เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 15 รูปงามอันดับหนึ่ง

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

คงมิใช่ว่า คนบ้าๆ บอๆ อย่างพี่ฉิน แท้ที่จริงในใจซ่อนมีดไว้หรอกกระมัง?

ก้นบึ้งในจิตใจของซ่งเล่อใช้ความคิดของคนชั่วร้ายเจ้าคาดการณ์ หากเป็นเช่นนั้นจริง ตนเองมิใช่ชักนำภัยสู่บ้านช่อง ช่างไร้ความรับผิดชอบต่อความปลอดภัยของชีวิตตนเองอย่างยิ่ง?

ซ่งเล่อจับจ้องฉินจิ่วเกอแน่วนิ่ง ฝ่ามือกำแน่นเป็นหมัด

หากอีกฝ่ายสำแดงโฉมหน้าของสัตว์ป่าออกมา ตนเองจะใช้หมัดเปล่าเล่าเปลือยนี่แหละ ทุบตีให้ดอกไม้ไฉนแดงเถือกถึงปานนั้นไปเลย

ยังดี ฉินจิ่วเกอนอกจากหนังหน้าหนาไปหน่อย กระทำการบุ่มบ่ามไปบ้าง ภายในใจกลับตรงไปตรงมา ที่จริงยังตรงยิ่งกว่าไม้บรรทัด

ที่มองดูซ่งเล่อ เพราะมันกำลังริษยาในรูปโฉมของอีกฝ่าย

เมื่อต้องร่วมเดินทางไปกับบุรุษหนุ่มรูปงามราวหยกสลัก ฉินจิ่วเกอที่กลายเป็นเพียงไม้ประดับ ในใจย่อมไม่อาจวางเฉยได้

บัดซบ ยิ่งมอง ข้าก็ยิ่งคิดทำลายหน้าหมอนี่

ฉินจิ่วเกอหัวเสีย กำลังใคร่ครวญหาโอกาสเหมาะทุบตีอีกฝ่ายรอบหนึ่ง เพื่อรักษากิตติศัพท์ชายงามอันดับหนึ่งในปฐพีของตนเอง

ซ่งเล่อลูบใบหน้าเรียบลื่นสดใสของตนเอง มันเชื่อมั่นว่าตนสามารถเที่ยวคณิกาได้โดยไม่จำเป็นต้องจ่ายเงิน

“พี่ฉิน รูปลักษณ์ของคนต้องพึ่งพาฟ้าประทาน ล้วนถูกกำหนดมาจากปรโลก เรื่องบางเรื่องไม่อาจบีบบังคับได้” ซ่งเล่อรีบเอ่ยวาจาโน้มน้าว ด้วยเกรงว่าอีกฝ่ายปลงไม่ตกลงมือทำเรื่องหลุดโลกขึ้นมา

ฉินจิ่วเกอรู้สึกในใจบังเกิดเป็นรสชาติสุดบ่งบอกบรรยาย หัวร่อหึหึ “น้องซ่ง ท่านช่างเป็นบุรุษรูปงามแห่งใต้หล้าจริงๆ ”

“งั้นหรือ?”

เกิดมารูปงามเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี กระนั้นซ่งเล่อก็ยังเลิกคิ้วอย่างลำพองใจเล็กน้อย

“อย่าได้เข้าใจผิด” ฉินจิ่วเกอแก้ไขคำผิดของตน “ข้าไม่ได้คิดสร้างความลำบากแก่ผู้คน เพียงแต่ ในใต้หล้านี้ เจ้านับเป็นชายงามที่แท้ กระทั่งจรดฟ้าดินสว่างแจ้งกระจ่างตา ขอเพียงคนผู้นั้นมีนัยน์ตาแจ่มใส ล้วนสามารถแยกแยะได้”

“พี่ฉินช่างเปี่ยมอารมณ์ขันนัก” ซ่งเล่อทางหนึ่งเร่งฝีเท้า หากยังไม่ลืมล้วงพัดจีบขาวออกมาโบกสะบัดเสริมท่วงท่าคุณชายรูปงาม

พี่ฉินคนนี้ชอบพูดจาติดตลก เพียงแต่บางครั้งก็ทำตัวหน้าด้านไร้ยางอายเกินไปสักหน่อย ระดับฝีมือนั้นไม่ทราบ แต่คาดว่าคงไปกองอยู่บนหน้าหมดแล้ว

ใบหน้าอันหนาทนนี้ เชื่อว่าต่อให้ต้องประมือกับยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุก็ยังไม่บุบสลาย

“คนเราต้องรู้จักประมาณตน มิอาจหลงระเริงไปกับความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ” ฉินจิ่วเกอตบบ่าซ่งเล่อเบาๆ คำพูดคำจาเหมือนผู้อาวุโสสอนสั่งลูกหลาน

“อ้อ?”

ซ่งเล่อลอบไม่พอใจอยู่บ้าง ต่อให้ตนจะไม่นับว่าเป็นหนุ่มรูปงามอันดับหนึ่งในใต้หล้า แต่อย่างน้อยก็ต้องมีชื่อมันอยู่ในนั้นบ้างล่ะน่า

ด้วยบุคลิกอ่อนละมุนดั่งสายลมพัดผ่านกับใบหน้าติดรอยยิ้มเปี่ยมไมตรี ซ่งเล่อจึงพอนับได้ว่าเป็นที่ต้อนรับในประตูหายนะอยู่ไม่น้อย

“เจ้าทราบหรือไม่ว่า เมื่อไม่กี่เดือนก่อนข้าเกือบตายมาแล้วรอบหนึ่ง ยามได้สติลืมตาตื่น กลับพบเห็นบุรุษรูปงามผู้หนึ่ง ยังหลงคิดไปว่าเป็นเทพเซียนจากตำหนักจันทราเสด็จลงมาเยือนโลกมนุษย์”

ฉินจิ่วเกอรำพึงรำพัน ท่าทางยามย้อนนึกถึงเรื่องราวคล้ายโศกเศร้าเสียใจสุดเปรียบ ราวกับสงสัยว่าไฉนโลกเราถึงได้แคบปานนี้ ในน้ำเสียงยังแฝงแววเลื่อมใสออกมาโดยไม่รู้ตัว

คนอย่างฉินจิ่วเกอที่สามารถเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของประตูหายนะหนึ่งในสี่พรรคใหญ่ฝ่ายมนุษย์ให้เป็นโรงงานผลิตขนมได้ย่อมไม่ใช่คนปากหวานขี้ประจบอย่างแน่นอน

ดังนั้นพอเห็นอีกฝ่ายบังเกิดความเลื่อมใสถึงเพียงนี้ แม้แต่ซ่งเล่อเองยังเคลิบเคลิ้มในเรื่องราวตามไปด้วย ในโลกนี้ถึงกับมีคนเช่นนี้อยู่จริง?

“ข้าจะบอกอะไรให้ องคาพยพทุกส่วนบนใบหน้าของคนผู้นี้ล้วนถูกจัดวางอย่างพอเหมาะพอเจาะ คิ้วสองข้างพาดเฉียงดุจดาราพาดผ่าน คนเปล่งรัศมีเหนือโลก โดยเฉพาะใบหน้าที่ราวกับสวรรค์ปั้นแต่งของมัน สรรพชีวิตตั้งแต่โลกหน้ายันโลกนี้ล้วนต้องลุ่มหลง จนถ้อยคำใดๆ ก็ไม่อาจพรรณนาออกมาได้ แม้แต่ดวงจันทร์บนฟากฟ้ายังต้องหม่นแสงลงยามเทียบเคียงกับมัน”

ฉินจิ่วเกอใช้คลังคำศัพท์ระดับเด็กอนุบาลของมันจนหมดเกลี้ยง พยายามสุดความสามารถที่จะพรรณนารูปโฉมของอีกฝ่าย เน้นย้ำในความเลอเลิศของฝ่ายนั้นว่าช่างเป็นความงามที่ผู้คนต้องริษยาเพียงไร

“บนโลกนี้ มีบุรุษเช่นนี้อยู่จริงๆ?” ซ่งเล่อหวั่นไหวแล้ว กระทั่งตัวที่เบ่งพองอยู่เมื่อครู่ยังฟีบลงเล็กน้อย

คำบ่งบอกบรรยายของฉินจิ่วเกอทำให้ผู้คนแตกตื่นภูติผีตะลึงลาน ทั้งสองใจลอยวาดภาพเหตุการณ์ กระทั่งลืมย่างเท้าก้าวเดิน

ฉินจิ่วเกอประสานสองมือเข้าด้วยกัน ยกชูขึ้นฟ้า “เปรียบไข่มุกยังงดงามยิ่งกว่า ช่างน่าอัศจรรย์ เป็นความหล่อปานวัวตายควายล้มที่แท้จริง”

“มันคือใคร?” คนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟัน ในใจของซ่งเล่อบังเกิดความรู้สึกคิดสาดน้ำกรดใส่อีกฝ่ายขึ้นมา

ฉินจิ่วเกอที่ยืนหยัดบนแผ่นดินแห้งแล้งเต็มไปด้วยทรายเหลือง จู่ๆ ก็คล้ายพลันตัวสูงใหญ่ขึ้นมาหลายส่วน

สองเท้ายืนหยัดมั่น เส้นแสงจากผืนดินอันยิ่งใหญ่ส่องกระทบร่าง สีหน้าฉายแววอาลัยอาวรณ์อยู่บ้าง “ภายหลังข้าถึงค่อยรู้ ว่าในมือข้าถือกระจกอยู่”

“แค่กๆๆๆ”

ไอ้คนหน้าไม่อาย!

พบเห็นคนหลงตัวเองมาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นใครหน้าด้านไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อน ซ่งเล่อยังนึกว่าตนเองประสบพบเจออะไรมานักต่อนัก ไม่อาจมีเรื่องอะไรทำให้ตนต้องเกิดความประหลาดใจอีกแล้ว

มาถึงวันนี้จึงค่อยเข้าใจ อันใดจึงเรียกว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า พี่ฉินท่านนี้อยู่มายี่สิบกว่าปีกลับยังไม่ถูกคนตีตาย นับเป็นปาฏิหาริย์ที่แท้ คู่ควรแก่การศึกษา

“พี่ฉิน อย่าล้อข้าเล่นสิ พวกเราตั้งใจเดินทางดีหรือไม่” ซ่งเล่อถอนใจยาว

ฉินจิ่วเกอคล้อยตาม “วาจากล่าวได้ประเสริฐ มิใช่ว่ายังมีสหายร่วมขบวนอีกท่านรออยู่ภายนอกป่าปีศาจสวรรค์หรอกหรือ? พวกเราเร่งฝีเท้า ชิงเวลาก่อนตะวันตกดินพบหน้ากันเถอะ”

“ระหว่างเดินทางอย่าได้กล่าวมากความ จะได้ไม่วอกแวก” ซ่งเล่อไม่ไว้ใจคนอย่างฉินจิ่วเกอ ต้องเน้นย้ำอีกครั้ง

“เจ้าวางใจ ข้ารู้ดีว่าเจ้าอยู่กับข้ามีแรงกดดันแค่ไหน ผู้ใดให้ข้าเกิดมาโดดเด่นถึงเพียงนี้” ในเมื่อไม่อาจโจมตีรูปลักษณ์ของอีกฝ่ายได้ ฉินจิ่วเกอเปลี่ยนกลยุทธ์ เริ่มยุทธการโจมตีจากภายใน

ดวงตะวันที่คลอเคลียเส้นปลายขอบฟ้าของทุ่งร้างชนบทไม่ได้รั้งอยู่นานเท่าใด ครึ่งชั่วยามต่อมา ก็เริ่มหล่นลงลับสันเขาทิศตะวันตก

แสงอาทิตย์มืดหม่นลง ป่าปีศาจสวรรค์ที่ทอดยาวนับพันหมื่นลี้ในที่ไกลก็เริ่มแผ่กลิ่นอายมรณะเจือจาง ในห้วงอากาศคล้ายปะปนด้วยกลิ่นอายโลหิตอันบางเบาแผ่ขยายออก

ต้นไม้ดึกดำบรรพ์ในป่าปีศาจสูงตระหง่านง้ำค้ำฟ้า แม้แต่ในวันแดดจ้าในฤดูร้อน ป่าปีศาจเองกลับยังคงความหม่นทะมึนไว้

ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงยามราตรี ในป่าสมควรเพิ่มพูนภยันตรายร้ายแรงไม่รู้กี่เท่า

ป่าปีศาจเข้าไปง่ายดาย ไม่ต่างจากมดที่ถูกดึงดูดเข้าหาน้ำหวาน คนถูกความมืดเข้าครอบคลุมจนไม่อาจหายใจหายคอได้

“ถึงป่าปีศาจสวรรค์แล้ว” เอ่ยวาจาออกมาไม่นาน เสียงก็ถูกกลบกลืนไปอย่างไร้ร่องรอย

ในสายลมพัดพากลิ่นอายปีศาจปะปนมาจนคล้ายแทบได้ยินเสียงเหล่าผีคร่ำวิญญาณครวญที่ตกตายอยู่ภายในป่าลอยมาด้วย ระบายความคับแค้นคร่ำครวญของพวกมันต่อคนเป็น ป่าอาบด้วยกลิ่นอายโลหิต เพียงแค่เข้าใกล้รัศมี ก็ทำให้รู้สึกเย็นเยียบจับจิต

กระบี่หนักที่กลางหลังถูกปลดลงมา สองมือโอบประคองแน่นหนา เหล็กหนักอึ้งเย็นเยียบถูกฉินจิ่วเกอรัดไว้แนบอก หัวใจที่เต้นระรัวจนแทบกระดอนออกปากของมันจึงค่อยสงบลง

“ที่แท้กลับมิใช่ดินแดนดีอันใด ดูท่ารอบนี้คงไม่อาจออกมาได้ง่ายดาย” ฉินจิ่วเกอรำพันรอบหนึ่ง ปากสูดกลิ่นอายโลหิตอันเข้มข้นในอากาศ หัวใจงอกเกราะป้องกันขึ้นหนึ่งชั้น

เมื่อต้องเผชิญพบรัศมีพลังกดดันจากป่าปีศาจ ซ่งเล่อดูไปกลับปลอดโปร่งกว่า ยังคงมีเรี่ยวแรงแย้มยิ้มอธิบาย “วิถีบำเพ็ญพรต เดิมเป็นการพลิกฟ้าเปลี่ยนชะตา ภยันตรายที่ต้องพานพบแน่นอนว่าคงไม่ต้องพูดถึง ป่าปีศาจคือสมรภูมิที่เหมาะสมหนึ่งในไม่กี่สถานที่ที่อยู่ไม่ไกล ทุกปีอย่างน้อยมีผู้คนร่วมพันที่ต้องสังเวยชีวิต”

“ไร้พลังฝีมือ ได้แต่ต้องถูกเหยียบไว้ใต้ฝ่าเท้า คิดไขว่คว้าพลังอำนาจ ไม่่จ่ายค่าตอบแทนย่อมไม่อาจเป็นไปได้ พี่ซ่ง มิใช่ว่ายังมีสหายอีกคนรออยู่หรือ คนเล่า?”

คราแรกที่ต้องเข้าสู่สมรภูมิฝึกอาบโลหิต หากกล่าวว่าในใจไม่เคร่งเครียดย่อมเป็นไปไม่ได้

ทว่าฉินจิ่วเกอตายมาแล้วสองรอบ เรื่องการอยู่หรือตาย ตายก็ตายเถอะ มันเองชินชาแล้ว

“ทางนั้นมีการเคลื่อนไหว” อาศัยสัมผัสอันเฉียบคม ซ่งเล่อชี้ไปทางดงไม้ลี้ลับห่างออกไป “สมควรเป็นพี่น้องที่ข้าเชื้อเชิญมาเพิ่งประมือกับสัตว์อสูร พวกเราไปดูกัน”

“ตกลง”

พยัคฆ์ทลายเมฆาที่ถูกฉินจิ่วเกอสังหารไปก่อนหน้า เพียงเป็นแบบทดสอบเล็กๆ เท่านั้น

ไอวิญญาณในห้วงอากาศเดือดพล่าน สัตว์อสูรที่กำลังประมือกับคนผู้นั้น ที่จริงบรรลุถึงชั้นปราณสุริยัน มิใช่ขยะทั่วไป

เมื่อเหินร่างทะลุดงไม้หนาทึบไป ฉินจิ่วเกอก็พบเห็นคนกำลังห้ำหั่นกับสัตว์อสูรอยู่

ทั้งสองฝ่ายแลกกระบวนท่า ทลายดงไม้แน่นทึบจนลมไม่อาจพัดผ่านนั่นจนแหวกเป็นทาง

“สหายอีกคนที่เจ้าว่า ก็คือหมอนี่?”

ฉินจิ่วเกอถาม เห็นอีกฝั่งสวมเสื้อคลุมดำตลอดร่าง คล้ายคนท่องยุทธภพ ตลอดร่างล้วนถูกห่อหุ้มไว้ หากทว่ายามยกมือวาดเท้า กลับให้ความรู้สึกคล้ายคุ้นเคยกับอีกฝ่ายต่อฉินจิ่วเกอ มิใช่ว่าตนเองเคยพบหน้ามันมาก่อนกระมัง?

“อืม พี่น้องเฉินมีพลังฝึกปรือชั้นปราณสุริยันขั้นต้น ฝีมือไม่อ่อนด้อย หมีเซียนแดงตัวนั้นแม้มีพลังชั้นปราณสุริยันขั้นต้น แต่โจมตีดุร้ายป้องกันแข็งแกร่ง ผู้ฝึกปรือชั้นปราณสุริยันขั้นกลางทั่วไป ยังไม่กล้ามองข้าม”

ซ่งเล่อตอบคำถาม จากคำอธิบายของมัน ชัดเจนว่า มันคล้ายมีความหวั่นเกรงต่ออีกฝ่ายอยู่บ้าง

สมุนไพรวิเศษระดับสี่ สามารถชักจูงให้คนสำนักเดียวกันหวั่นไหว ดังนั้นซ่งเล่อยินดีเสาะหาผู้คนจากภายนอกสำนัก ไม่ยินยอมขอความช่วยเหลือจากสำนักเดียวกัน

เสื้อคลุมดำประมือกับหมีเซียนแดงไม่นาน ค่อยๆ ชิงเป็นฝ่ายมีเปรียบทีละน้อย

ดูจากท่าทีของมัน ที่แท้กำลังใช้หมีเซียนแดงเป็นเครื่องลับฝีมืออันเข้มแข็ง

ความบ้าบิ่นถึงขั้นนี้ แม้แต่ปราณสุริยันขั้นกลางอย่างซ่งเล่อเองยังรู้สึกไม่มั่นใจ

โฮกกก

หมีเซียนแดงบังเกิดความพิโรธ ในฐานะราชันแห่งดงไม้โดยรอบนี้ ยังไม่เคยมีมนุษย์หน้าไหนกล้าตอแยมันถึงเพียงนี้

แลกกระบวนท่ากันหลายสิบครา เจ้ามนุษย์นั่นกลับลื่นราวปลาไหล บนพื้นเกลื่อนเต็มไปด้วยหลุมลึกจากแรงกระแทกนับสิบ กลับยังไม่อาจฟาดโดนมันจังๆ ได้สักครา

หมีเซียนแดงถอนดึงต้นไม้ใหญ่ด้านข้างออกมาต้นหนึ่ง มันออกแรงเหนี่ยวเต็มที่ ไม้ใหญ่สูงร่วมสิบเมตรต้นนั้นก็ถอนราก กลายเป็นกระบองต้นไม้ในมือมัน

หมีเซียนแดงสะบัดกระบองไม้ขนาดสามคนโอบร่ายรำ พุ่งเข้าโจมตีใส่เสื้อคลุมดำ

เสียงลมคำรามก้อง กระทั่งพวกฉินจิ่วเกอที่ลอบดูอยู่ด้านข้างยังอดวิตกกังวลแทนเสื้อคลุมดำไม่ได้

เสื้อคลุมดำสองเท้าไม่ติดพื้น คนทะยานขึ้นกลางอากาศ สีหน้ายะเยียบเย็นชา ริมฝีปากวาดขึ้นเป็นรอยโค้ง กระตุ้นโทสะเจ้าหมีหน้าโง่ตรงหน้า

ตามปกติแล้ว มีเพียงระดับพิสุทธิ์เท่านั้น จึงสามารถเหาะเหินเดินอากาศ พาร่างเนื้อขึ้นสู่กลางนภาได้มากกว่าหลายร้อยเมตร

ส่วนเสื้อคลุมดำเพียงเพิ่งผ่านเข้าระดับปราณสุริยันขั้นต้น เพียงสามารถฝืนทะยานจากพื้นได้ไม่กี่ชุ่น รักษาร่างกลางอากาศได้เพียงชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น

ไม่กี่วินาที แต่ก็เพียงพอแล้ว

เสื้อคลุมดำกวาดกราดแขนเสื้อออก พลันปรากฎกระบี่เย็นเยียบเล่มหนึ่งลอยลิ่ว ประกายยะเยียบของคมกระบี่เจิดจ้า เสียดแทงนัยน์ตาจนแทบมืดบอด

“ตายซะ”

เสื้อคลุมดำแตะหยั่งปลายเท้าสู่พื้นดิน ก่อนจะทะยานร่างขึ้นสู่อากาศอีกครั้ง ปลายกระบี่ชี้จรดไปเบื้องหน้า

หมีเซียนแดงถูกกระตุ้นตอแยอย่างถึงที่สุด แม้แต่สัตว์เดรัจฉานที่ไร้สติปัญญาแต่เกิดเช่นมัน ยังสามารถสัมผัสได้ถึงรังสีฆ่าฟันอันอำมหิตจากกระบี่นี้

ปง !

หมีเซียนแดงใช้กระบองต้นไม้ยักษ์ในมือพุ่งเข้าใส่ศัตรูตรงๆ ปลายยอดแล่นฉิวเข้าหาเสื้อคลุมดำที่เหินทะยานเข้าใส่

พร้อมกับเสียงฉีกขาดลั่นแก้วหู ลำไม้ท่อนใหญ่ที่อาศัยเวลานับร้อยปีเติบโตมาก็ถูกกระบี่หั่นขาดครึ่งอย่างง่ายดาย กระบี่ทะลวงผ่าเข้าใส่กะโหลกที่สั่นไปมาของหมีเซียนแดงเข้าอย่างจัง

ประกายเย็นเยียบเสียดนัยน์ตาก่อนลมพายุกระหน่ำ

ทันทีที่ท่อนไม้หนาหนักถูกกระบี่ฟันขาดครึ่ง ฉินจิ่วเกอต้องหยีตาคราหนึ่ง เมื่อมองดูอีกครั้ง พบว่าปลายกระบี่เสียบทะลวงเข้าใส่ตำแหน่งหัวใจของหมีเซียนแดงอย่างแม่นยำแล้ว

หมีเซียนแดงหนังหนาที่สูงใหญ่กว่าสามจั้ง เนื้อหนังสัตว์อสูรที่เหนียวทนทานเป็นพิเศษพลันเกร็งแน่น ขัดขวางคมกระบี่ที่เสียดแทงไม่ให้เสือกลึกเข้าไปได้อีก

ฉูดดดด

โลหิตสดๆ สาดกระจาย ทว่ายังไม่ใช่บาดแผลถึงชีวิต

หมีเซียนแดงระเบิดโทสะ ตวัดอุ้งเท้าใหญ่โตเท่าอ่างน้ำของมันทุบทรวงอก พุ่งร่างจู่โจมใส่เสื้อคลุมดำ

เสื้อคลุมดำเห็นอุ้งเท้ามหึมาตะปบเข้าใส่ศีรษะ ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเสื้อคลุมไม่ทราบมีสีหน้าเยี่ยงไร เพียงเห็นคมกระบี่ที่ยังคงเปล่งประกายไม่จาง

เสียงฉึบดังขึ้น อุ้งเท้าหมีที่วาดใส่เสื้อคลุมดำร่วงลงสู่พื้น

ผืนดินสั่นสะท้าน พื้นถึงกับทรุดลงไปหลายส่วน

นั่นมันหลุมดักสัตว์มิใช่หรือ?

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท