แม้แค่ลองชิมดูก็ยังน่าเชื่อคำพูดที่บอกว่าหากคนไข้ขึ้นกินเจ้านี่แล้วมันจะช่วยขจัดไข้หวัด
ในตอนนั้น อาเซียได้ยินเสียงของพีบีอยู่ข้างหู
<ผสมนมสิ>
“…”
อาเซียนิ่วหน้าแล้วก้มลงมองชายแขนเสื้อ
พีบีทำสีหน้าเหมือนถามว่าทำเครื่องดื่มพิลึกอะไรแท้ๆ แต่กลับพูดเอะอะเสียงดังก้องหัวจนเหมือนหัวจะแตก อาเซียจึงต้องใส่นมลงไป
“เอาอันนี้…ผสมกับนม?”
อาเซียพยักหน้าเงียบๆ เพื่อตอบคำถามของพาเวลล์แล้วผสมน้ำเชื่อมขิงลงไปในนมร้อน
หือออ อร่อยเกิดคาดเลยนี่
แล้วเธอก็เบิกตากว้าง
อาเซียเกลียดขิงกับอบเชยขึ้นสมองแต่มันกลับอร่อยถึงขั้นถูกปากเธอ
รสหอมมันของนมทำให้รสเผ็ดของขิงกับกลิ่นของอบเชยนุ่มนวลขึ้น แต่ก็ไม่ได้ทำให้กลิ่นหรือรสเฉพาะตัวของทั้งสองอย่างจืดจางไป
พาเวลล์เองก็ลองชงอีกแก้วแล้วชิมดูเพราะเห็นปฏิกิริยาตอบสนองของอาเซีย จากนั้นก็ อึกๆๆ เขาดื่มหนึ่งแก้วนั้นจนหมดแก้วไปในที่สุด
“นี่ นี่มันยอดเยี่ยมสุดๆ ไปเลย!”
“ฉันจะเอาไว้ที่นี่ เพราะงั้นถ้าลุงรู้สึกเหมือนจะเป็นหวัดก็ชงดื่มแบบเข้มๆ เลยนะ เข้าใจไหม อ้อ! อันนี้ใช้ตอนปรุงเนื้อสัตว์ก็น่าจะดี”
“ยัยหนู เธอรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไงกันแน่…”
ในขณะที่พูดฉอดๆ ออกมาแบบนั้น อาเซียก็ผสมนมร้อนกับน้ำเชื่อมขิงลงในแก้วเปล่าไปด้วย แล้วก็เอาสาลี่ที่ต้มสุกในระหว่างนั้นกับน้ำต้มใส่ชาม
จัดเรียงได้เต็มถาดขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่พอดี
“เดี๋ยวฉันมาเก็บกวาดนะ ต้องเอาอันนี้ไปให้ลูกพี่ลูกน้องกินก่อน เห็นว่าไข้ขึ้นอยู่เลย”
“เดี๋ยวสิ จะถือไปยังไงไหว…”
“วันนี้ขอบคุณที่ช่วยนะ ลุง!”
“…”
พาเวลล์ยื่นมือไปอย่างรีบร้อน แต่ก็ช้ากว่าอาเซียที่ยกถาดขึ้นพร้อมกับหมุนตัวเดินไปซะแล้ว
***
เหล่ามหาดเล็กเห็นอาเซียถือถาดอาหารมาด้วยตัวเองก็พากันตกใจจนหน้าซีด แต่ก็ห้ามปรามเธอที่ทำตัวหัวรั้นไม่ได้ จึงเปิดประตูห้องนอนขององค์ชายรัชทายาทออกให้
“องค์หญิง!”
คิริลซึ่งยืนอยู่ข้างอเล็กเซย์เข้ามาช่วยรับถาดก่อนด้วยความตกใจ
“คิริล! ฉันตั้งใจจะเอามาให้อโลเซีย ทำอะไรมาให้นิดหน่อยน่ะ”
“…ทั้งหมดนี่เลยหรือพ่ะย่ะค่ะ ให้องค์ชาย?”
“อื้อ อโลเซียหลับอยู่เหรอ”
คิริลพยักหน้าพร้อมกับเอี้ยวตัวหลบให้เล็กน้อย
อเล็กเซย์นอนในสภาพเหงื่อไคลไหลท่วม อาเซียก้มลงมองอเล็กเซย์โดยไม่ได้พูดอะไรครู่หนึ่งแล้วจึงเช็ดเหงื่อที่ซึมตรงหน้าผากออกให้อย่างแผ่วเบา
ในตอนที่กำลังกังวลว่าต้องปลุกขึ้นมากินหรือเปล่า อเล็กเซย์ก็ค่อยๆ ปรือตาขึ้น
“…อนาส…ตาเซีย…?”
“อ๊ะ อโลเซีย ตื่นแล้วเหรอคะ”
อเล็กเซย์ลืมตาอย่างอ่อนแรง เมื่อรับรู้ว่าเป็นอาเซียจึงดันตัวลุกขึ้น แต่หน้าเขาแดงจัดเพราะอุณหภูมิร้อนขึ้นแก้ม ส่วนขอบตาก็ชุ่มน้ำ อีกทั้งคอก็คงบวม เสียงจึงแหบเบา
“ขอโทษที่ทำให้ตื่นนะคะ แต่ไหนๆ ก็ลุกขึ้นมาแล้ว ดื่มอันนี้สักหน่อยสิคะ ฉันทำเอง”
“…”
เมื่ออาเซียหยิบแก้วมาให้อีกคนฝืนกิน อเล็กเซย์ก็แนบแก้วกับริมฝีปากโดยไม่ได้ขัดขืนอะไรมากมาย
รสเผ็ดอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของขิงที่มีความร้อนเจืออยู่นิดๆ ทำให้อเล็กเซย์ใช้มือข้างหนึ่งกุมลำคอของตัวเอง
“ดื่มรวดเดียวหมดเลยนะ โอ้โห ทานเก่งจัง เด็กดี ต้องดื่มให้หมดน้า”
“…”
“ถ้าดื่มอันนั้นหมดแล้ว ต่อไปก็อันนี้”
เมื่ออเล็กเซย์ดื่มจนหมดแก้ว ถ้วยใส่สาลี่สุกกับช้อนที่ถืออยู่ในมือทั้งสองข้างก็ถูกยื่นเข้ามาใกล้กว่าเดิมอีกนิด
“นั่นมัน…”
“สาลี่เคี่ยว มันร้อนนะ ระวังด้วยล่ะ”
อาเซียตักสาลี่ที่ต้มสุกจนเนื้อนุ่มเปื่อย หรือก็คือสัตว์ประหลาดในร่างขนมปังขิง ขึ้นมาเป่าลมฟู่ๆ เมล็ดพริกไทยหลุดออกไปหนึ่งเม็ด ทำให้มันดูพิสดารมากกว่าเดิม
“อ๊ะ… จริงๆ เลย ตั้งใจจะทำให้มันดูน่ารักแต่ไม่ได้จริงๆ ค่ะ… กินเลยแล้วกัน”
เมื่ออาเซียยื่นช้อนให้ในตอนที่เหมือนจะเย็นลงพอสมควรแล้ว อเล็กเซย์ก็ลังเลนิดหน่อยแต่สุดท้ายก็อ้าปาก
“ที่เหลือก็ต้องดื่มให้หมดนะ”
“…อันนี้ก็ทำเอง…”
“แน่นอนซี่ ฉันตั้งใจปอกเปลือกเพื่อทำให้อโลเซียเลยนะ เห็นอันนี้ไหมคะ เพิ่งจะโดนบาดเอง เป็นแผลเลยด้วย”
อาเซียให้ดูนิ้วมือที่ยังมีคราบเลือดเหลืออยู่อย่างภาคภูมิใจ
“…”
“เพราะงั้นก็รีบกินเร็วเข้า”
ในที่สุดอเล็กเซย์ก็กินและดื่มทุกอย่างที่เธอเอามาจนหมด
อาเซียเช็ดเหงื่อที่ซึมอยู่บนหน้าผากของอเล็กเซย์ออกด้วยสีหน้าพอใจ อเล็กเซย์ตั้งใจจะดึงมือนั้นออกแต่ก็ชะงักไปเพราะดวงตาที่อาเซียจ้องเขม็งมา
“อ๊ะๆ จะดุนะคะ”
“…คิดว่าฉันเป็นเด็กหรือไง”
“ร่างกายตัวเองยังดูแลไม่ได้แบบนี้ก็ต้องเป็นเด็กสิ! พรุ่งนี้เช้าก็ขอให้ใครเอานมขิงมาให้ดื่มหนึ่งแก้วนะคะ เข้าใจไหม เพราะฉันทำไว้ในครัวเยอะเลย”
“…เข้าใจแล้ว”
บอกให้ลองคุยกับฟาฟเนียร์ตอนนี้ดีไหมนะ
เปลวเทียนสว่างโชติช่วงอยู่แต่กลับเงียบงัน
อเล็กเซย์เอนตัวนอนลงบนเตียงแล้วเหลือบตามองเธอ แต่สายตาของเขา…
จริงๆ เลย…
อาเซียอดทนที่จะไม่ถอนหายใจออกมา หมอกสีดอกแมกโนเลีย[1]เหี่ยวๆ ตลบอบอวลตรงปลายเท้าของเธอ โดยแผ่ออกมาจากตัวอเล็กเซย์
คงจะไม่มีใครทั้งนั้นที่สามารถต้านทานแววตาของเด็กป่วยได้
เอาไว้นอนงีบหนึ่งแล้วตื่นขึ้นมาค่อยบอกให้ลองคุยแล้วกัน
เปลวเทียนที่พลิ้วไหวแผ่วเบาราวแสงจันทร์ที่สะท้อนบนผิวน้ำ เหมือนกำลังบอกความรู้สึกของฟาฟเนียร์ให้รู้
ฟาฟเนียร์ปริปากพูดกับเธอซึ่งเป็นคนอื่นก่อนโดยไม่ได้รู้สึกอะไร แต่สำหรับอเล็กเซย์ซึ่งเป็นผู้ทำพันธสัญญา ไม่ว่าอย่างไรก็น่าจะกังวลอยู่บ้าง
อาเซียคิดแบบนั้นในใจพร้อมกับเลิกล้มความตั้งใจที่จะกลับไปในครัว จากนั้นก็นั่งลงตรงข้างเตียง
อเล็กเซย์หลับตาลงช้าๆ
***
อเล็กเซย์ลุกขึ้นอย่างเชื่องช้าในตอนเช้ามืดที่แสงอาทิตย์ส่องรำไร เขาไข้ขึ้นทั้งคืน แต่พอได้ป่วยอย่างเต็มที่ ร่างกายชุ่มเหงื่อกลับทำให้รู้สึกสดชื่นดีเสียอีก
ครั้งสุดท้ายที่เคยป่วยถึงขนาดนี้ก็คือตอนนอนซมก่อนจะอายุสิบขวบ
หลังจากนั้นก็เป็นหวัดนิดๆ หน่อยๆ บ้างเป็นครั้งคราว แต่นี่คือครั้งแรกที่ไข้ขึ้นสูงถึงขนาดนี้ ที่มีใครบางคนคอยเฝ้าไข้ก็ด้วย…
อเล็กเซย์คิดไปจนถึงตรงนั้นแล้วสะดุ้งเฮือก ใครบางคนกำลังฟุบอยู่ข้างเตียง
“…อนาสตาเซีย?”
เส้นผมสีชมพูแผ่กระจัดกระจายอยู่บนผ้าปูที่นอนสีขาว คงรู้สึกได้ว่าเขาขยับตัว อาเซียจึงดันตัวขึ้นมา
“…อืม ตื่นแล้วเหรอคะ ไข้ลดลงบ้างหรือยัง”
ญาติผู้น้องตัวเล็กยืดตัวขึ้นยกมืออังหน้าผากเขา ทั้งที่ยังลืมตาแทบไม่ขึ้นเพราะไม่สามารถต้านทานความง่วงงุนได้
มือเล็กๆ ของเด็กหญิงเย็นเฉียบ
“ยังอุ่นๆ อยู่นิดหน่อยแต่ดูเหมือนจะดีขึ้นเยอะแล้วนะ…”
“…อยู่นี่ทั้งคืนเลย…เหรอ”
“อโลเซียป่วยก็เลยช่วยไม่ได้นี่คะ ยาก็ไม่ส่งผลอะไร ถ้าไข้ขึ้นสูงอีกทั้งคืนล่ะก็… แต่ยังไงก็ดื่มนมขิงด้วยนะคะ”
อาเซียพูดแบบนั้นพร้อมกับขยี้ตา
“…ง่วงหรือเปล่า”
“งือ… แย่แล้วสิ วันนี้ฉันคงจะเรียนไม่ไหวแล้วล่ะค่ะ”
“…ถ้าขาดเรียน ท่านปู่ก็น่าจะดุนะ”
“ชิ ยังไงฉันก็ไม่ได้จะเป็นจักรพรรดิ แถมอโลเซียเข้าเรียนคนเดียวก็ไม่มีปัญหาอะไรตั้งแต่แรกแล้วนี่คะ ยอมโดนดุสักครั้งก็ได้”
อาเซียพูดแบบนั้นพร้อมกับบิดขี้เกียจแล้วหาวนอน คงเพราะหาวนอนด้วยปากเล็กจิ๋วบนใบหน้าเล็กๆ นั้น เธอจึงดูอ่อนเยาว์เป็นพิเศษ
ไม่รู้ว่าพูดเพื่อทำให้เขาสบายใจหรือพูดโดยไม่ได้คิดอะไรมากมาย อเล็กเซย์ลองคิดในหลายๆ ทางแต่แล้วก็ล้มเลิก
ดวงตาสีเขียวอ่อนของเด็กหญิงกำลังทอดมองเขาอย่างอ่อนโยนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
“อโลเซียก็บอกว่าป่วยแล้วพักอีกสักหน่อยเถอะค่ะ ถึงแค่วันนี้ก็ได้”
“…”
“ดื่มน้ำด้วย”
อาเซียเทน้ำใส่แก้ว มือของอาเซียเล็กเหมือนมือตุ๊กตาที่เด็กน้อยเอาไว้เล่นกัน
อเล็กเซย์คิดแบบนั้นแล้วก็ตระหนักขึ้นมาได้ว่าอาเซียเป็นญาติผู้น้องที่อายุน้อยกว่าตัวเองตั้งห้าปีจริงๆ
“อโลเซีย?”
เมื่อรับแก้วน้ำที่อีกคนยื่นให้มาดื่มเงียบๆ รอยยิ้มก็วาดอยู่บนริมฝีปากของเด็กหญิง มือที่ดูเหมือนตุ๊กตาตัวเล็กจับให้เขานอนลงแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมพลางลูบหน้าผาก อเล็กเซย์รู้สึกผ่อนคลายขึ้นชั่วขณะเพราะอุณหภูมิร่างกายเย็นสบาย แต่แล้วก็ลืมตาขึ้น
ตรงข้อนิ้วของเด็กหญิงมีปลาสเตอร์ติดอยู่ เขานึกถึงความทรงจำหนึ่งขึ้นมาแม้ได้ยินตอนไข้ขึ้นจนตัวร้อนจี๋ก็ตาม เด็กหญิงทำหน้าดุ
“ฉันมัวแต่ทำของกินให้อโลเซียก็เลยกลายมาเป็นแบบนี้ค่ะ จำได้หรือเปล่า เพราะงั้นรีบหายไวๆ นะคะ”
“…ที่ล้มก็ด้วย…”
“ที่ล้มเหรอ”
เด็กหญิงเอียงหัว ราวกับจำไม่ได้สักนิด
อเล็กเซย์อ้าปากพะงาบ ต้องขอโทษเรื่องที่ผลักอีกคนด้วย เขาอยากขอโทษ ตั้งใจว่าจะขอโทษ แต่เด็กหญิงกลับเอาแต่ยิ้มราวกับว่ารับรู้ทุกอย่างแล้ว
จากนั้นจู่ๆ เด็กหญิงก็ทำสีหน้าเหมือนตัดสินใจบางอย่างอย่างแน่วแน่
“อนาส…ตาเซีย?”
จู่ๆ อาเซียก็หยุดพูดไป อเล็กเซย์มองเธอพร้อมกับทำสีหน้ากังวลขึ้นมาเล็กน้อย
อาเซียส่ายหน้าแล้วสั่งมหาดเล็กให้ไปเอาเทียนมาเพิ่มอีกหน่อย เพราะเทียนที่จุดอยู่บนโต๊ะข้างเตียงเหลือแค่ประมาณครึ่งเล่มแล้ว
ในตอนที่มหาดเล็กวางเทียนที่จุดไฟแล้วลงบนโต๊ะข้างเตียง จู่ๆ เปลวไฟก็ขยายใหญ่ขึ้น เพราะอย่างนั้นมหาดเล็กจึงตื่นตกใจไป
“…อโลเซีย”
อเล็กเซย์ได้สติขึ้นมาครบถ้วนในช่วงเวลาสั้นๆ แล้วจึงเอียงหัวไปหาอาเซีย
“หือ อนาสตาเซีย ทำไมมันเป็นแบบนั้นล่ะ”
“ฉันบอกแล้วไงคะ ว่าเป็นแค่เพราะว่าฟาฟเนียร์ตื่นเต้น ไม่ใช่เพราะอโลเซียควบคุมพลังไม่ได้”
อเล็กเซย์ยกยิ้มบางให้กับคำพูดนั้น เปลวเทียนสว่างขึ้นอีกเล็กน้อย
“อะ อะแฮ่ม”
“ทุกอย่างเป็นเพราะฟาฟเนียร์ค่ะ”
“งั้นเหรอ”
เสียงของอเล็กเซย์ฟังดูเหมือนได้รับการปลอบโยนเพราะจิตใจอันอ่อนโยนของอาเซียมากกว่ายอมรับหรือเข้าใจจริงๆ
แล้วอาเซียก็ไม่ต้องการแบบนั้น อาเซียสูดหายใจลึกแล้วเขม้นมองเปลวเทียน
“ฟาฟเนียร์ ทำอะไร รีบขอโทษเร็ว”
“…หือ”
เมื่ออเล็กเซย์ทำหน้าเหมือนไม่เข้าใจสถานการณ์ อาเซียก็มองเปลวเทียนพร้อมกับพูดเร่งอีกครั้ง
“ฟาฟเนียร์ เธอบอกว่าถ้าอโลเซียตื่นแล้วจะขอโทษนี่ รีบขอโทษเลย”
<คะ แค่พูดก็จบแล้วไม่ใช่หรือไง! คือว่า…อเล็กเซย์>
น้ำเสียงเคอะเขินดังก้องอยู่บนโต๊ะ เปลวเทียนที่สว่างจ้าจนถึงเมื่อครู่นี้กลับริบหรี่ลงจวนจะดับ
<ข้า…ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง เจ้าจึงจะรู้สึกถึงข้า ข้าไม่ดีเอง อเล็กเซย์ ไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นนะ จริงๆ! ตอนนี้ข้าจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว!>
ฟาฟเนียร์ร่ายคำขอโทษยาวต่อเนื่องไปอย่างกระตือรือร้น เปลวเทียนค่อยๆ ลุกโหมขึ้น แล้วตอนนี้ก็สุกสกาวโชติช่วง
ทว่า
“…อาเซีย?”
<ฮุบ>
อเล็กเซย์ยังคงมีสีหน้าอ่อนโยน แต่แฝงความประหลาดใจเอาไว้นิดหน่อยด้วย อาเซียเริ่มรู้สึกกังวลตั้งแต่ตอนนั้น แล้วพีบีก็เริ่มหัวเราะก๊ากๆ ออกมาโดยไม่เว้นจังหวะให้เธอได้ทำอะไร
<ฮ่าๆๆๆๆ! ไม่ได้ยินสินะ! ยังไม่ได้ยินนี่!>
[1] ดอกแมกโนเลีย (Magnolia) มีหลายสายพันธุ์และหลายสี ในต้นฉบับคำที่เป็นสายพันธุ์ Magnolia Kobus ซึ่งมีกลีบดอกสีขาว