยวกับเขาจริงๆ นะ!
มองไปยังสีหน้าของฝูเจิ้งเจิ้ง หานซือฉีก็มั่นใจในสิ่งที่เขาคาดเดามากขึ้น เมื่อตอนที่เขาพาฝูซิงไปเมื่อคืนนั้น เขาได้แอบถามฝูซิงและได้รู้มาว่าฝูเจิ้งเจิ้งคิดจะพาเขาหนีไปอยู่ เขาแทบจะเป็นบ้าในทันทีตั้งแต่รู้เรื่องนั้น
“เขาเป็น…” พี่ชายของฉัน… ฝูเจิ้งเจิ้งเกือบจะพูดออกไปแล้ว แต่เพราะหานซือฉีขัดเธอไว้ก่อน
“เธอไม่สามารถพาฝูซิงหนีไปกับคนคนนั้นได้หรอก”
ฝูเจิ้งเจิ้งช็อกที่ได้ยินแบบนั้น สีหน้าของเธอซีดลงไปในทันทีขณะที่เอ่ยถามด้วยเสียงที่กำลังสั่นเครือ “น-นายทำอะไรลงไปกับเขา…?”
“เธอดูจะเป็นห่วงเขามากๆ เลยนี่? ดูไม่เหมือนท่าทีที่มีให้คนแปลกหน้าเลย” หานซือฉีรู้สึกหึงขึ้นมาแล้ว เขามองอีกฝ่ายด้วยความเย็นชา น้ำเสียงที่พูดนั้นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่แคร์อะไรทั้งนั้น “ฉันเพิ่งจะทำให้หมอนั่นหายไปจากเมือง B ไป”
———————————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
โห เจ็บหัวใจแทนฝูเจิ้งเจิ้งเลย ทำไมซือฉีทำงี้ ฮืออออออออออออ