หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน – ตอนที่ 20

หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน

แม้แค่ลองชิมดูก็ยังน่าเชื่อคำพูดที่บอกว่าหากคนไข้ขึ้นกินเจ้านี่แล้วมันจะช่วยขจัดไข้หวัด

ในตอนนั้น อาเซียได้ยินเสียงของพีบีอยู่ข้างหู

<ผสมนมสิ>

“…”

อาเซียนิ่วหน้าแล้วก้มลงมองชายแขนเสื้อ

พีบีทำสีหน้าเหมือนถามว่าทำเครื่องดื่มพิลึกอะไรแท้ๆ แต่กลับพูดเอะอะเสียงดังก้องหัวจนเหมือนหัวจะแตก อาเซียจึงต้องใส่นมลงไป

“เอาอันนี้…ผสมกับนม?”

อาเซียพยักหน้าเงียบๆ เพื่อตอบคำถามของพาเวลล์แล้วผสมน้ำเชื่อมขิงลงไปในนมร้อน

หือออ อร่อยเกิดคาดเลยนี่

แล้วเธอก็เบิกตากว้าง

อาเซียเกลียดขิงกับอบเชยขึ้นสมองแต่มันกลับอร่อยถึงขั้นถูกปากเธอ

รสหอมมันของนมทำให้รสเผ็ดของขิงกับกลิ่นของอบเชยนุ่มนวลขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้กลิ่นหรือรสเฉพาะตัวของทั้งสองอย่างจืดจางไป

พาเวลล์เองก็ลองชงอีกแก้วแล้วชิมดูเพราะเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของอาเซีย จากนั้นก็ อึกๆๆ เขาดื่มหนึ่งแก้วนั้นจนหมดแก้วไปในที่สุด

“นี่ นี่มันยอดเยี่ยมสุดๆ ไปเลย!”

“ฉันจะเอาไว้ที่นี่ เพราะงั้นถ้าลุงรู้สึกเหมือนจะเป็นหวัดก็ชงดื่มแบบเข้มๆ เลยนะ เข้าใจไหม อ้อ! อันนี้ใช้ตอนปรุงเนื้อสัตว์ก็น่าจะดี”

“ยัยหนู เธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกันแน่…”

ในขณะที่พูดฉอดๆ ออกมาแบบนั้น อาเซียก็ผสมนมร้อนกับน้ำเชื่อมขิงลงในแก้วเปล่าไปด้วย แล้วก็เอาสาลี่ที่ต้มสุกในระหว่างนั้นกับน้ำต้มใส่ชาม

จัดเรียงได้เต็มถาดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่พอดี

“เดี๋ยวฉันมาเก็บกวาดนะ ต้องเอาอันนี้ไปให้ลูกพี่ลูกน้องกินก่อน เห็นว่าไข้ขึ้นอยู่เลย”

“เดี๋ยวสิ จะถือไปยังไงไหว…”

“วันนี้ขอบคุณที่ช่วยนะ ลุง!”

“…”

พาเวลล์ยื่นมือไปอย่างรีบร้อน แต่ก็ช้ากว่าอาเซียที่ยกถาดขึ้นพร้อมกับหมุนตัวเดินไปซะแล้ว

***

เหล่ามหาดเล็กเห็นอาเซียถือถาดอาหารมาด้วยตัวเองก็พากันตกใจจนหน้าซีด แต่ก็ห้ามปรามเธอที่ทำตัวหัวรั้นไม่ได้ จึงเปิดประตูห้องนอนขององค์ชายรัชทายาทออกให้

“องค์หญิง!”

คิริลซึ่งยืนอยู่ข้างอเล็กเซย์เข้ามาช่วยรับถาดก่อนด้วยความตกใจ

“คิริล! ฉันตั้งใจจะเอามาให้อโลเซีย ทำอะไรมาให้นิดหน่อยน่ะ”

“…ทั้งหมดนี่เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ ให้องค์ชาย?”

“อื้อ อโลเซียหลับอยู่เหรอ”

คิริลพยักหน้าพร้อมกับเอี้ยวตัวหลบให้เล็กน้อย

อเล็กเซย์นอนในสภาพเหงื่อไคลไหลท่วม อาเซียก้มลงมองอเล็กเซย์โดยไม่ได้พูดอะไรครู่หนึ่งแล้วจึงเช็ดเหงื่อที่ซึมตรงหน้าผากออกให้อย่างแผ่วเบา

ในตอนที่กำลังกังวลว่าต้องปลุกขึ้นมากินหรือเปล่า อเล็กเซย์ก็ค่อยๆ ปรือตาขึ้น

“…อนาส…ตาเซีย…?”

“อ๊ะ อโลเซีย ตื่นแล้วเหรอคะ”

อเล็กเซย์ลืมตาอย่างอ่อนแรง เมื่อรับรู้ว่าเป็นอาเซียจึงดันตัวลุกขึ้น แต่หน้าเขาแดงจัดเพราะอุณหภูมิร้อนขึ้นแก้ม ส่วนขอบตาก็ชุ่มน้ำ อีกทั้งคอก็คงบวม เสียงจึงแหบเบา

“ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะคะ แต่ไหนๆ ก็ลุกขึ้นมาแล้ว ดื่มอันนี้สักหน่อยสิคะ ฉันทำเอง”

“…”

เมื่ออาเซียหยิบแก้วมาให้อีกคนฝืนกิน อเล็กเซย์ก็แนบแก้วกับริมฝีปากโดยไม่ได้ขัดขืนอะไรมากมาย

รสเผ็ดอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของขิงที่มีความร้อนเจืออยู่นิดๆ ทำให้อเล็กเซย์ใช้มือข้างหนึ่งกุมลำคอของตัวเอง

“ดื่มรวดเดียวหมดเลยนะ โอ้โห ทานเก่งจัง เด็กดี ต้องดื่มให้หมดน้า”

“…”

“ถ้าดื่มอันนั้นหมดแล้ว ต่อไปก็อันนี้”

เมื่ออเล็กเซย์ดื่มจนหมดแก้ว ถ้วยใส่สาลี่สุกกับช้อนที่ถืออยู่ในมือทั้งสองข้างก็ถูกยื่นเข้ามาใกล้กว่าเดิมอีกนิด

“นั่นมัน…”

“สาลี่เคี่ยว มันร้อนนะ ระวังด้วยล่ะ”

อาเซียตักสาลี่ที่ต้มสุกจนเนื้อนุ่มเปื่อย หรือก็คือสัตว์ประหลาดในร่างขนมปังขิง ขึ้นมาเป่าลมฟู่ๆ เมล็ดพริกไทยหลุดออกไปหนึ่งเม็ด ทำให้มันดูพิสดารมากกว่าเดิม

“อ๊ะ… จริงๆ เลย ตั้งใจจะทำให้มันดูน่ารักแต่ไม่ได้จริงๆ ค่ะ… กินเลยแล้วกัน”

เมื่ออาเซียยื่นช้อนให้ในตอนที่เหมือนจะเย็นลงพอสมควรแล้ว อเล็กเซย์ก็ลังเลนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็อ้าปาก

“ที่เหลือก็ต้องดื่มให้หมดนะ”

“…อันนี้ก็ทำเอง…”

“แน่นอนซี่ ฉันตั้งใจปอกเปลือกเพื่อทำให้อโลเซียเลยนะ เห็นอันนี้ไหมคะ เพิ่งจะโดนบาดเอง เป็นแผลเลยด้วย”

อาเซียให้ดูนิ้วมือที่ยังมีคราบเลือดเหลืออยู่อย่างภาคภูมิใจ

“…”

“เพราะงั้นก็รีบกินเร็วเข้า”

ในที่สุดอเล็กเซย์ก็กินและดื่มทุกอย่างที่เธอเอามาจนหมด

อาเซียเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่บนหน้าผากของอเล็กเซย์ออกด้วยสีหน้าพอใจ อเล็กเซย์ตั้งใจจะดึงมือนั้นออกแต่ก็ชะงักไปเพราะดวงตาที่อาเซียจ้องเขม็งมา

“อ๊ะๆ จะดุนะคะ”

“…คิดว่าฉันเป็นเด็กหรือไง”

“ร่างกายตัวเองยังดูแลไม่ได้แบบนี้ก็ต้องเป็นเด็กสิ! พรุ่งนี้เช้าก็ขอให้ใครเอานมขิงมาให้ดื่มหนึ่งแก้วนะคะ เข้าใจไหม เพราะฉันทำไว้ในครัวเยอะเลย”

“…เข้าใจแล้ว”

บอกให้ลองคุยกับฟาฟเนียร์ตอนนี้ดีไหมนะ

เปลวเทียนสว่างโชติช่วงอยู่แต่กลับเงียบงัน

อเล็กเซย์เอนตัวนอนลงบนเตียงแล้วเหลือบตามองเธอ แต่สายตาของเขา…

จริงๆ เลย…

อาเซียอดทนที่จะไม่ถอนหายใจออกมา หมอกสีดอกแมกโนเลีย[1]เหี่ยวๆ ตลบอบอวลตรงปลายเท้าของเธอ โดยแผ่ออกมาจากตัวอเล็กเซย์

คงจะไม่มีใครทั้งนั้นที่สามารถต้านทานแววตาของเด็กป่วยได้

เอาไว้นอนงีบหนึ่งแล้วตื่นขึ้นมาค่อยบอกให้ลองคุยแล้วกัน

เปลวเทียนที่พลิ้วไหวแผ่วเบาราวแสงจันทร์ที่สะท้อนบนผิวน้ำ เหมือนกำลังบอกความรู้สึกของฟาฟเนียร์ให้รู้

ฟาฟเนียร์ปริปากพูดกับเธอซึ่งเป็นคนอื่นก่อนโดยไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สำหรับอเล็กเซย์ซึ่งเป็นผู้ทำพันธสัญญา ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะกังวลอยู่บ้าง

อาเซียคิดแบบนั้นในใจพร้อมกับเลิกล้มความตั้งใจที่จะกลับไปในครัว จากนั้นก็นั่งลงตรงข้างเตียง

อเล็กเซย์หลับตาลงช้าๆ

***

อเล็กเซย์ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าในตอนเช้ามืดที่แสงอาทิตย์ส่องรำไร เขาไข้ขึ้นทั้งคืน แต่พอได้ป่วยอย่างเต็มที่ ร่างกายชุ่มเหงื่อกลับทำให้รู้สึกสดชื่นดีเสียอีก

ครั้งสุดท้ายที่เคยป่วยถึงขนาดนี้ก็คือตอนนอนซมก่อนจะอายุสิบขวบ

หลังจากนั้นก็เป็นหวัดนิดๆ หน่อยๆ บ้างเป็นครั้งคราว แต่นี่คือครั้งแรกที่ไข้ขึ้นสูงถึงขนาดนี้ ที่มีใครบางคนคอยเฝ้าไข้ก็ด้วย…

อเล็กเซย์คิดไปจนถึงตรงนั้นแล้วสะดุ้งเฮือก ใครบางคนกำลังฟุบอยู่ข้างเตียง

“…อนาสตาเซีย?”

เส้นผมสีชมพูแผ่กระจัดกระจายอยู่บนผ้าปูที่นอนสีขาว คงรู้สึกได้ว่าเขาขยับตัว อาเซียจึงดันตัวขึ้นมา

“…อืม ตื่นแล้วเหรอคะ ไข้ลดลงบ้างหรือยัง”

ญาติผู้น้องตัวเล็กยืดตัวขึ้นยกมืออังหน้าผากเขา ทั้งที่ยังลืมตาแทบไม่ขึ้นเพราะไม่สามารถต้านทานความง่วงงุนได้

มือเล็กๆ ของเด็กหญิงเย็นเฉียบ

“ยังอุ่นๆ อยู่นิดหน่อยแต่ดูเหมือนจะดีขึ้นเยอะแล้วนะ…”

“…อยู่นี่ทั้งคืนเลย…เหรอ”

“อโลเซียป่วยก็เลยช่วยไม่ได้นี่คะ ยาก็ไม่ส่งผลอะไร ถ้าไข้ขึ้นสูงอีกทั้งคืนล่ะก็… แต่ยังไงก็ดื่มนมขิงด้วยนะคะ”

อาเซียพูดแบบนั้นพร้อมกับขยี้ตา

“…ง่วงหรือเปล่า”

“งือ… แย่แล้วสิ วันนี้ฉันคงจะเรียนไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ”

“…ถ้าขาดเรียน ท่านปู่ก็น่าจะดุนะ”

“ชิ ยังไงฉันก็ไม่ได้จะเป็นจักรพรรดิ แถมอโลเซียเข้าเรียนคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรตั้งแต่แรกแล้วนี่คะ ยอมโดนดุสักครั้งก็ได้”

อาเซียพูดแบบนั้นพร้อมกับบิดขี้เกียจแล้วหาวนอน คงเพราะหาวนอนด้วยปากเล็กจิ๋วบนใบหน้าเล็กๆ นั้น เธอจึงดูอ่อนเยาว์เป็นพิเศษ

ไม่รู้ว่าพูดเพื่อทำให้เขาสบายใจหรือพูดโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย อเล็กเซย์ลองคิดในหลายๆ ทางแต่แล้วก็ล้มเลิก

ดวงตาสีเขียวอ่อนของเด็กหญิงกำลังทอดมองเขาอย่างอ่อนโยนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้

“อโลเซียก็บอกว่าป่วยแล้วพักอีกสักหน่อยเถอะค่ะ ถึงแค่วันนี้ก็ได้”

“…”

“ดื่มน้ำด้วย”

อาเซียเทน้ำใส่แก้ว มือของอาเซียเล็กเหมือนมือตุ๊กตาที่เด็กน้อยเอาไว้เล่นกัน

อเล็กเซย์คิดแบบนั้นแล้วก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าอาเซียเป็นญาติผู้น้องที่อายุน้อยกว่าตัวเองตั้งห้าปีจริงๆ

“อโลเซีย?”

เมื่อรับแก้วน้ำที่อีกคนยื่นให้มาดื่มเงียบๆ รอยยิ้มก็วาดอยู่บนริมฝีปากของเด็กหญิง มือที่ดูเหมือนตุ๊กตาตัวเล็กจับให้เขานอนลงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมพลางลูบหน้าผาก อเล็กเซย์รู้สึกผ่อนคลายขึ้นชั่วขณะเพราะอุณหภูมิร่างกายเย็นสบาย แต่แล้วก็ลืมตาขึ้น

ตรงข้อนิ้วของเด็กหญิงมีปลาสเตอร์ติดอยู่ เขานึกถึงความทรงจำหนึ่งขึ้นมาแม้ได้ยินตอนไข้ขึ้นจนตัวร้อนจี๋ก็ตาม เด็กหญิงทำหน้าดุ

“ฉันมัวแต่ทำของกินให้อโลเซียก็เลยกลายมาเป็นแบบนี้ค่ะ จำได้หรือเปล่า เพราะงั้นรีบหายไวๆ นะคะ”

“…ที่ล้มก็ด้วย…”

“ที่ล้มเหรอ”

เด็กหญิงเอียงหัว ราวกับจำไม่ได้สักนิด

อเล็กเซย์อ้าปากพะงาบ ต้องขอโทษเรื่องที่ผลักอีกคนด้วย เขาอยากขอโทษ ตั้งใจว่าจะขอโทษ แต่เด็กหญิงกลับเอาแต่ยิ้มราวกับว่ารับรู้ทุกอย่างแล้ว

จากนั้นจู่ๆ เด็กหญิงก็ทำสีหน้าเหมือนตัดสินใจบางอย่างอย่างแน่วแน่

“อนาส…ตาเซีย?”

จู่ๆ อาเซียก็หยุดพูดไป อเล็กเซย์มองเธอพร้อมกับทำสีหน้ากังวลขึ้นมาเล็กน้อย

อาเซียส่ายหน้าแล้วสั่งมหาดเล็กให้ไปเอาเทียนมาเพิ่มอีกหน่อย เพราะเทียนที่จุดอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเหลือแค่ประมาณครึ่งเล่มแล้ว

ในตอนที่มหาดเล็กวางเทียนที่จุดไฟแล้วลงบนโต๊ะข้างเตียง จู่ๆ เปลวไฟก็ขยายใหญ่ขึ้น เพราะอย่างนั้นมหาดเล็กจึงตื่นตกใจไป

“…อโลเซีย”

อเล็กเซย์ได้สติขึ้นมาครบถ้วนในช่วงเวลาสั้นๆ แล้วจึงเอียงหัวไปหาอาเซีย

“หือ อนาสตาเซีย ทำไมมันเป็นแบบนั้นล่ะ”

“ฉันบอกแล้วไงคะ ว่าเป็นแค่เพราะว่าฟาฟเนียร์ตื่นเต้น ไม่ใช่เพราะอโลเซียควบคุมพลังไม่ได้”

อเล็กเซย์ยกยิ้มบางให้กับคำพูดนั้น เปลวเทียนสว่างขึ้นอีกเล็กน้อย

“อะ อะแฮ่ม”

“ทุกอย่างเป็นเพราะฟาฟเนียร์ค่ะ”

“งั้นเหรอ”

เสียงของอเล็กเซย์ฟังดูเหมือนได้รับการปลอบโยนเพราะจิตใจอันอ่อนโยนของอาเซียมากกว่ายอมรับหรือเข้าใจจริงๆ

แล้วอาเซียก็ไม่ต้องการแบบนั้น อาเซียสูดหายใจลึกแล้วเขม้นมองเปลวเทียน

“ฟาฟเนียร์ ทำอะไร รีบขอโทษเร็ว”

“…หือ”

เมื่ออเล็กเซย์ทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจสถานการณ์ อาเซียก็มองเปลวเทียนพร้อมกับพูดเร่งอีกครั้ง

“ฟาฟเนียร์ เธอบอกว่าถ้าอโลเซียตื่นแล้วจะขอโทษนี่ รีบขอโทษเลย”

<คะ แค่พูดก็จบแล้วไม่ใช่หรือไง! คือว่า…อเล็กเซย์>

น้ำเสียงเคอะเขินดังก้องอยู่บนโต๊ะ เปลวเทียนที่สว่างจ้าจนถึงเมื่อครู่นี้กลับริบหรี่ลงจวนจะดับ

<ข้า…ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เจ้าจึงจะรู้สึกถึงข้า ข้าไม่ดีเอง อเล็กเซย์ ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นนะ จริงๆ! ตอนนี้ข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว!>

ฟาฟเนียร์ร่ายคำขอโทษยาวต่อเนื่องไปอย่างกระตือรือร้น เปลวเทียนค่อยๆ ลุกโหมขึ้น แล้วตอนนี้ก็สุกสกาวโชติช่วง

ทว่า

“…อาเซีย?”

<ฮุบ>

อเล็กเซย์ยังคงมีสีหน้าอ่อนโยน แต่แฝงความประหลาดใจเอาไว้นิดหน่อยด้วย อาเซียเริ่มรู้สึกกังวลตั้งแต่ตอนนั้น แล้วพีบีก็เริ่มหัวเราะก๊ากๆ ออกมาโดยไม่เว้นจังหวะให้เธอได้ทำอะไร

<ฮ่าๆๆๆๆ! ไม่ได้ยินสินะ! ยังไม่ได้ยินนี่!>

[1] ดอกแมกโนเลีย (Magnolia) มีหลายสายพันธุ์และหลายสี ในต้นฉบับคำที่เป็นสายพันธุ์ Magnolia Kobus ซึ่งมีกลีบดอกสีขาว

หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน

หนีชะตานางร้าย ไปเป็นเจ้าหญิงขนมหวาน

Status: Ongoing
ชีวิตใหม่ในโลกนิยายนี้ ฉันจะตั้งใจอบขนม ไม่สนอำนาจใดๆ เพื่อเลี่ยงเส้นทางของนางร้ายจุดจบอาภัพ แต่เหล่าตัวละครที่มีผลต่อความพินาศของฉัน กลับมาป้วนเปี้ยนไม่ห่างกายจนได้!เกิดใหม่ในโลกนิยายทั้งที แม้รู้ดีว่ามาเป็นลูกสาวของครอบครัวแสนยากไร้แต่ฉันก็อยากจะสานฝันการเป็นช่างทำขนม ที่ฉันทำไม่สำเร็จในชาติที่แล้วให้ได้ จนกระทั่ง…“กระหม่อมมารับองค์หญิงอนาสตาเซียพ่ะย่ะค่ะ!”อย่างไรซะ ดูเหมือนว่าฉันจะมาเกิดใหม่ในร่างขององค์หญิงผู้กระหายอำนาจทั้งยังคอยขัดขวางความรักของตัวละครอื่นใน ‘ต้นฉบับ’ เรื่องที่เคยเห็นในชาติก่อนจนสุดท้ายกลายเป็นตัวร้ายที่ต้องเจอจุดจบอันแสนอนาถซะแล้วสิ!เพื่อหลีกเลี่ยงเส้นทางสู่จุดจบแสนอนาถนั่น ฉันจึงได้ตั้งอกตั้งใจอบขนมเพื่อแสดงจุดยืนอันแน่วแน่ว่า ‘ฉันไม่สนใจในอำนาจใดๆ เลยแม้แต่น้อย’(อ้อ! และเพื่อเติมเต็มความต้องการส่วนตัวด้วย)แต่ว่าทั้งองค์จักรพรรดิผู้เย็นชา ทั้งองค์ชายรัชทายาท ตัวละครหลักที่จะไล่ต้อนฉันไปสู่ความพินาศทั้งดยุค ทหารที่แข็งแกร่งที่สุดในราชอาณาจักร ทั้งทาสคนที่เคยใช้มีดเสียบฉันทุกคนต่างก็ร้อนใจเพราะอยากให้ฉันอยู่ข้างๆ กันหมดเลยเนี่ยสิ!

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท