“…?”
<จริงๆ เลย! ข้าเคยเห็นมนุษย์ที่ทึ่มขนาดนี้ไหมนะ>
นกสีเหลืองที่เคยเป็นลวดลายบนชุดนอนของเธอกระดุกกระดิก แล้วไม่นานก็มีลูกเจี๊ยบตัวหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้า
เจ้าลูกนกตัวนั้นจิกชุดนอนของเธอแล้วดึงไป แถมยังทึ้งผมของพาเวลล์ เจ้าลูกนกคือดวงวิญญาณนกที่ทำพันธสัญญากับเธอในพระตำหนักสตาเดน
อาเซียหันขวับๆ มองบริเวณโดยรอบ จากนั้นจึงพูดอย่างฉุนเฉียวทั้งที่ใจยังระทึกอยู่
“ทะ ที่ทึ่มน่ะมันเธอต่างหาก! ทำไมพูดไม่ได้มาจนถึงตอนนี้แล้วมาพูดเอาป่านนี้ล่ะ!”
<ข้าจะไปรู้เหรอว่าพลังของเจ้ามีน้อยนิดถึงขนาดนั้น อย่างน้อยก็ต้องให้เจ้ากินอะไรดีๆ สักอย่าง ข้าถึงจะได้รับพลังเหมือนกัน!>
“เธอไม่มีความสามารถถึงพูดไม่ได้น่ะสิ ทำไมถึงบอกว่านั่นเป็นเพราะฉันยากจนเลยไม่มีของว่างกินซะล่ะ”
<…>
คงพูดอะไรไม่ออก เจ้านกจึงได้แต่อ้าจะงอยปากพะงาบๆ
อาเซียเขม้นมองเจ้านกด้วยใบหน้าบูดบึ้ง แล้วเธอก็ขมวดคิ้วเข้าหากันเพราะจู่ๆ ก็คิดอะไรขึ้นมาได้
“ไม่สิ ยิ่งไปกว่านั้น ดวงวิญญาณพูดได้ด้วยเหรอ”
ในความทรงจำของฉันไม่มีเรื่องแบบนั้นเลยสักนิด อาเซียอดกลั้นคำพูดนั้นไว้ในใจ
ในสถานที่แห่งนี้ แทนที่จะมองว่าดวงวิญญาณ รวมถึงพิธีเรียกดวงวิญญาณ เป็นสิ่งที่เชื่อมพันธะกันกับมวลพลังงานที่สามารถสื่อสารกันได้ มันกลับให้ความรู้สึกเป็นเหมือนการรับรู้ถึงพลังหรือไม่ก็คำอวยพรที่มอบแด่เด็กน้อยวัยสิบขวบเสียมากกว่า
ส่วนใหญ่ก็จะได้ใช้ชีวิตกันอย่างปกติไปตลอดกาล และมีเพียงส่วนน้อยที่ได้รับพลัง
ทว่าในบรรดาคนส่วนน้อยนั้น ผู้ที่รับรู้ได้ถึงการดำรงอยู่ของดวงวิญญาณมีจำนวนเพียงน้อยนิด ส่วนผู้ที่สามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ก็ไม่มีอยู่เลยด้วยซ้ำ
เพราะอย่างนั้น ดวงวิญญาณขององค์หญิงอนาสตาเซียที่ครอบครองรูปลักษณ์ที่แท้จริงอันแจ่มชัด ถึงได้รับการยอมรับว่าล้ำค่ามากขนาดนั้น
<ต้องพูดได้อยู่แล้วสิ! เจ้าเห็นดวงวิญญาณเป็นอะไรกัน!>
“ดูเหมือนคนอื่นๆ จะทำไม่ได้กันนี่”
<นั่นเป็นเพราะมนุษย์พวกนั้นสมองทึ่มยังไงเล่า!>
“อ๋อ! หมายความว่าฉันฉลาดงั้นสินะ”
เจ้านกคงไม่อยากยอมรับเรื่องนั้น มันจึงอ้าๆ หุบๆ จะงอยปากอีกสองสามครั้งแล้วพูดอ้อมแอ้มราวกับเรื่องที่ตนเคยพูดไปมีความหมายแบบอื่น
<เรื่องนั้นน่ะเป็นเพราะ… ข้าเป็นมหาดวงวิญญาณแห่งความรู้สึกต่างหาก>
“ไม่ใช่ดวงวิญญาณนกเหรอ”
เนื้อเรื่องบางส่วนเปลี่ยนไปจากต้นฉบับหรือเปล่านะ หรือว่าไม่มีใคร…รู้กันนะ
บางทีอาจจะไม่มีใครรู้ก็ได้ เพราะถ้าหากไม่สามารถสื่อสารกับดวงวิญญาณได้ มองภายนอกก็ดูเป็นเพียงนกที่ส่องสว่างสุกสกาวเท่านั้นเอง
<อย่าเอาชื่อเรียกเจ้าสัตว์โง่มาเรียกตัวข้าผู้นี้ตามอำเภอใจนะ!>
“ถ้าคุยด้วยไม่ได้ ไม่ว่าจะนกหรือเป็นตัวเธอก็เหมือนกันนั่นแหละ รูปร่างหน้าตาก็เป็นนกอีก”
อาเซียล้อเลียนว่าอีกฝ่ายเป็นดวงวิญญาณนกอยู่พักหนึ่ง แล้วจึงเปลี่ยนเร่ืองก่อนที่เจ้านกจะน้ำตาไหลออกมา
“เธอเป็นดวงวิญญาณแห่งความรู้สึกจริงเหรอ เพราะอย่างนั้นฉันถึงได้เห็นอะไรพวกนั้นเหรอ เมื่อกี้รู้สึกเหมือนรอบตัวลิสมีอะไรแบบหมอกสีๆ ฟุ้งออกมาเลย… ลุงหัวหน้าคนครัวก็มี”
<มองเห็นอารมณ์ของพวกมนุษย์แล้วเหรอ นั่นคือหนึ่งในความสามารถของข้ายังไงล่ะ>
เจ้านกดูเหมือนจะปลื้มปิติเป็นอย่างมาก
อาเซียตัดสินใจว่าเธอจะคลายความสงสัยก่อนที่จะยกย่องความปลื้มปิตินั้น
“มองเห็นแค่ความรู้สึกที่มีต่อตัวฉันเหรอ แล้วเห็นได้แค่ตอนที่ฉันต้องการหรือเปล่า หรือว่าฉันต้องใช้ชีวิตเหมือนกับอยู่บนเนินเขาสายรุ้งตลอดเวลา ถ้าฉันให้มันหยุดก็จะมองไม่เห็นหรือเปล่า”
<หยุด! ค่อยๆ พูดหน่อยเถอะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเจ้า>
“การตัดสินใจของฉันเหรอ นั่นหมายความว่ายังไง”
<หากเจ้าเชี่ยวชาญมากขึ้น ไม่ว่าอะไรก็จะสามารถรับรู้ได้ตามที่ใจต้องการ หรือไม่อยากรับรู้ก็ได้ สามารถทำให้ผู้อื่นรู้สึกได้ถึงโลกใบอื่น หรือทำให้ไม่รู้สึกก็ได้ เพราะตัวข้าผู้นี้คือดวงวิญญาณแห่งความรู้สึกยังไงล่ะ>
“ควรเชี่ยวชาญในเรื่องอะไรล่ะ”
<พลังแห่งดวงวิญญาณ>
“ทำยังไงถึงจะเชี่ยวชาญล่ะ”
<นั่นมันส่วนที่เจ้าจะต้องหาทางออกนี่>
“หมายความว่าเธอไม่รู้ว่าจะต้องทำยังไงสินะ”
<ข้าไม่จำเป็นจะต้องรู้ต่างหาก>
ดวงวิญญาณขบจะงอยปากดังแต๊กๆ พลางพูดตอบ
อาเซียครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะจับเจ้านกตัวนี้ห้อยกลับหัวหลับหางสักครู่หนึ่งดีไหม แต่แล้วก็เงยหน้าขึ้น
ไม่ว่าอย่างไรก็มีสิ่งที่เธอจะได้รับมาผ่านดวงวิญญาณดวงนี้อยู่
วันนี้เธอได้ทำขนมแสนยอดเยี่ยม ‘เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา’ ทำเค้กที่รู้สึกว่าอร่อยจนเกินจะต้านทาน
“เมื่อกี้ที่ฉันอบขนมออกมาได้ดีมากก็เป็นเพราะเธอเหรอ”
<ถ้าเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ความรู้สึก ไม่ว่าอะไร ข้าก็สามารถทำได้หมดทุกอย่าง ทั้งวาดรูป เล่นดนตรี การเคลื่อนไหวร่างกาย…>
“หือ เธอทำแบบนั้นเองไม่ได้เลยลากตัวฉันไปถึงห้องครัวไม่ใช่เหรอ แถมยังบอกให้ฉันทำ”
<ข้าลากเจ้าไปเพราะเจ้าบอกว่าอยากทำ!>
“เธอทำด้วยตัวเองไม่ได้สินะ”
<ไม่ใช่ ไม่ใช่ทำไม่ได้…! มหาดวงวิญญาณแสนประเสริฐทำไมถึงจะใช้มือของตัวเองทำกิจกรรมของมนุษย์ไม่ได้เล่า ทุกอย่างนั่นคือการใช้พลังผ่านมนุษย์แบบเจ้าซึ่งเป็นตัวกลาง>
“อ๋อ! ถ้างั้นที่ตอกไข่แล้วทำเปลือกหล่นลงไปก็เป็นฝีมือเธอเหรอ”
<…ท่าทางการพูดของเจ้าทำไมถึงได้ร้ายกาจและเจ้าเล่ห์ขนาดนี้นะ>
ดวงวิญญาณพูดตอบโต้กับอาเซียด้วยสีหน้ากึ่งจะร้องไห้
<พลังของข้าเลิศล้ำ แต่ไม่สามารถใช้พลังเกินความสามารถของเจ้าได้ตั้งแต่แรก! ต่อให้ทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่สามารถใช้มันได้อยู่ดี!>
“อ๋อ เพราะงั้นสุดท้ายก็เท่ากับว่าฉันทำเองหมดทุกอย่างเลยนี่ ฉันนี่ยอดเยี่ยมจริงๆ!”
<…>
“ถ้างั้นเธอรู้พวกสูตรทำขนมหรือเปล่า หมายถึงพวกแบบว่า ต้องใส่อะไรมากแค่ไหนถึงทำให้รสชาติเป็นยังไง”
<…ระ รู้สิ เรื่องอะไรก็ตามที่เจ้าสร้างขึ้นด้วยมือหรือทำด้วยตัวของเจ้า ข้าสามารถทำได้ทุกอย่าง คราวนี้รู้ซึ้งถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของมหาดวงวิญญาณนี้หรือยัง>
อาเซียยิ้มร่าพร้อมกับพยักหน้ารัว
ดีล่ะ หมายความว่าเจ้านี่เป็นหนังสือสารพัดสูตรขนมสินะ
“โอเคๆ! ดีเลย! เรื่องมันกลายเป็นแบบนี้แล้ว เพราะงั้นช่วงที่อยู่ในวังก็อบขนมสักสิบครั้งแล้วค่อยกลับกันเถอะ”
<สิบครั้งเหรอ แค่สิบครั้งน่ะนะ>
อาเซียทำหน้าเคร่งขรึมพลางขมวดคิ้ว
“ไม่ใช่แค่นะ อีกประมาณหนึ่งอาทิตย์ก็น่าจะถูกไล่ออกไปจากที่นี่แล้ว ต่อให้อบสองครั้งต่อวันก็ยังต้องใช้เวลาเต็มห้าวันติด”
<หนึ่งอาทิตย์เหรอ>
“อื้อ เพราะฉันทำพันธสัญญากับนกตัวจิ๋วแบบเธอไง เดิมทีที่นี่น่ะ ต้องทำพันธสัญญากับเจ้าแห่งดวงวิญญาณเท่านั้นถึงจะอยู่ต่อได้”
ที่พูดแบบนั้นก็เพื่อล้อเลียนเจ้านก แต่ดวงตาที่เหมือนกับเมล็ดถั่วสีดำของเจ้านกน้อยกลับทอประกายกร้าวผิดปกติ
<ตัวข้าเป็นถึงมหาดวงวิญญาณผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดเชียวนะ มันหมายความว่ายังไงกัน!>
“ไม่ ไม่ใช่เธอ หมายถึงพวกดินน้ำลมไฟอะไรแบบนี้ ท่านปู่ทำพันธสัญญากับเจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งวาโย ส่วนลูกพี่ลูกน้องฉันก็ทำกับเจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งอัคคี ถึงอยู่ที่นี่ได้ แต่ว่าฉันน่ะเหรอ ก็เพราะทำพันธะกับเธอไง”
<เจ้าพวกนั้นเป็นพวกโง่เขลาที่ขอร้องอะไรบางอย่างกับข้าอยู่ตลอดเลยนะ พูดเรื่องไร้สาระอะไรกัน!>
“ขอร้องเหรอ ขอร้องเรื่องอะไร”
คำพูดนั้นทำให้จะงอยปากเล็กจิ๋วขบกันดังแต๊กๆ จู่ๆ ก็ทำท่าทีเหมือนพูดอะไรไม่ออกขึ้นมา
<ดะ…เด็กน้อยสมองทึ่มแบบเจ้าฟังแล้วจะไปรู้เรื่องได้ไงล่ะ>
“ก็เพราะไม่รู้ถึงได้ขอให้บอกไม่ใช่เหรอ”
<ยังไงก็เถอะ เจ้าบอกว่าข้าเป็นนกตัวจ้อย เจ้าจึงไม่สามารถอยู่ที่นี่ใช่ไหม>
พีบีขบจะงอยปากดังแต๊กอีกรอบ
<นั่นเป็นเพราะข้าแปลงกายให้เล็กลง ถึงได้อยู่ในรูปลักษณ์นี้ไม่ใช่หรือไง แค่แปลงให้ใหญ่ขึ้นก็พอแล้ว>
แสงสว่างเปล่งวาบในวินาทีเดียวกันกับคำพูดนั้น
แล้วใบหน้าของอาเซียก็ซีดเผือดลงในพริบตา
“ไม่ได้! ไม่ได้ๆ! ทำให้เล็กลงเร็วเข้า! ทำให้เล็กลงอีกที! เร็ว! … เอ๊ะ”
<เอ๋>
แสงสว่างวาววับแต่รูปร่างของพีบีกลับเป็นเช่นเดิม ไม่สิ รูปร่างของเจ้านกกลับดูเหมือนเล็กลงยิ่งกว่าเดิมเพราะมัวแต่เปล่งแสงออกมา
“ไม่…ใหญ่ขึ้นแฮะ”
อาเซียเบิกตากว้าง ส่วนพีบีก็กระพือปีกเล็กๆ ด้วยความงวยงง แสงสว่างวาบอีกหลายครั้ง แต่รูปร่างของพีบีก็ไม่ใหญ่ขึ้น
หลังจากทำแบบนั้นอยู่พักใหญ่ ซึ่งอาเซียห้ามปรามไว้ว่าหากทำแบบนี้ต่อไปคงจะกลายเป็นเมล็ดถั่ว พีบีจึงยอมรับความจริง
<ตัวข้า… ถูกดูหมิ่นเช่นนี้…เป็นเพราะเจ้าคนเดียว!>
“ดะ เดี๋ยวสิ จู่ๆ พูดอะไร จู่ๆ ก็เป็นความผิดของฉันเนี่ยนะ”
<ไม่รู้แล้ว! ช่างมัน!>
***
เช้าตรู่วันต่อมา อาเซียลืมตาตื่นขึ้นโดยไม่สามารถเอาชนะความเหนื่อยล้าได้ยิ่งกว่าความง่วงงุน
มัวแต่ชุลมุนวุ่นวายกับพีบีเมื่อคืน ถึงจะนอนหลับไปแต่ก็ไม่รู้สึกเหมือนได้นอนเลยสักนิด
“ฟาฟเนียร์หรืออะไรกำลังพ่นไอร้อนออกมาหรือไงนะ…”
อีกทั้งคงเพราะบรรยากาศร้อนวูบวาบ เธอจึงรู้สึกร้อนขึ้นมานิดหน่อยทั้งที่อยู่ในฤดูหนาว อาเซียลุกขึ้นอย่างเฉื่อยชาแล้วเปิดหน้าต่างออกพร้อมร้องในลำคอ
เพียงแค่ทำพันธสัญญาเท่านั้น แต่พลังก็แกร่งกล้าจนทำให้ทั่วทั้งพระราชวังอบอุ่นขึ้นมาได้ พลังที่ทำให้รู้สึกว่าสมญานามมังกรไฟก็ยังไม่เพียงพอ นี่คือพลังของฟาฟเนียร์ เจ้าแห่งดวงวิญญาณแห่งอัคคี
แรงผลักดันที่ทำให้อเล็กเซย์แซงหน้าเหล่าอาๆ ในราชวงศ์เดียวกันของตัวเอง รวมถึงพ่อแม่ แล้วได้รับเลือกให้สืบทอดตำแหน่งพระจักรพรรดิองค์ต่อไป
และสิ่งที่เหล่าเด็กหญิงเด็กชายผู้เข้าร่วมพิธีเรียกดวงวิญญาณครั้งที่ผ่านมาต้องการ บางทีก็น่าจะเป็นพลังอำนาจแบบนั้น
<หืม ไอ้เจ้าฟาฟเนียร์ ดูท่าผู้ทำพันธสัญญาด้วยคราวนี้จะนิสัยเข้ากันอย่างเหมาะเจาะเลยทีเดียว ดูจากที่ตื่นเต้นจนควบคุมพลังไม่ไหวแบบนี้>
“บอกให้ใจเย็นลงหน่อยไม่ได้เหรอ”
<เจ้าเด็กไม่ยอมโตทำตัวตามอำเภอใจ แล้วข้าจะไปทำยังไงได้ล่ะ ต้องปล่อยให้ทำตามใจชอบจนกว่าจะโตเต็มที่สิ>
“ฟาฟเนียร์อายุเท่าไหร่”
<ทำไมข้าต้องรู้เรื่องนั้นด้วย>
สุดท้ายอาเซียก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เธอตระหนักได้ภายในวันเดียวว่าตนเองไม่สามารถสนทนากับดวงวิญญาณดวงนี้อย่างเป็นเรื่องเป็นราวได้
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีเรื่องดีๆ นะ!
อาเซียยิ้มเผล่พร้อมกับเปิดลิ้นชักชั้นล่างของโต๊ะข้างเตียง มันมีบราวนีดาร์กช็อกโกแลตที่ห่อด้วยกระดาษทึบ
เมื่อวานหลังจากทำสิ่งที่คลับคล้ายคลับคลากับการเข้าเฝ้าพระจักรพรรดิเสร็จ อาเซียก็กลับไปที่ห้องครัวเพื่อบอกข่าวให้พาเวลล์ซึ่งน่าจะตกใจ
แต่พาเวลล์คงยังตามหาเค้กอย่างสุดความสามารถ เธอจึงไม่เจอตัวเขา
อาเซียครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงทิ้งโน้ตไว้ ในระหว่างนั้นก็มองเห็นแบทเทอร์ที่เหลืออยู่ในห้องครัวอย่างอ้างว้างพอดี
เธอจึงใช้มันอบเค้กช็อกโกแลตเนื้อแข็งหน่อยเหมือนบราวนี แล้วเอามันมาด้วย
“อ้ามมม”
เมื่อกัดไปหนึ่งคำ รสชาติเข้มข้นและสัมผัสนุ่มหนึบที่ต่างกับเค้กช็อกโกแลตลาวาก็อบอวลในปากพร้อมทั้งทำให้เธอมีความสุข
“โอเคๆ แต่เดี๋ยวก่อน เธอชื่ออะไรนะ”
<ชื่อ? มหาดวงวิญญาณแห่งความรู้สึกไง>
“ไม่ ไม่ใช่อันนั้น แบบนั้นฉันก็ชื่อมนุษย์เฉยๆ สิ แต่ฉันมีชื่อว่าอาเซียอยู่ไง ส่วนเจ้านั่นก็ชื่อว่าฟาฟเนียร์”
อาเซียพยักเพยิดไปกลางอากาศตรงจุดที่รู้สึกได้ถึงความร้อนด้วยสายตา เจ้านกร้องจิ๊บๆ แล้วจิกบราวนีเข้าปากอย่างมูมมาม
<ไม่มี ไม่จำเป็นต้องมีด้วย>
เป็นแค่เจ้าตัวร้องจิ๊บๆ แท้ๆ แต่ดูทำเบ่งเข้าสิ อาเซียบ่นงึมงำพลางเกยคางกับขอบหน้าต่างแล้วเคี้ยวบราวนีหงุบหงับ
พระอาทิตย์เพิ่งขึ้นพร้อมกับย้อมสีท้องฟ้าเป็นสีฟ้าและสีชมพู
“ก็ดี ถ้างั้นชื่อของเธอคือพีบี”
<บอกแล้วไม่ใช่หรือไงว่าไม่จำเป็นต้องมีชื่อ!>
“ขนาดลูกเจี๊ยบยังต้องมีชื่อเลย แล้วท่านมหาดวงวิญญาณแสนประเสริฐจะไม่มีแม้แต่ชื่องั้นเหรอ”
<ถ้างั้นก็ตั้งชื่อที่มันสง่างามกว่านี้หน่อยสิ!>
“สง่าจะตายไป พี-บี”
<ไม่ใช่ชื่อที่เอามาจากตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่ใส่เข้าไปในพายไม่ให้ไส้แตกเหรอ!>
“อ๊ะ รู้ด้วยเหรอ”
<คิดว่าข้าไม่รู้ความคิดเจ้าหรือไง!>
แล้วพิธีเซ่นไหว้อาหารแด่ดวงวิญญาณของอาเซียกับเจ้านกก็ดำเนินต่อไปไม่นานนัก อาเซียสะดุ้งเฮือกขึ้นมาพร้อมกับเขม้นมองเจ้านก
“พวกเราต้องมีกฎระหว่างกันแล้วล่ะ”
<ข้าไม่ทำตามกฎเกณฑ์ไร้สาระหรอกน่า>
อาเซียกุมตัวเจ้านกด้วยมือสองข้างแล้วเขย่าไปทางซ้ายสามครั้ง และทางขวาอีกสามครั้ง จากนั้นจึงยอมปล่อย เจ้าลูกเจี๊ยบที่ยืนเกาะขอบหน้าต่างซวนเซไปมา
“พวกเราต้องมีกฎระหว่างกันแล้วล่ะ”