“พี่ฉินวางใจได้ ข้าส่องสำรวจโพรงถ้ำนั้นจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอสรพิษปาฉือตัวเต็มวัยอยู่แน่ ส่วนอสรพิษที่อยู่ในวัยพัฒนาระดับฝีมืออย่างมากก็ไม่เกินชั้นปราณสุริยัน ส่วนใหญ่จะอยู่ในชั้นหลอมวิญญาณขั้นต้นมากกว่า จะติดก็แค่มีปริมาณเยอะเกินไป เพิ่มความยุ่งยากอีกหลายระดับเท่านั้น”
“จากที่เจ้าว่ามา” ฉินจิ่วเกอยังตกตะลึงไม่หาย รู้สึกมวนท้องขึ้นมาแต่ก็ตัดใจพูดว่า “อย่าว่าแต่งูเล็กงูน้อยไม่กี่ตัว เห็นแก่สายสัมพันธ์ของเรา ต่อให้ข้าต้องบุกน้ำลุยไฟก็ไม่ใช่ปัญหา”
ซ่งเล่อผงกหน้า กล่าวสืบต่อ “ถึงตอนนั้น พอข้าล่ออสรพิษปาฉือออกจากแหล่งกบดานของพวกมันแล้ว ขอให้สหายทั้งสองเข้าต้านพวกมันไว้ก่อน ให้ข้าได้มีเวลาเข้าไปเก็บเกี่ยวสมุนไพรวิเศษออกมา เมื่อเสร็จเรื่องแล้ว ข้าจะออกค่าศิลาวิญญาณให้กับพี่เฉินตามที่ตกลงกันไว้”
เสื้อคลุมดำไม่ได้ปฏิเสธ ครั้งนี้มันออกมาโลดแล่นอยู่นาน ช่วยซ่งเล่อหาสมุนไพรวิเศษระดับสี่เป็นแค่เรื่องผ่านทางเท่านั้น
เป็นการหาส่วนแบ่งเล็กๆ น้อยๆ พอให้มีเงินจับจ่ายซื้อของกลับไปฝากบรรดาศิษย์น้องและท่านผู้อาวุโสภายในพรรค
“ที่ว่าให้ต้านไว้ก็คือลูกอสรพิษหลายร้อยตัวถูกหรือไม่?” ฉินจิ่วเกอรู้สึกขยาดอยู่บ้าง “ต้องโรมรันพันตูกับพวกอสรพิษหน้าตาน่าเกลียดเหยอะแหยะ ดูจะขัดกับภาพสมรภูมิรบอันดุเดือดที่ข้าวาดหวังเอาไว้มาก”
“เช่นนั้นภาพสมรภูมิที่พี่ฉินวาดหวังไว้เป็นเช่นไร?”
“เจ้าลองคิดตามนะ ยอดฝีมือประเภทมีกล้ามเนื้อเป็นมัดๆ เส้นเอ็นเหนียวทนยิ่งกว่าเหล็กกล้า นอกจากจะตักกองมูลได้ปริมาณมากกว่าคนทั่วไปหน่อย ก็ไม่มีประโยชน์อะไรอีก อย่างมากคนประเภทนี้ก็ทำได้แค่ช่วยขับเน้นระดับสติปัญญาของตัวเอกให้เด่นชัดเท่านั้น เทียบกับรับบทบาทเป็นต้นไม้ใบหญ้าแล้วยังไม่มีเกียรติยิ่งกว่า”
“โฮ่?” วิธีการเล่าเรื่องของอีกฝ่ายช่างแปลกใหม่พิสดาร ซ่งเล่อจึงเกิดความสนใจอยู่ไม่น้อย
“ยอดฝีมือที่แท้จริงนั้น จะต้องเป็นผู้อาวุโสที่มีราศีเหนือมนุษย์ อาภรณ์ที่ใส่ต้องปลิวไสวให้ความรู้สึกลี้ลับ เฉกเช่นคชสารไร้รอย เข้าใจหรือไม่? แล้วพอเผชิญหน้ากับเจ้าก้อนเนื้อที่ในมือถือดาบยิ่งใหญ่อลังการ ยอดฝีมือไร้ผู้ต้านท่านนี้ก็จะยืนอยู่บนยอดเขาสูงลิบเมฆ ในมือไม่จำเป็นต้องมีศาสตราชั้นเลิศแต่อย่างใด ขอแค่มีก้านไม้ไผ่ประดับเอวไว้ก็พอแล้ว”
“สายตาของยอดฝีมือจะเลื่อนลอยอยู่ตลอดเวลา ให้ความรู้สึกราวกับว่าสามารถมองทะลุความตื้นลึกหนาบางของโลก แต่ยิ่งดูยิ่งใหญ่ก็จะยิ่งดูทื่อด้านเท่านั้น ดังนั้นที่เอวจึงไม่จำเป็นต้องมีจอกสุราเพิ่มความขลัง ที่เท้าไม่จำเป็นต้องสวมเกือกหยกสูงมูลค่า ไม่จำเป็นต้องเอามือไพล่หลัง ต่อให้อีกฝ่ายกรีฑาทัพมากันมืดฟ้ามัวดิน ก็ยังคงวางเฉยอยู่ได้ เพียงใช้ความโอบอ้อมอารีให้อภัยแก่ฝ่ายศัตรู บรรลุถึงจุดสูงสุดได้โดยไม่จำเป็นต้องเล่นแง่ ช่างเลอเลิศกระไรปานนี้!”
ฉินจิ่วเกอจมอยู่ในห้วงแห่งความเพ้อฝันของตัวเอง สมรภูมิอย่างนี้สิจึงจะเป็นสมรภูมิของยอดฝีมือ เป็นสมรภูมิของผู้ฝึกตนที่แท้จริง ลองมองย้อนดูตัวเองอีกรอบ นี่ต่างอะไรกับเทวดาปีกหักร่วงตกลงยังโลกมนุษย์ ได้แต่ยืนทอดมองดูเงาตัวเองอย่างโศกาอาดูรแล้ว
ซ่งเล่อถูกเนื้อเรื่องพิสดารพันลึกทำปากอ้าตาค้างไปแล้ว หันไปมองคนชุดดำที่กำลังมองหน้าตนอยู่เช่นกัน
ดูท่า ที่เมื่อครู่เสื้อคลุมดำคิดเข้าโรมรันกับฉินจิ่วเกอจะไม่ใช่ทำไปโดยไร้เหตุไร้ผล รู้อย่างนี้ตนไม่น่าสอดมือเข้าไปยุ่งเกี่ยวเลย
หากคนสติไม่ดีในทวีปฉงหลิงลดน้อยลงไปอีกผู้หนึ่ง เท่ากับว่าระดับสติปัญญาของไพร่ฟ้าประชาราษฎร์ในทวีปจะถูกยกสูงขึ้น ถือเป็นความก้าวหน้าของประเทศไปอีกขั้น ช่างน่าเฉลิมฉลองถึงเพียงไหน
หากว่ากันตามตรรกะของฉินจิ่วเกอ ยามที่ยอดฝีมือผู้สูงส่งเหนือโลก ผู้ที่บรรลุจุดสูงสุดได้โดยไม่ต้องลงมือก้าวออกจากประตูบ้านเพื่อหาข้าวต้มร้อนๆ มาซดสักชาม คงไม่พ้นถูกเจ้าก้อนเนื้อนั่นทุบกบาลสั่งสอนจนน้ำข้าวต้มพุ่งออกปากออกจมูกหมดแล้วกระมัง
การสู้รบก็คือการเอาชีวิตเข้าแลก ไม่มีการพรรณาสวยหรู ไม่มีความซาบซึ้งตันใจ
ขอเพียงได้ชนะ จะถ่มน้ำลาย จิ้มตาศัตรูก็ล้วนกระทำได้ นั่นจึงจะเป็นยุทธภพที่แท้จริง
“ปณิธานของพี่ฉินช่างสูงส่งเทียมฟ้า พวกข้าได้แต่ต้องถอนใจชื่นชม เอ่อ หยุดก่อนท่าน เรามาถึงที่หมายกันแล้ว”
แหวกกอหญ้าเถาวัลย์ที่ขึ้นรกอยู่ด้านหน้าให้พ้นตัว ที่ปรากฏอยู่ใต้แสงจันทร์ขาวนวลก็คือพื้นดินที่ยุบตัวลงจนกลายเป็นโพรงถ้ำขนาดใหญ่ มองลงไปไม่เห็นก้น
จากปากถ้ำมีกลิ่นเหม็นโฉ่พวยพุ่งออกมาเป็นพักๆ ประหนึ่งว่ามีสัตว์นรกจากขุมอเวจีลืมตาตื่น และกำลังแสยะปากแยกเขี้ยวหมายจะกลืนกินสรวงสวรรค์ฟ้าดิน ขาดเพียงแค่หยั่งเท้าลงไปเท่านั้น
รังที่มีแต่อสรพิษชุกชุมยั้วเยี้ย ดูไปไม่ต่างจากถ้ำพยัคฆ์ซ่อนมังกรเร้นเลยแม้แต่น้อย
พอเข้าใกล้ แม้แต่เสื้อคลุมดำยังต้องระแวดระวังตัว มือวนเวียนอยู่แถวกระบี่ไม่ห่าง
ซ่งเล่อเองก็เก็บสีหน้าแย้มยิ้ม พลังวิญญาณภายในร่างถูกปลุกกระตุ้นจนขีดสุด
มีแต่ฉินจิ่วเกอที่มุดหลบอยู่หลังกอหญ้า แอบโผล่หัวออกมาดูอยู่เป็นระยะ
ตรงหน้าก็คือแหล่งกบดานอันฉาวโฉ่ของอสรพิษปาฉือ สัตว์อสูรก็ยังเป็นสัตว์เดรัจฉานอยู่วันยังค่ำ เพียงแค่ฝูงแมลงวันที่จับกลุ่มกันดำพรืดไปหมดตรงปากทางก็รู้ได้ทันทีว่าขาดสุขลักษณะเพียงไร
“พร้อมกันแล้วหรือยัง?”
ซ่งเล่อหยิบลูกกลอนสีดำสามเม็ดออกมาจากแหวนมิติ หลังสะบัดมือวูบหนึ่ง เพลิงอัคคีอ่อนๆ ก็ลุกโหมอยู่บนนั้น
“พร้อม” คนชุดดำส่งเสียงตอบรับ จิตสังหารจางๆ แผ่ออกจากตัว ทำลายความสงบสุขที่โรยตัวอยู่ท่ามกลางความมืดมิดอนธการนี้
ฉินจิ่วเกอสีหน้ามั่นหน้ามั่นโหนก ปลายนิ้วชี้ไปข้างหน้าพร้อมวางมาดสั่งการ “ขว้างโลด”
และแล้วลูกกลอนทั้งสามที่ยังคงคุคั่งด้วยเปลวเพลิงก็ร่วงลงไปในหลุม ไม่นานเกินรอ ควันขาวหนาหนักก็พวยพุ่งออกจากปากหลุม ปกคลุมไปทั่วทั้งบริเวณจนแทบมองอะไรไม่เห็น
อสรพิษปาฉือเป็นสัตว์อสูรที่มีพิษร้ายแรง มีขนาดตัวใหญ่โตโอฬาร แม้แต่โอสถสะบั้นชีพที่เกือบจะทำให้อาวุโสสี่ต้องไปเฝ้ายมบาลมาแล้วยังไม่แน่ว่าจะทำอะไรได้
ทว่าควันที่ชวนให้ฉุนจมูกอย่างรุนแรงนี้ย่อมขับไล่พวกอสรพิษปาฉือให้ออกมาจากรังได้ เมื่อนั้นภายในถ้ำก็จะว่างเปล่า พร้อมให้ซ่งเล่อฉวยจังหวะนี้เข้าไปเก็บสมุนไพรวิเศษออกมา
ส่วนอสรพิษปาฉือที่กำลังพิโรธเดือดดาลอยู่นั้น แน่นอนว่าต้องให้สองคนที่เหลือเข้าสกัดไว้
