หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน – ตอนที่ 9

หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน

“…?”

<จริงๆ เลย! ข้าเคยเห็นมนุษย์ที่ทึ่มขนาดนี้ไหมนะ>

นกสีเหลืองที่เคยเป็นลวดลายบนชุดนอนของเธอกระดุกกระดิก แล้วไม่นานก็มีลูกเจี๊ยบตัวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า

เจ้าลูกนกตัวนั้นจิกชุดนอนของเธอแล้วดึงไป แถมยังทึ้งผมของพาเวลล์ เจ้าลูกนกคือดวงวิญญาณนกที่ทำพันธสัญญากับเธอในพระตำหนักสตาเดน

อาเซียหันขวับๆ มองบริเวณโดยรอบ จากนั้นจึงพูดอย่างฉุนเฉียวทั้งที่ใจยังระทึกอยู่

“ทะ ที่ทึ่มน่ะมันเธอต่างหาก! ทำไมพูดไม่ได้มาจนถึงตอนนี้แล้วมาพูดเอาป่านนี้ล่ะ!”

<ข้าจะไปรู้เหรอว่าพลังของเจ้ามีน้อยนิดถึงขนาดนั้น อย่างน้อยก็ต้องให้เจ้ากินอะไรดีๆ สักอย่าง ข้าถึงจะได้รับพลังเหมือนกัน!>

“เธอไม่มีความสามารถถึงพูดไม่ได้น่ะสิ ทำไมถึงบอกว่านั่นเป็นเพราะฉันยากจนเลยไม่มีของว่างกินซะล่ะ”

<…>

คงพูดอะไรไม่ออก เจ้านกจึงได้แต่อ้าจะงอยปากพะงาบๆ

อาเซียเขม้นมองเจ้านกด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แล้วเธอก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะจู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้

“ไม่สิ ยิ่งไปกว่านั้น ดวงวิญญาณพูดได้ด้วยเหรอ”

ในความทรงจำของฉันไม่มีเรื่องแบบนั้นเลยสักนิด อาเซียอดกลั้นคำพูดนั้นไว้ในใจ

ในสถานที่แห่งนี้ แทนที่จะมองว่าดวงวิญญาณ รวมถึงพิธีเรียกดวงวิญญาณ เป็นสิ่งที่เชื่อมพันธะกันกับมวลพลังงานที่สามารถสื่อสารกันได้ มันกลับให้ความรู้สึกเป็นเหมือนการรับรู้ถึงพลังหรือไม่ก็คำอวยพรที่มอบแด่เด็กน้อยวัยสิบขวบเสียมากกว่า

ส่วนใหญ่ก็จะได้ใช้ชีวิตกันอย่างปกติไปตลอดกาล และมีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับพลัง

ทว่าในบรรดาคนส่วนน้อยนั้น ผู้ที่รับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของดวงวิญญาณมีจำนวนเพียงน้อยนิด ส่วนผู้ที่สามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ก็ไม่มีอยู่เลยด้วยซ้ำ

เพราะอย่างนั้น ดวงวิญญาณขององค์หญิงอนาสตาเซียที่ครอบครองรูปลักษณ์ที่แท้จริงอันแจ่มชัด ถึงได้รับการยอมรับว่าล้ำค่ามากขนาดนั้น

<ต้องพูดได้อยู่แล้วสิ! เจ้าเห็นดวงวิญญาณเป็นอะไรกัน!>

“ดูเหมือนคนอื่นๆ จะทำไม่ได้กันนี่”

<นั่นเป็นเพราะมนุษย์พวกนั้นสมองทึ่มยังไงเล่า!>

“อ๋อ! หมายความว่าฉันฉลาดงั้นสินะ”

เจ้านกคงไม่อยากยอมรับเรื่องนั้น มันจึงอ้าๆ หุบๆ จะงอยปากอีกสองสามครั้งแล้วพูดอ้อมแอ้มราวกับเรื่องที่ตนเคยพูดไปมีความหมายแบบอื่น

<เรื่องนั้นน่ะเป็นเพราะ… ข้าเป็นมหาดวงวิญญาณแห่งความรู้สึกต่างหาก>

“ไม่ใช่ดวงวิญญาณนกเหรอ”

เนื้อเรื่องบางส่วนเปลี่ยนไปจากต้นฉบับหรือเปล่านะ หรือว่าไม่มีใคร…รู้กันนะ

บางทีอาจจะไม่มีใครรู้ก็ได้ เพราะถ้าหากไม่สามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ มองภายนอกก็ดูเป็นเพียงนกที่ส่องสว่างสุกสกาวเท่านั้นเอง

<อย่าเอาชื่อเรียกเจ้าสัตว์โง่มาเรียกตัวข้าผู้นี้ตามอำเภอใจนะ!>

“ถ้าคุยด้วยไม่ได้ ไม่ว่าจะนกหรือเป็นตัวเธอก็เหมือนกันนั่นแหละ รูปร่างหน้าตาก็เป็นนกอีก”

อาเซียล้อเลียนว่าอีกฝ่ายเป็นดวงวิญญาณนกอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเปลี่ยนเร่ืองก่อนที่เจ้านกจะน้ำตาไหลออกมา

“เธอเป็นดวงวิญญาณแห่งความรู้สึกจริงเหรอ เพราะอย่างนั้นฉันถึงได้เห็นอะไรพวกนั้นเหรอ เมื่อกี้รู้สึกเหมือนรอบตัวลิสมีอะไรแบบหมอกสีๆ ฟุ้งออกมาเลย… ลุงหัวหน้าคนครัวก็มี”

<มองเห็นอารมณ์ของพวกมนุษย์แล้วเหรอ นั่นคือหนึ่งในความสามารถของข้ายังไงล่ะ>

เจ้านกดูเหมือนจะปลื้มปิติเป็นอย่างมาก

อาเซียตัดสินใจว่าเธอจะคลายความสงสัยก่อนที่จะยกย่องความปลื้มปิตินั้น

“มองเห็นแค่ความรู้สึกที่มีต่อตัวฉันเหรอ แล้วเห็นได้แค่ตอนที่ฉันต้องการหรือเปล่า หรือว่าฉันต้องใช้ชีวิตเหมือนกับอยู่บนเนินเขาสายรุ้งตลอดเวลา ถ้าฉันให้มันหยุดก็จะมองไม่เห็นหรือเปล่า”

<หยุด! ค่อยๆ พูดหน่อยเถอะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า>

“การตัดสินใจของฉันเหรอ นั่นหมายความว่ายังไง”

<หากเจ้าเชี่ยวชาญมากขึ้น ไม่ว่าอะไรก็จะสามารถรับรู้ได้ตามที่ใจต้องการ หรือไม่อยากรับรู้ก็ได้ สามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกได้ถึงโลกใบอื่น หรือทำให้ไม่รู้สึกก็ได้ เพราะตัวข้าผู้นี้คือดวงวิญญาณแห่งความรู้สึกยังไงล่ะ>

“ควรเชี่ยวชาญในเรื่องอะไรล่ะ”

<พลังแห่งดวงวิญญาณ>

“ทำยังไงถึงจะเชี่ยวชาญล่ะ”

<นั่นมันส่วนที่เจ้าจะต้องหาทางออกนี่>

“หมายความว่าเธอไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงสินะ”

<ข้าไม่จำเป็นจะต้องรู้ต่างหาก>

ดวงวิญญาณขบจะงอยปากดังแต๊กๆ พลางพูดตอบ

อาเซียครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะจับเจ้านกตัวนี้ห้อยกลับหัวหลับหางสักครู่หนึ่งดีไหม แต่แล้วก็เงยหน้าขึ้น

ไม่ว่าอย่างไรก็มีสิ่งที่เธอจะได้รับมาผ่านดวงวิญญาณดวงนี้อยู่

วันนี้เธอได้ทำขนมแสนยอดเยี่ยม ‘เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา’ ทำเค้กที่รู้สึกว่าอร่อยจนเกินจะต้านทาน

“เมื่อกี้ที่ฉันอบขนมออกมาได้ดีมากก็เป็นเพราะเธอเหรอ”

<ถ้าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ความรู้สึก ไม่ว่าอะไร ข้าก็สามารถทำได้หมดทุกอย่าง ทั้งวาดรูป เล่นดนตรี การเคลื่อนไหวร่างกาย…>

“หือ เธอทำแบบนั้นเองไม่ได้เลยลากตัวฉันไปถึงห้องครัวไม่ใช่เหรอ แถมยังบอกให้ฉันทำ”

<ข้าลากเจ้าไปเพราะเจ้าบอกว่าอยากทำ!>

“เธอทำด้วยตัวเองไม่ได้สินะ”

<ไม่ใช่ ไม่ใช่ทำไม่ได้…! มหาดวงวิญญาณแสนประเสริฐทำไมถึงจะใช้มือของตัวเองทำกิจกรรมของมนุษย์ไม่ได้เล่า ทุกอย่างนั่นคือการใช้พลังผ่านมนุษย์แบบเจ้าซึ่งเป็นตัวกลาง>

“อ๋อ! ถ้างั้นที่ตอกไข่แล้วทำเปลือกหล่นลงไปก็เป็นฝีมือเธอเหรอ”

<…ท่าทางการพูดของเจ้าทำไมถึงได้ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ขนาดนี้นะ>

ดวงวิญญาณพูดตอบโต้กับอาเซียด้วยสีหน้ากึ่งจะร้องไห้

<พลังของข้าเลิศล้ำ แต่ไม่สามารถใช้พลังเกินความสามารถของเจ้าได้ตั้งแต่แรก! ต่อให้ทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่สามารถใช้มันได้อยู่ดี!>

“อ๋อ เพราะงั้นสุดท้ายก็เท่ากับว่าฉันทำเองหมดทุกอย่างเลยนี่ ฉันนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”

<…>

“ถ้างั้นเธอรู้พวกสูตรทำขนมหรือเปล่า หมายถึงพวกแบบว่า ต้องใส่อะไรมากแค่ไหนถึงทำให้รสชาติเป็นยังไง”

<…ระ รู้สิ เรื่องอะไรก็ตามที่เจ้าสร้างขึ้นด้วยมือหรือทำด้วยตัวของเจ้า ข้าสามารถทำได้ทุกอย่าง คราวนี้รู้ซึ้งถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของมหาดวงวิญญาณนี้หรือยัง>

อาเซียยิ้มร่าพร้อมกับพยักหน้ารัว

ดีล่ะ หมายความว่าเจ้านี่เป็นหนังสือสารพัดสูตรขนมสินะ

“โอเคๆ! ดีเลย! เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้แล้ว เพราะงั้นช่วงที่อยู่ในวังก็อบขนมสักสิบครั้งแล้วค่อยกลับกันเถอะ”

<สิบครั้งเหรอ แค่สิบครั้งน่ะนะ>

อาเซียทำหน้าเคร่งขรึมพลางขมวดคิ้ว

“ไม่ใช่แค่นะ อีกประมาณหนึ่งอาทิตย์ก็น่าจะถูกไล่ออกไปจากที่นี่แล้ว ต่อให้อบสองครั้งต่อวันก็ยังต้องใช้เวลาเต็มห้าวันติด”

<หนึ่งอาทิตย์เหรอ>

“อื้อ เพราะฉันทำพันธสัญญากับนกตัวจิ๋วแบบเธอไง เดิมทีที่นี่น่ะ ต้องทำพันธสัญญากับเจ้าแห่งดวงวิญญาณเท่านั้นถึงจะอยู่ต่อได้”

ที่พูดแบบนั้นก็เพื่อล้อเลียนเจ้านก แต่ดวงตาที่เหมือนกับเมล็ดถั่วสีดำของเจ้านกน้อยกลับทอประกายกร้าวผิดปกติ

<ตัวข้าเป็นถึงมหาดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเชียวนะ มันหมายความว่ายังไงกัน!>

“ไม่ ไม่ใช่เธอ หมายถึงพวกดินน้ำลมไฟอะไรแบบนี้ ท่านปู่ทำพันธสัญญากับเจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งวาโย ส่วนลูกพี่ลูกน้องฉันก็ทำกับเจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งอัคคี ถึงอยู่ที่นี่ได้ แต่ว่าฉันน่ะเหรอ ก็เพราะทำพันธะกับเธอไง”

<เจ้าพวกนั้นเป็นพวกโง่เขลาที่ขอร้องอะไรบางอย่างกับข้าอยู่ตลอดเลยนะ พูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน!>

“ขอร้องเหรอ ขอร้องเรื่องอะไร”

คำพูดนั้นทำให้จะงอยปากเล็กจิ๋วขบกันดังแต๊กๆ จู่ๆ ก็ทำท่าทีเหมือนพูดอะไรไม่ออกขึ้นมา

<ดะ…เด็กน้อยสมองทึ่มแบบเจ้าฟังแล้วจะไปรู้เรื่องได้ไงล่ะ>

“ก็เพราะไม่รู้ถึงได้ขอให้บอกไม่ใช่เหรอ”

<ยังไงก็เถอะ เจ้าบอกว่าข้าเป็นนกตัวจ้อย เจ้าจึงไม่สามารถอยู่ที่นี่ใช่ไหม>

พีบีขบจะงอยปากดังแต๊กอีกรอบ

<นั่นเป็นเพราะข้าแปลงกายให้เล็กลง ถึงได้อยู่ในรูปลักษณ์นี้ไม่ใช่หรือไง แค่แปลงให้ใหญ่ขึ้นก็พอแล้ว>

แสงสว่างเปล่งวาบในวินาทีเดียวกันกับคำพูดนั้น

แล้วใบหน้าของอาเซียก็ซีดเผือดลงในพริบตา

“ไม่ได้! ไม่ได้ๆ! ทำให้เล็กลงเร็วเข้า! ทำให้เล็กลงอีกที! เร็ว! … เอ๊ะ”

<เอ๋>

แสงสว่างวาววับแต่รูปร่างของพีบีกลับเป็นเช่นเดิม ไม่สิ รูปร่างของเจ้านกกลับดูเหมือนเล็กลงยิ่งกว่าเดิมเพราะมัวแต่เปล่งแสงออกมา

“ไม่…ใหญ่ขึ้นแฮะ”

อาเซียเบิกตากว้าง ส่วนพีบีก็กระพือปีกเล็กๆ ด้วยความงวยงง แสงสว่างวาบอีกหลายครั้ง แต่รูปร่างของพีบีก็ไม่ใหญ่ขึ้น

หลังจากทำแบบนั้นอยู่พักใหญ่ ซึ่งอาเซียห้ามปรามไว้ว่าหากทำแบบนี้ต่อไปคงจะกลายเป็นเมล็ดถั่ว พีบีจึงยอมรับความจริง

<ตัวข้า… ถูกดูหมิ่นเช่นนี้…เป็นเพราะเจ้าคนเดียว!>

“ดะ เดี๋ยวสิ จู่ๆ พูดอะไร จู่ๆ ก็เป็นความผิดของฉันเนี่ยนะ”

<ไม่รู้แล้ว! ช่างมัน!>

***

เช้าตรู่วันต่อมา อาเซียลืมตาตื่นขึ้นโดยไม่สามารถเอาชนะความเหนื่อยล้าได้ยิ่งกว่าความง่วงงุน

มัวแต่ชุลมุนวุ่นวายกับพีบีเมื่อคืน ถึงจะนอนหลับไปแต่ก็ไม่รู้สึกเหมือนได้นอนเลยสักนิด

“ฟาฟเนียร์หรืออะไรกำลังพ่นไอร้อนออกมาหรือไงนะ…”

อีกทั้งคงเพราะบรรยากาศร้อนวูบวาบ เธอจึงรู้สึกร้อนขึ้นมานิดหน่อยทั้งที่อยู่ในฤดูหนาว อาเซียลุกขึ้นอย่างเฉื่อยชาแล้วเปิดหน้าต่างออกพร้อมร้องในลำคอ

เพียงแค่ทำพันธสัญญาเท่านั้น แต่พลังก็แกร่งกล้าจนทำให้ทั่วทั้งพระราชวังอบอุ่นขึ้นมาได้ พลังที่ทำให้รู้สึกว่าสมญานามมังกรไฟก็ยังไม่เพียงพอ นี่คือพลังของฟาฟเนียร์ เจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งอัคคี

แรงผลักดันที่ทำให้อเล็กเซย์แซงหน้าเหล่าอาๆ ในราชวงศ์เดียวกันของตัวเอง รวมถึงพ่อแม่ แล้วได้รับเลือกให้สืบทอดตำแหน่งพระจักรพรรดิองค์ต่อไป

และสิ่งที่เหล่าเด็กหญิงเด็กชายผู้เข้าร่วมพิธีเรียกดวงวิญญาณครั้งที่ผ่านมาต้องการ บางทีก็น่าจะเป็นพลังอำนาจแบบนั้น

<หืม ไอ้เจ้าฟาฟเนียร์ ดูท่าผู้ทำพันธสัญญาด้วยคราวนี้จะนิสัยเข้ากันอย่างเหมาะเจาะเลยทีเดียว ดูจากที่ตื่นเต้นจนควบคุมพลังไม่ไหวแบบนี้>

“บอกให้ใจเย็นลงหน่อยไม่ได้เหรอ”

<เจ้าเด็กไม่ยอมโตทำตัวตามอำเภอใจ แล้วข้าจะไปทำยังไงได้ล่ะ ต้องปล่อยให้ทำตามใจชอบจนกว่าจะโตเต็มที่สิ>

“ฟาฟเนียร์อายุเท่าไหร่”

<ทำไมข้าต้องรู้เรื่องนั้นด้วย>

สุดท้ายอาเซียก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอตระหนักได้ภายในวันเดียวว่าตนเองไม่สามารถสนทนากับดวงวิญญาณดวงนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้

ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องดีๆ นะ!

อาเซียยิ้มเผล่พร้อมกับเปิดลิ้นชักชั้นล่างของโต๊ะข้างเตียง มันมีบราวนีดาร์กช็อกโกแลตที่ห่อด้วยกระดาษทึบ

เมื่อวานหลังจากทำสิ่งที่คลับคล้ายคลับคลากับการเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิเสร็จ อาเซียก็กลับไปที่ห้องครัวเพื่อบอกข่าวให้พาเวลล์ซึ่งน่าจะตกใจ

แต่พาเวลล์คงยังตามหาเค้กอย่างสุดความสามารถ เธอจึงไม่เจอตัวเขา

อาเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงทิ้งโน้ตไว้ ในระหว่างนั้นก็มองเห็นแบทเทอร์ที่เหลืออยู่ในห้องครัวอย่างอ้างว้างพอดี

เธอจึงใช้มันอบเค้กช็อกโกแลตเนื้อแข็งหน่อยเหมือนบราวนี แล้วเอามันมาด้วย

“อ้ามมม”

เมื่อกัดไปหนึ่งคำ รสชาติเข้มข้นและสัมผัสนุ่มหนึบที่ต่างกับเค้กช็อกโกแลตลาวาก็อบอวลในปากพร้อมทั้งทำให้เธอมีความสุข

“โอเคๆ แต่เดี๋ยวก่อน เธอชื่ออะไรนะ”

<ชื่อ? มหาดวงวิญญาณแห่งความรู้สึกไง>

“ไม่ ไม่ใช่อันนั้น แบบนั้นฉันก็ชื่อมนุษย์เฉยๆ สิ แต่ฉันมีชื่อว่าอาเซียอยู่ไง ส่วนเจ้านั่นก็ชื่อว่าฟาฟเนียร์”

อาเซียพยักเพยิดไปกลางอากาศตรงจุดที่รู้สึกได้ถึงความร้อนด้วยสายตา เจ้านกร้องจิ๊บๆ แล้วจิกบราวนีเข้าปากอย่างมูมมาม

<ไม่มี ไม่จำเป็นต้องมีด้วย>

เป็นแค่เจ้าตัวร้องจิ๊บๆ แท้ๆ แต่ดูทำเบ่งเข้าสิ อาเซียบ่นงึมงำพลางเกยคางกับขอบหน้าต่างแล้วเคี้ยวบราวนีหงุบหงับ

พระอาทิตย์เพิ่งขึ้นพร้อมกับย้อมสีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและสีชมพู

“ก็ดี ถ้างั้นชื่อของเธอคือพีบี”

<บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าไม่จำเป็นต้องมีชื่อ!>

“ขนาดลูกเจี๊ยบยังต้องมีชื่อเลย แล้วท่านมหาดวงวิญญาณแสนประเสริฐจะไม่มีแม้แต่ชื่องั้นเหรอ”

<ถ้างั้นก็ตั้งชื่อที่มันสง่างามกว่านี้หน่อยสิ!>

“สง่าจะตายไป พี-บี”

<ไม่ใช่ชื่อที่เอามาจากตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ใส่เข้าไปในพายไม่ให้ไส้แตกเหรอ!>

“อ๊ะ รู้ด้วยเหรอ”

<คิดว่าข้าไม่รู้ความคิดเจ้าหรือไง!>

แล้วพิธีเซ่นไหว้อาหารแด่ดวงวิญญาณของอาเซียกับเจ้านกก็ดำเนินต่อไปไม่นานนัก อาเซียสะดุ้งเฮือกขึ้นมาพร้อมกับเขม้นมองเจ้านก

“พวกเราต้องมีกฎระหว่างกันแล้วล่ะ”

<ข้าไม่ทำตามกฎเกณฑ์ไร้สาระหรอกน่า>

อาเซียกุมตัวเจ้านกด้วยมือสองข้างแล้วเขย่าไปทางซ้ายสามครั้ง และทางขวาอีกสามครั้ง จากนั้นจึงยอมปล่อย เจ้าลูกเจี๊ยบที่ยืนเกาะขอบหน้าต่างซวนเซไปมา

“พวกเราต้องมีกฎระหว่างกันแล้วล่ะ”

หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน

หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน

Status: Ongoing
ชีวิตใหม่ในโลกนิยายนี้ ฉันจะตั้งใจอบขนม ไม่สนอำนาจใดๆ เพื่อเลี่ยงเส้นทางของนางร้ายจุดจบอาภัพ แต่เหล่าตัวละครที่มีผลต่อความพินาศของฉัน กลับมาป้วนเปี้ยนไม่ห่างกายจนได้!เกิดใหม่ในโลกนิยายทั้งที แม้รู้ดีว่ามาเป็นลูกสาวของครอบครัวแสนยากไร้แต่ฉันก็อยากจะสานฝันการเป็นช่างทำขนม ที่ฉันทำไม่สำเร็จในชาติที่แล้วให้ได้ จนกระทั่ง…“กระหม่อมมารับองค์หญิงอนาสตาเซียพ่ะย่ะค่ะ!”อย่างไรซะ ดูเหมือนว่าฉันจะมาเกิดใหม่ในร่างขององค์หญิงผู้กระหายอำนาจทั้งยังคอยขัดขวางความรักของตัวละครอื่นใน ‘ต้นฉบับ’ เรื่องที่เคยเห็นในชาติก่อนจนสุดท้ายกลายเป็นตัวร้ายที่ต้องเจอจุดจบอันแสนอนาถซะแล้วสิ!เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางสู่จุดจบแสนอนาถนั่น ฉันจึงได้ตั้งอกตั้งใจอบขนมเพื่อแสดงจุดยืนอันแน่วแน่ว่า ‘ฉันไม่สนใจในอำนาจใดๆ เลยแม้แต่น้อย’(อ้อ! และเพื่อเติมเต็มความต้องการส่วนตัวด้วย)แต่ว่าทั้งองค์จักรพรรดิผู้เย็นชา ทั้งองค์ชายรัชทายาท ตัวละครหลักที่จะไล่ต้อนฉันไปสู่ความพินาศทั้งดยุค ทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักร ทั้งทาสคนที่เคยใช้มีดเสียบฉันทุกคนต่างก็ร้อนใจเพราะอยากให้ฉันอยู่ข้างๆ กันหมดเลยเนี่ยสิ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท