ฝูเจิ้งเจิ้งลุกพรวดขึ้นมาทันที เธอรีบหันไปมองพร้อมกับยกมือขึ้นปัดป้องขณะที่ใช้ขาถีบอีกฝ่ายออกไป
“เจิ้งเจิ้ง…”
ด้วยความที่ไม่คาดคิดว่าเธอคนนี้จะตอบสนองได้เร็วระดับนี้ หานซือฉีถึงกระเด็นไปตามแรงถีบจนเสียหลักถอยชนเข้ากับเตียงด้านหลังก่อนที่จะล้มลงไปบนนั้นจนเกิดเสียงดัง ฝุ่บ เบาๆ
แม้แต่ฝูเจิ้งเจิ้งเองยังตกใจที่เห็นว่าเป็นหานซือฉี แต่เธอก็ห้ามตัวเองไม่ทัน รู้ตัวอีกทีก็ได้แต่มองเขาล้มลงไปนอนกับเตียงเสียแล้ว
“หม่ามี๊! หม่ามี๊ไปไหน!” ฝูซิงที่หลับอยู่ ก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมา เด็กชายตัวน้อยร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวทันที
“หม่ามี๊อยู่นี่แล้วจ้ะ! หม่ามี๊อยู่นี้แล้ว ไม่ต้องกลัวนะฝูซิง!” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบหันกลับไปปลอบลูกชายของตน เธอโน้มตัวไปกอดร่างเล็กที่กำลังดิ้นไปมาบนเตียงเอาไว้ ระหว่างนั้นก็คอยพูดปลอบประโลมเขาไปด้วย
หานซือฉีเองก็รีบลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปปลอบฝูซิงด้วยเช่นกัน
หญิงสาวมองอีกฝ่ายด้วยสายที่โกรธพร้อมกับต่อว่าเขาผ่านแววตาที่ดุดัน เนื่องจากทำให้ลูกของเธอหวาดกลัว
เมื่อเห็นว่าฝูซิงเริ่มจะสงบลงและผล็อยหลับไปแล้ว หานซือฉีจึงค่อยๆ อธิบายกับเธอด้วยความรู้สึกผิด “ฉันแค่จะมาจับให้เธอนอนดีๆ เท่านั้น ไม่คิดว่าเธอจะ…”
ฝูเจิ้งเจิ้งก็ชิงตัดบทเขา
“จะให้ฉันไม่ตื่นตัวตลอดได้ยังไงกัน! ที่ฝูซิงต้องมาบาดเจ็บแบบนี้ก็เพราะฉันดูแลหละหลวมเกินไป!”
“ข้างนอกมีคนคอยดูแลให้อยู่แล้ว”
“ได้ งั้นผิดที่ฉันเองที่หวาดระแวงมากไป!” เธอเริ่มประชดประชัน
หานซือฉีเองก็เริ่มขมวดคิ้วขึ้นมาก่อนจะพูด “ช่วยพูดดีๆ ไม่ได้หรือไง?”
ฝูเจิ้งเจิ้งทำเป็นไม่สนใจแล้วค่อยๆ นอนลงไปที่ข้างเตียงของฝูซิงใหม่อีกครั้ง
ชายหนุ่มมองทั้งสองแม่ลูกอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปหยิบเอาผ้าห่มผืนเล็กๆ จากอีกเตียงมาห่มให้ฝูเจิ้งเจิ้ง
แต่คุณแม่ยังสาวก็ปฏิเสธมันด้วยการโยนกลับไปยังที่เดิมของมัน ก่อนจะซุกเข้าไปนอนในผ้าห่มผืนเดียวกับฝูซิง
การปฏิเสธทุกสิ่งอย่างที่เขาทำให้เธอ มันทำให้หานซือฉีโกรธขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว แต่เขาก็ยังพยายามระงับความโกรธนั้นไว้แล้วหยิบผ้าห่มผืนที่ถูกโยนกลับไป ไปวางไว้ที่ปลายเตียงแล้วเอนตัวนอนลงไปด้วยความหงุดหงิดแทน
ตลอดเวลาที่อยู่กับฝูซิง ฝูเจิ้งเจิ้งคอยสัมผัสหน้าผากเขาอยู่ตลอด เมื่อเห็นว่าไข้ของอีกฝ่ายลดลงไปเยอะแล้ว เธอจึงค่อยๆ หลับตาลงช้าๆ โดยไม่สนใจว่าในห้องนั้นจะมีหานซือฉีอยู่ด้วยหรือไม่
ขณะที่หลับไปแล้วนั้น เพราะความที่หลับไม่สนิท เธอจึงรู้สึกได้ว่า หานซือฉีแอบลุกขึ้นมาห่มผ้าห่มให้เธอและลูกชายอีกครั้ง ครั้งนี้เธอแกล้งหลับต่อและแอบพลิกตัวช้าๆ จนเมื่อรู้สึกว่าเสียงเงียบไป เธอจึงค่อยๆ ลืมตามองไปยังเตียงที่หานซือฉีนอนอยู่ แล้วก็พบว่าตัวเขานั้นใช้ผ้าห่มอีกผืนห่มตัวเองไปแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งล้มเลิกความคิดจะไปห่มผ้าให้เขาและหันกลับไปนอนกกเจ้าตัวเล็กต่อไป
————————————–
ฝูเจิ้งเจิ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้งหลังจากที่รู้สึกได้ถึงลมหายใจที่สัมผัสเปลือกตาของเธอ ทันทีที่ลืมตาขึ้นมา เธอก็พบว่าเป็นฝีมือของเจ้าตัวเล็กที่กำลังเป่าลมออกมา เห็นดังนั้นเธอจึงไม่รอช้าและรีบถามไถ่อาการของลูกชายทันที “ซิงซิง ยังเจ็บตรงไหนอยู่หรือเปล่าลูก?”
“ไม่แล้วฮะ แต่พอนอนนานๆ แล้วฝูซิงเริ่มจะรู้สึกเมื่อยขาแล้วเหมือนกัน” ฝูซิงตอบด้วยเสียงเบา
นี่มันสายมากแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งรีบลุกขึ้นมาแล้วหันไปมองรอบๆ ห้อง
หานซือฉีไม่อยู่ในห้องแล้วตอนนี้
“ป๊ะป๋ากำลังไปซื้อข้าวต้มเนื้อ”
หญิงสาวลูบเฝือกที่ขาลูกชายของตนเบาๆ ขณะถาม “ข้าวต้มเนื้อ? ลูกกินข้าวต้มเนื้อได้แล้วเหรอ?”
“ฝูซิงไม่รู้ แต่ป๊ะป๋าบอกว่าเดี๋ยวจะไปถามหมอให้”
ฝูเจิ้งเจิ้งเริ่มสังเกตเห็นว่าลูกชายเธอกำลังพยายามพูดให้ดูเป็นปกติที่สุดอยู่ เธอรีบแตะหน้าผากเขาเพื่อวัดไข้ก่อนเลย ฝูเจิ้งเจิ้งจำได้ว่า แพทย์เตือนเรื่องที่วันนี้ฝูซิงจะอาการหนักที่สุดเอาไว้ ถึงแม้ไข้จะลง แต่ฝูซิงก็คงกำลังฝืนทนความเจ็บปวดอยู่แน่ๆ พอคิดได้แบบนั้นน้ำตาของเธอก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ตัว
“ฝูซิง ถ้าหากลูกรู้สึกเจ็บ ลูกจะร้องออกมาก็ได้นะ อย่างน้อยๆ ความเจ็บก็จะได้ลดลง”
“หม่ามี๊ อย่าร้องไห้สิ ฝูซิงเจ็บแค่นิดหน่อยเอง” ฝูซิงพยายามฝืนยิ้มและยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้ฝูเจิ้งเจิ้ง
มือเล็กๆ นั้นพยายามเอื้อมมาเพื่อเช็ดน้ำตาให้กับเธอ ทว่ามันก็สุดแขนเขาแล้ว ฝูเจิ้งเจิ้งจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้เขาให้มากขึ้นเพื่อให้เจ้าตัวเล็กของเธอจะได้ไม่ต้องเหนื่อย
“หม่ามี๊ ถ้าหม่ามี๊ร้องไห้ ฝูซิงจะเจ็บมากขึ้นนะ”
“โอเค หม่ามี๊จะไม่ร้องไห้” เธอรีบปาดน้ำตาด้วยตนเอง แล้วยิ้มให้เขา
“ฝูซิงจะไม่เจ็บถ้าหม่ามี๊หยุดร้อง”
“เด็กดี” ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็อดที่จะร้องไห้ด้วยความยินดีไม่ได้เจ้าลูกชายตัวแสบของเธอโตขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่นะ
ทันใดนั้นเอง ฝูซิงก็เอ่ยถามเธอขึ้นมา “หม่ามี๊ หม่ามี๊จะโกรธไหมถ้าฝูซิงคุยกับป๊ะป๋า?”
เธอประหลาดใจก่อนจะส่ายหน้าปฏิเสธทันที “ไม่จ้ะ”
ยังไงซะทั้งสองคนนี้ก็เป็นพ่อลูกกัน เธอรู้ว่าหานซือฉีนั้นรักฝูซิงจริงๆ แม้ว่าตัวเธอจะเอาแต่ว่าเขาอยู่บ่อยๆ แต่เธอก็ไม่ได้อยากจะบั่นทอนความสัมพันธ์ของสองพ่อลูกนี้นักหรอก
“หม่ามี๊ไม่คุยกับป๊ะป๋า ปู่กับย่าก็ไม่คุยกับป๊ะป๋าเหมือนกัน ป๊ะป๋าน่ะน่าสงสารจะตายไป”
น้ำเสียงที่อ่อนโยนของฝูซิงพลอยทำให้ใจที่พยายามแข็งกระด้างของฝูเจิ้งเจิ้งต้องคล้อยตามไปด้วย เธอหยุดไปครู่หนึ่งก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้ม “เขาจะไม่เหงา ถ้าลูกยังคุยกับเขานะจ๊ะ”
ฝูซิงยิ้มแป้นอย่างมีความสุข
สักครู่ใหญ่ๆ หานซือฉีและจูหลิงหลงก็กลับเข้ามาในห้องพร้อมกับอาหารเต็มมือ
“ดูสิ บาดเจ็บหนักขนาดนี้เชียว! เฉียวเค่อเหรินนี่ร้ายกว่าแม่มดใจร้ายในละครอีกนะ!” เมื่อได้เห็นฝูซิงพันผ้าพันแผลอยู่แทบจะทั้งตัว จูหลิงหลงก็แทบจะร้องไห้ออกมา
“เขายังดวงแข็งอยู่น่ะค่ะ ฮ่าๆๆ” ฝูเจิ้งเจิ้งพูดปลอบ “โชคดีที่เขากระเด็นเข้าไปในพุ่มไม้ใกล้ๆ ที่เผอิญว่ามีดอกไม้บานเต็มพื้นพอดี ถ้าไม่ได้พุ่มไม้ช่วยไว้ล่ะก็ เขาคง…”
“ให้ตายเถอะ! ขอให้ยัยนั่นเป็นโรคจิตไปจริงๆ เหอะ! ไม่ใช่ว่าเข้าไปมุดหัวหลบอยู่ในโรงพยาบาลจิตเวชอย่างเดียว! บังอาจมากที่มาทำเจ้าหนูซิงซิงบาดเจ็บขนาดนี้!” จูหลิงหลงสาปแช่งด้วยความเกลียดชัง
“น้าจู ไม่ต้องกังวล เดี๋ยวอีกวันสองวันฝูซิงก็หายดีแล้ว” น้ำเสียงที่เหนื่อยล้าของฝูซิงเอ่ยบอก แต่ดวงตาของเขาก็ยังคงสดใสและเปี่ยมไปด้วยความมองโลกในแง่ดีอยู่
“ช่างเป็นเด็กดีอะไรแบบนี้!” จูหลิงหลงอุทานแล้วส่งกล่องหนึ่งให้ฝูซิง “น้าซื้อเครื่องบินบังคับมาให้ เพราะงั้นต่อให้อยู่ได้แค่บนเตียง ซิงซิงก็ยังสามารถเล่นมันได้อย่างไม่ต้องกังวลเลยล่ะ!”
“จริงเหรอครับ!”
“แน่นอน!”
ขณะที่จูหลิงหลงและฝูซิงกำลังคุยกันเรื่องเครื่องบิน หานซือฉีก็หยิบเอาชามขึ้นมาเทข้าวต้มเนื้อเอาไว้
ฝูเจิ้งเจิ้งรีบหันไปถามเขาด้วยเสียงเบาทันที “ฝูซิงกินข้าวต้มได้แล้วเหรอ?”
“หมอบอกว่า อะไรก็ตามที่ไม่ใช่อาหารหนักกินได้” พูดจบหานซือฉีก็นั่งลงไปข้างๆ เตียงพร้อมกับชามข้าวต้มในมือ ฝูเจิ้งเจิ้งที่เห็นดังนั้นก็คอยประคองฝูซิงให้ขึ้นมานั่งด้วย
ชายหนุ่มตักข้าวต้มขึ้นมาคำเล็กๆ เขาเป่ามันเบาๆ และใช้ริมฝีปากของตนสัมผัสปลายช้อนเพื่อเช็คดูว่าข้าวในช้อนยังร้อนอยู่หรือเปล่าก่อนจะยื่นมันไปที่ปากของฝูซิงอีกทีหนึ่ง “ซิงซิง กินข้าวต้มหน่อยนะ”
จูหลิงหลงที่กำลังสาธิตวิธีใช้รีโมทบังคับเครื่องบินให้ฝูซิงก็หัวเราะออกมา “ลูกแท้ๆ กับลูกคนอื่นนี่ต่างกันจริงๆ! ฉันจำได้ว่าเมื่อครั้งที่นายป้อนข้าวเสี่ยวเสี่ยว นายแทบไม่เป่าข้าวเลยด้วยซ้ำไป เล่นซะปากของเสี่ยวเสี่ยวพองไปเป็นวันเลย ฮ่าๆๆๆ”
ได้ยินเช่นนั้นฝูเจิ้งเจิ้งก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
เขาทำหน้าบึ้งใส่ก่อนจะหันมองไปยังอีกฝ่ายทันใด “ฉันเพิ่งจะเคยป้อนข้าวเด็กให้เธอเห็นไปแค่ครั้งเดียวเองไม่ใช่หรือไง?”
“ไม่เชื่อ! ฉันรู้ว่านายป้อนบ่อยแล้ว! ซิงซิง ระวังนะจ๊ะ ป๊ะป๋าของเธอน่ะร้ายกาจมากนะ ค่อยๆ กิน เดี๋ยวปากจะพองเอา”
ฝูซิงที่ได้ยินเช่นนั้นก็เกิดอาการกลัวขึ้นมาเด็กน้อยจึงหันไปหาผู้เป็นแม่แทน “หม่ามี๊ ฝูซิงอยากให้หม่ามี๊ป้อนข้าว!”
ฝูเจิ้งเจิ้งค่อยๆ จับเขานั่งพิงกับหมอนและรับชามจากหานซือฉีมาถือแทน
มองไปยังมือที่ว่างเปล่าของตน หานซือฉีก็เหลือบมองไปยังจูหลิงหลงก่อนจะพูดขู่ “เมื่อไหร่ที่เธอมีลูก ฉันจะไปป้อนข้าวให้ลูกเธอด้วย!”
“นายจงใจเอาลูกฉันเป็นเหยื่ออารมณ์เรอะ! ไม่มีวัน! ถ้าฉันมีลูก ฉันจะพาลูกหนีไปไกลๆ! ” จูหลิงหลงเองก็หน้าบูดใส่เขาบ้าง
“คุณหลิงหลงคะ แล้วคุณลุงเป็นยังไงบ้าง?” ฝูเจิ้งเจิ้งถามขณะที่ป้อนข้าวให้ลูกชายไปด้วย และคุณลุงในรูปประโยคของเธอก็หมายถึงพ่อของหานซือฉี หานเถิงอวี้นั่นแหละ
จริงๆ เธออยากจะถามตั้งแต่เมื่อคืนที่หานซือฉีกลับมาที่ห้องแล้ว แต่ด้วยหลายๆ อย่าง ท้ายที่สุดจึงไม่ได้ถามออกไป รวมถึงไม่ได้คุยกันเลยด้วย
“พวกเขาดีขึ้นแล้วล่ะ เมื่อเช้าฉันไปเยี่ยมมา เห็นว่าเดี๋ยวรอหมอตรวจเสร็จก็จะมาหาซิงซิงเหมือนกัน”
ไม่ทันขาดคำ หานเถิงอวี้กับจีหยาฉูก็เดินเข้ามา
เมื่อเห็นฝูซิงกำลังจะทานข้าวต้ม จีหยาฉูก็รีบปรี่เข้าไปหาและรับชามมาจากฝูเจิ้งเจิ้ง ในขณะที่หานเถิงอวี้เองคอยถามไถ่อาการฝูซิงด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนไปด้วย
แม้ทั้งสองจะไม่ได้เข้ามาคุยกับตน แต่ฝูเจิ้งเจิ้งก็สัมผัสได้ถึงความรักผ่านแววตาที่พวกเขามองไปยังฝูซิงอย่างไม่ลดละ
ถ้าหากในอีก 2 วันต่อจากนี้ พวกเขาจะไม่ได้เจอฝูซิงอีกล่ะก็ คงเป็นเรื่องที่น่าเศร้าน่าดู
แต่ฉันจะมาสนใจทำไม? ในเมื่อพวกเขาเองยังเคยพรากฝูซิงไปจากฉันโดยที่ไม่สนใจความรู้สึกของฉันเลยไม่ใช่หรือไง?
สายตาของฝูเจิ้งเจิ้งกวาดมองไปเรื่อยจนไปสบกับสายตาของหานซือฉีที่กำลังมองเธออยู่ เห็นดังนั้นเธอก็รีบละสายตาออกแล้วลุกไปล้างหน้าล้างตาทันที
หากเขารู้ว่าเธอจ้องจะพาฝูซิงหนีออกไปอีกล่ะก็ เธอต้องไม่มีโอกาสที่จะได้พาฝูซิงหนีออกไปอีกในอนาคตแน่ๆ !
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ภายใต้การดูแลของทุกๆ คนนั้น ในที่สุดฝูซิงก็หายดี
โทรศัพท์มือถือของฝูเจิ้งเจิ้งนั้นไม่ได้อยู่กับตัวเธอเอง แถมภายในห้องพักฟื้นก็ไม่มีคอมพิวเตอร์ด้วย เธอเกือบถูกตัดขาดจากโลกภายนอกโดยสมบูรณ์แล้ว ทุกครั้งที่เห็นหานซือฉีมีท่าทีเหนื่อยล้าเมื่อเข้ามาเยี่ยมพวกเธอยามค่ำคืน เธอก็อยากจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถาม สิ่งเดียวที่เธอทำก็คือมองเขาพยายามทำทุกอย่างเพื่อเธอกับลูก โดยที่ตนเองก็ต้องคอยข่มอารมณ์ต่างๆ ที่ก่อตัวขึ้นมาในใจและแสร้งทำเป็นไม่แยแสเขาอยู่ตลอด
เธอกลัวว่าอาการใจอ่อนของตัวเองจะเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เธอปฏิเสธที่จะจากที่นี่ไปด้วย ดังนั้นเธอต้องเตือนตนเองเสมอ ว่าจะไม่ใจอ่อนให้เขาอีก ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
เช้าวันนัดพบ ฝูเจิ้งเจิ้งขอให้ฝูซิงนั้นช่วยบอกให้หานซือฉีไปซื้อข้าวต้มให้ดังเดิม เพื่อเธอจะได้ใช้ช่วงเวลานี้ในการหลบหนีได้
“หม่ามี๊ ฝูซิงเอาเครื่องบินบังคับที่น้าจูซื้อมาให้ไปด้วยได้ไหม?” ฝูซิงหันมองเครื่องบินบังคับบนโต๊ะ ด้วยความรู้สึกที่ไม่อยากจะทิ้งเอาไว้ข้างหลัง
“เดี๋ยวถึงบ้านแล้วหม่ามี๊จะซื้อเครื่องบินลำใหม่ที่ใหญ่ขึ้นกว่าเดิมให้นะจ๊ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งรีบแต่งตัวให้ฝูซิงก่อนจะอุ้มเขาขึ้นมาพร้อมกับเดินออกประตูห้องไป
ทันทีที่เห็นฝูเจิ้งเจิ้งเดินออกมาจากห้องพร้อมกับฝูซิง ชายชุดดำที่อยู่ตรงหน้าประตูก็รีบห้ามเธอไว้ “ขอโทษนะครับคุณฝู คุณหานสั่งว่าห้ามคุณและซิงซิงออกจากห้องไปไหนทั้งนั้น”
“คุณลุงครับ ป๊ะป๋าออกไปซื้อข้าวต้มเนื้อให้ฝูซิง ฝูซิงก็เลยอยากจะไปรอตรงหน้าประตูแค่นี้เอง!” ฝูซิงพูด
“เอ่อ….” ชายชุดดำคนนั้นไม่รู้จะพูดอย่างไรดี
“เจ้าตัวเล็กโวยวายไม่หยุดเลยน่ะค่ะ ฉันเองก็กลัวว่าเขาจะบาดเจ็บเพิ่ม ก็เลยพยายามตามใจไปก่อน” ฝูเจิ้งเจิ้งแสร้งทำเป็นไม่มีทางเลือก “ถ้าเกิดเขาดื้อขึ้นมาอีก เดี๋ยวได้มีขาหักอีกข้างแน่ๆ”
คิดเหรอว่าถ้าเกิดฝูซิงแข้งขาหักขึ้นมาอีกรอบ พวกเขาจะอยากรับผิดชอบ?
“งั้นไปด้วยกันครับ” ท้ายสุดเขาก็ยอมแลกกับการที่ต้องเดินตามมาประกบด้วย
“ขอบคุณค่ะ” ฝูเจิ้งเจิ้งเดินไปยังหน้าประตูโรงพยาบาลพร้อมกับฝูซิงที่อยู่ในอ้อมแขน ชายชุดดำที่ตามหลังพวกเธอมาเองก็คอยระวังภัยให้ด้วยอย่างขยันขันแข็ง
เมื่อไปถึงหน้าโรงพยาบาล เธอก็พบว่าตรงหน้าประตูนั้นมีแท็กซี่อยู่จริงๆ หากแต่คนขับไม่ใช่หยางเต๋า ซึ่งมันทำให้ฝูเจิ้งเจิ้งสับสน หญิงสาวมองไปรอบๆ ก่อนถึงได้พบหยางเต๋าที่สวมหมวกและหน้ากากอนามัยกำลังเดินเข้ามาหาเธอ
ขณะที่เธอกำลังยืนรอให้หยางเต๋าเข้ามาเพื่อที่จะจัดการชายชุดดำที่ตามมาด้วยนั้นเอง ฝูซิงก็ชี้ไปทางร้านของเล่นฝั่งตรงข้ามและพูดขึ้น “คุณลุงครับ ฝูซิงอยากได้รถไฟ! ซื้อให้ฝูซิงหน่อย!”
ชายชุดดำกลับไม่ได้ขยับไปไห้ เมื่อเห็นดังนั้นฝูซิงจึง ‘ร้องไห้’ ออกมา “ฝูซิงอยากได้รถไฟ! ฝูซิงอยากได้รถไฟ!”
“โอเคๆ เดี๋ยวลุงไปซื้อให้ก็แล้วกัน” เพราะฝูซิงร้องออกมา ทำให้เขาเลยกระวนกระวายก่อนจะรีบวิ่งข้ามฝั่งไปยังร้านของเล่นนั้น ในขณะเดียวกันทั้งสองแม่ลูกก็รีบวิ่งไปที่แท็กซี่ทันที
คนขับรถรีบเปิดประตูฝั่งของเธอให้ ในตอนที่เธอกำลังจะเข้าไปข้างในรถ ชายคนหนึ่งก็เข้ามาขวางไว้
———————————————————————————————————————
คุยกับผู้แปล
เจ้ากรรมนายเวรที่ชื่อว่าซือฉีชัวร์ๆ