ว่าก็ว่าเถอะ หากจู่ๆ มีคนมาขโมยของรักของหวงไปจากฉินจิ่วเกอ ต่อให้อีกฝ่ายหนีไปจนสุดขอบหล้า ฉินจิ่วเกอก็จะไปตามตัวมันกลับมา เพียงแต่จะสับมันจนเป็นหมื่นๆ ชิ้น จากนั้นก็เอามาเหยาะใส่เครื่องปรุงกินให้หายแค้นใจ
แม้แต่ฉินจิ่วเกอผู้เห็นกองเงินกองทองเป็นแค่กองปฏิกูลยังเป็นเช่นนี้ สามารถจินตนาการได้ว่า เรื่องนี้ต้องอันตรายถึงเพียงไหน
ฟ่อ
เสียงขู่ของอสรพิษพลันดังระงมไปทั่วพื้นที่ ก่อนที่พวกมันจะค่อยๆ ปรากฏสู่สายตา เป็นสถานการณ์ที่ชวนให้ต้องขนลุกเกรียวจนหัวโกร๋น
หมอกควันกระจายตัวเป็นวงกว้าง มองไปทางไหนก็เห็นแต่กลุ่มควัน ฉินจิ่วเกอยังรับรู้ได้รางๆ ว่าพื้นที่มันยืนอยู่กำลังสั่นไหวมากขึ้นเรื่อยๆ
จนกระทั่งคลื่นทะเลสีดำมะเมื่อมลูกใหญ่ไหลทะลักออกจากปากหลุมแคบๆ นั่นแหละ
ผิวน้ำเหมือนโลหะหลอมเหลวที่กำลังเคลื่อนตัว ยามต้องแสงจันทร์จึงส่องประกายสีนิลอันเยียบเย็น กลืนกินสัญญาณชีวิตในรัศมีร้อยเมตรโดยรอบไปในทันที
หากมองดูให้ดีจะพบว่าในคลื่นทะเลลูกนั้นมีทั้งระลอกคลื่นที่เป็นเส้นเล็กๆ กับระลอกคลื่นที่เป็นเส้นใหญ่ๆ กระจายตัวกันออกไป
รอจนกระแสน้ำเริ่มสงบตัวลง พวกมันจึงค่อยพบว่า ที่แท้สายน้ำสีดำเมื่อครู่ก็คือฝูงของอสรพิษจำนวนนับไม่หวาดไม่ไหวที่ก่อตัวสุมซ้อนกันจนกลายเป็นภาพลวงตา
บรรดาสัตว์อสูรในละแวกนั้นต่างรีบหาที่ซ่อนกันให้วุ่นวาย ในดวงตาเหลือแต่เพียงความหวาดกลัวจับขั้วหัวใจ
คนทั้งสามที่ยืนอยู่ไม่ไกลสะกดความคลื่นเหียนจากกลิ่นเน่าเหม็นเอาไว้ พยายามต้านแรงกดดันน่าแตกตื่นสะท้านใจของฝูงอสรพิษร้ายตรงหน้า
“ลงมือ!” ซ่งเล่อดีดตัวขึ้นฟ้า ใบไม้คมกริบขนาดเท่าหัวแม่มือพุ่งฉิวออกจากตัว
ใบไม้หอบนั้นพุ่งหายเข้าไปในคลื่นทะเลสีดำที่ยังคงกระท้อนขึ้นลงไม่หยุด
ครั้นแล้วอสรพิษบางส่วนก็ถูกตัดผ่าออกเป็นสองท่อน พิษสีดำที่ทะลักออกจากร่างที่แม้จะถูกตัดไปแล้วก็ยังดิ้นอยู่เมื่อราดลงกับพื้น พื้นผิวบริเวณนั้นก็เปลี่ยนเป็นไหม้เกรียมไปทั้งแถบ
พอเห็นว่าทิศที่ซ่งเล่อกำลังมุ่งไปก็คือรังของพวกมัน อสรพิษปาฉือบางส่วนก็เลื้อยออกจากเกลียวคลื่นในบัดดล ลำตัวของมันกว้างเท่าศอก เกล็ดบนตัวมีพิษร้ายแรง ดูไปคล้ายบุปผาโลหะที่กำลังเบ่งบาน
“ฮ่าห์!”
ประกายเยียบเย็นวาบขึ้นแล้วดับไป พร้อมกับร่างที่ถูกป่นกลายเป็นเนื้อเละๆ ของอสรพิษที่คิดขัดขวางซ่งเล่อ
แสงจันทร์ยังทอประกายหนาวเหน็บ ป่าปีศาจสวรรค์เงียบสงัดทั่วทั้งผืน แม้จะมีเสียงต่อสู้สัประยุทธ์ หากก็ดังอยู่แค่ในบริเวณนั้น
บ่อน้ำเรียบสงบ หากมีหินสักก้อนตกลงไปเป็นครั้งคราวไม่อาจทำให้เกิดละอองน้ำสาดกระเซ็นขึ้นมาได้
ซ่งเล่อร่อนกายลงบนปากหลุม ปลายนิ้วตวัดออกไปเบื้องหลัง พลังวิญญาณเด็ดเอาชีวิตของเจ้าอสรพิษที่อยู่ไม่ไกลไปในทันที
ในมือถือมีดเกล็ดงูที่มีขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือเอาไว้ ตัวมีดงอเงี้ยวดั่งเขี้ยวงู
นั่นคือศาสตราวุธของซ่งเล่อ มีดอสรพิษฟ้า วัตถุวิเศษที่มีคุณภาพสูงส่งถึงขีดสุด สามารถพรากเอาชีวิตของอสรพิษปาฉือที่มีเกล็ดแข็งทั่วตัวได้ง่ายๆ
หลังลอบเข้าสู่รังอสูรได้สำเร็จ เงาร่างของซ่งเล่อก็ค่อยๆ อันตรธานหายไป
พอเห็นว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาในรัง อสรพิษปาฉือจำนวนมหาศาลก็ชูหัวขู่ฟ่อ ลิ้นที่อาบยาพิษสีดำผลุบเข้าผลุบออกตัดกับภาพแสงจันทร์สีขาวนวล
เมื่อเห็นว่าซ่งเล่อเร้นกายเข้าสู่รังสัตว์อสูรได้สำเร็จ พวกฉินจิ่วเกอที่แอบซุ่มอยู่พลันลงมือรวดเร็วดั่งสายฟ้า เปิดฉากจู่โจมอสรพิษปาฉืออย่างเฉียบพลัน
คนชุดดำเปิดตัวอลังการ ทุกฝีก้าวแฝงกลิ่นอายสุนทรียภาพ ยามลงมือเหี้ยมเกรียมไร้น้ำใจ ร่างพุ่งปราดเดียวก็ทะลวงผ่านคลื่นอันเชี่ยวกรากสุดลูกหูลูกตาออกไปโผล่อีกฝั่งหนึ่ง
ฉินจิ่วเกอของเราก็ไม่น้อยหน้า วิ่งตะลุยออกมาจากอีกทาง ปากก็ร้องตะโกนปลุกใจ “บุกเข้าไปสหาย!”
อสรพิษปาฉือต่างมองเมินฉินจิ่วเกอที่กำลังเลือดร้อน ต่างพากันเลื้อยลัดไปทางเสื้อคลุมดำกันหมด ทิ้งไว้เพียงลอยเกล็ดตามรายทาง
คลื่นน้ำสีมะเมื่อมเริ่มไต่ระดับสูงขึ้นคล้ายจะปีนป่ายให้ถึงสรวงสวรรค์ ก่อนจะทิ้งตัวลงมาทางคนชุดดำ หมายจะกลบฝังมันในคราเดียว
“กระบี่มหานทีสะบั้นสุริยัน!”
กระบี่มรกตกรีดกราย ก่อตัวเป็นเงามรณะไร้สภาพจำนวนนับไม่ถ้วนภายใต้แสงจันทร์ที่สาดส่อง บังคับให้คลื่นอสรพิษยักษ์ต้องม้วนตัวกลับไป
อสรพิษที่ถูกผ่าออกเป็นชิ้นๆ ยังคงดิ้นพล่านอยู่ในคลื่นน้ำ แต่เพียงแค่กระพริบตา ซากของพวกมันก็ถูกพิษร้ายของสหายร่วมเผ่าพันธุ์กร่อนทำลายจนไม่เหลือแม้แต่ซาก
คลื่นอสรพิษยักษ์ม้วนตัวขึ้นสูง แม้แต่ต้นไม้อายุร้อยปียังจมหายไปกับคลื่นสัตว์อสูรนี้ ก่อนจะถูกพิษกัดกร่อนจนเหลือแต่เศษซากในเวลาไม่กี่วินาที
“ฮึ่ย ตาข้าบ้างล่ะ”
ฉินจิ่วเกอไม่ใช่คนประเภททำนาบนหลังคน นอกจากนั้น มันก็ไม่คิดจะปล่อยให้อีกฝ่ายแย่งเอาความดีความชอบไปไว้อยู่คนเดียว
กระบี่หนักในมือหมุนคว้าง ปลายกระบี่จี้ตรงเข้าหาคลื่นอสรพิษยักษ์ที่ก่อตัวเป็นปราการจนแตกฉานซ่านเซ็นไป
เสื้อคลุมดำตะลึงกับความระห่ำของฉินจิ่วเกอ ชายในความทรงจำของมันคนนั้นเป็นพวกรักตัวกลัวตายและละโมบโลภทรัพย์อย่างที่สุด แต่บัดนี้อีกฝ่ายถึงกับเลือดขึ้นหน้าไม่เกรงกลัวความตายขึ้นมาเสียอย่างนั้น
ยังไม่พูดถึงเหตุสุดวิสัยต่างๆ หรือศีรษะของมันจะถูกหมูเตะเข้าจริงๆ?
“พวกมันมีมากเกินไป อย่าให้เล็ดลอดกลับเข้าไปได้เด็ดขาด” เสื้อคลุมดำไม่ยอมปล่อยให้ตนต้องถูกกลืนหายเข้าไปในทะเลสีดำนั่นแน่ๆ ถึงอย่างไรพิษของพวกมันก็มีฤทธิ์ร้ายแรงสุดประมาณ ตราบใดที่เข้าสู่กระแสเลือด แม้แต่ยอดฝีมือชั้นปราณสุริยันยังไม่แคล้วต้องแตกดับ
ขอบเขตปราณสุริยันสามารถเปลี่ยนไอวิญญาณให้กลายเป็นพลังวิญญาณ จากนั้นก็อาศัยแหล่งพลังงานจากจุดตันเถียนขับเคลื่อนพลังวิญญาณออกมาเป็นปราณคุ้มกายที่เหนียวทน
ฉินจิ่วเกอไม่ใช่ยอดฝีมือชั้นปราณสุริยัน จะขาดก็แค่อีกเพียงก้าวเดียว ดังนั้นจึงมิอาจไม่ระวังตัว
คว้าก!
อสรพิษปาฉือสองตัวที่เทียบได้กับชนชั้นปราณสุริยันถูกคนชุดดำผ่าร่างสังหาร ปลายกระบี่ที่อาบเลือดอสรพิษร้ายเริ่มสึกจากฤทธิ์กัดกร่อนอย่างช้าๆ
ศาสตราวุธนอกจากชนิดที่ทำจากโลหะทั่วไป ยังแบ่งออกเป็นระดับที่สูงขึ้นอย่างศาสตราวิเศษ อาวุธเต๋า ศาสตราบรรพกาล ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ ศาสตราวิญญาณ และศาสตราเซียน หกระดับ
มีดอสรพิษฟ้าของซ่งเล่อคือศาสตราวิเศษ ทั้งยังเป็นศาสตราวิเศษที่มีคุณภาพสูงสุด
ส่วนกระบี่มรกตในมือของเสื้อคลุมดำ รวมถึงกระบี่หนักในมือของฉินจิ่วเกอ เป็นเพียงอาวุธที่หลอมขึ้นจากโลหะชนิดที่พบหาได้ดาษดื่น พลังจึงมีจำกัด
สมุนไพรวิเศษใช่บอกว่าไปเก็บก็สามารถขุดรากถอนโคนมาได้ทั้งอย่างนั้น ไม่อาจพูดได้ว่าหลังหาพบแล้วขอแค่ถอนดึงออกมาก็เสร็จเรื่อง
จะให้แน่ใจได้ว่าสมุนไพรวิเศษนั้นอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อม จำต้องใช้หีบหยกในการบรรจุ จากนั้นก็ใช้พลังวิญญาณปิดผนึกให้มิดชิด จึงจะรับประกันได้เต็มประสิทธิภาพว่าฤทธิ์ยาในสมุนไพรจะไม่มีวันระเหยออกไป
ดังนั้น ซ่งเล่อย่อมไม่อาจกลับออกมาได้ในระยะเวลาสั้นๆ
ด้านนอก ฉินจิ่วเกอและเสื้อคลุมดำหนึ่งหน้าหนึ่งหลัง อสรพิษชั้นปราณสุริยันล้วนเป็นหน้าที่ของคนชุดดำ ส่วนอสรพิษชั้นหลอมวิญญาณ ฉินจิ่วเกอสามารถรับมือได้เป็นส่วนใหญ่
“ฉับ!” ฉินจิ่วเกอวาดกระบี่ที่หนักถึงหนึ่งร้อยสิบจินในมือออกเป็นแนวขวาง เป็นกระบวนท่าที่ไม่มีเคล็ดวิชายุทธ์ตระการตาใดๆ ทั้งนั้น มันทำได้แค่วาดกระบี่ไปมาโดยไม่หยุดพักเท่านั้น อาศัยแรงโน้มถ่วงสุดไพศาลและไอวิญญาณที่ไม่ค่อยจะใสกระจ่างเท่าใดบดขยี้อสรพิษปาฉือตัวเล็กตัวน้อยจนแหลกเหลวคามือ
ฝุ่บ
เสื้อคลุมดำส่งยาลูกกลอนสองสามเม็ดไปทางฉินจิ่วเกอ เป็นยาฟื้นพลังระดับต่ำสุดของทวีปฉงหลิง โอสถระดับหนึ่งที่สามารถฟื้นฟูไอวิญญาณได้ในปริมาณน้อย
เมื่อต้องต่อกรกับกองทัพอสรพิษที่มากันอย่างไม่รู้จักจบจักสิ้น ทำให้ศึกในครั้งนี้เป็นศึกระยะยาว
ฉินจิ่วเกอผงะไปเล็กน้อยคล้ายไม่ทันตั้งตัว ที่แท้หมอนี่ก็เป็นคนจิตใจงามเหมือนกัน ต่างจากที่ตนวาดภาพเอาไว้อยู่บ้าง แต่พอคิดดูให้ดีถึงค่อยเข้าใจ เกิดลูกหนี้อย่างข้าพเจ้ามีอันเป็นไป เงินที่ติดค้างไว้เท่ากับต้องละลายลงแม่น้ำกันพอดี
เคราะห์ดีที่ฉินจิ่วเกอเพียงแค่คิดอยู่ในใจ เสื้อคลุมดำเลยไม่ทราบว่ามันเป็นคนใจแคบอย่างนี้
หากไม่ใช่ว่าลงเรือลำเดียวกันอยู่ ไม่แน่อาจถึงขั้นกรายทวนในลำเรือ สับสะบั้นฉินจิ่วเกอจนศีรษะปลิวไปทาง ตัวปลิวไปอีกทางให้หมดเรื่องหมดราวไป