เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 26 กิ้งก่าเปลี่ยนสี

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“พี่ซ่ง ท่านไม่ไปหรือ?” ฉินจิ่วเกอสำรวจมองต้นกำเนิดกฎเกณฑ์อันนั้น หากกลับมิได้บุ่มบ่าม

ซ่งเล่อกางมือออกทำท่าคว้าจับ “ต้นกำเนิดเพียงมีก้อนเดียว หากข้าเอามาแล้ว ใช่โหดร้ายเกินไปหรือไม่?”

“วาจาเปี่ยมเมตตา งั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว” ฉินจิ่วเกอพลันสืบเท้าโถมเข้าใส่ คิดคว้าใส่กลุ่มก้อนหมอกควันไร้สิ้นสุดก้อนนั้น

“ข้าไม่ได้บอกว่าจะไม่เอานี่” ซ่งเล่อตะครุบตัวฉินจิ่วเกอแน่น

“ข้าว่าพลังของต้นกำเนิดเพียงเท่านี้ ไม่อาจเทียบได้กับน้ำใจมิตรสหายของเราท่าน มิสู้เล่นเป่ายิ้งฉุบกัน ผู้ใดชนะก็เอาไปเลย”

ฉินจิ่วเกอกระเหี้ยนกระหือ จิตวิญญาณพ่อค้าโฉดลุกโชติช่วง

ซ่งเล่อกลอกตา “ข้าไม่ได้โง่”

“งั้นเอางี้ สมบัติตกทอดล้ำเลิศเหมาะสมกับผู้มีคุณสมบัติเลิศล้ำ โชคชะตาล้วนรอคอยผู้มีวาสนาจึงได้รับ พวกเราทั้งคู่ขึ้นไปสัมผัสต้นกำเนิด ผู้ใดสามารถคว้าจับดูดซับมันได้เร็วกว่า ก็เป็นของผู้นั้น”

ซ่งเล่อเอ่ยข้อเสนอที่ค่อนข้างยุติธรรมออกมา

ฉินจิ่วเกอในใจผิดหวังอยู่บ้าง เป็นถึงยอดยุทธ์หมื่นวิถีอันยิ่งใหญ่ขั้นสุดยอด เพียงตกทอดต้นกำเนิดเอาไว้อย่างเดียว ไม่มีอย่างอื่นเลย

มันยังคิดว่ายอดยุทธ์หมื่นวิถีสมควรหลับนอนบนกองภูเขาศิลาวิญญาณเสียอีก บนร่างยังต้องแขวนไว้ด้วยเครื่องประดับและไอเท็มศิลาวิญญาณมากมาย กระทั่งอาบน้ำยังอาบด้วยศิลาวิญญาณ เปิดซาลาเปามามีเนื้อสองชิ้น คนมีสามหัวหกกร

มีทั้งสวนสมุนไพรโอสถวิเศษเป็นท้องทุ่ง หญ้าวิเศษระดับหกมากมายปานสุนัขข้างถนน หญ้าวิเศษระดับแปดเกลื่อนกล่นจนหยิบจับได้ทุกเมื่อ

หากอาวุโสหมื่นวิถีท่านนั้นมีทิพยญาณ สมควรกำนัลแก่ผู้เยาว์ท่านนี้อย่างสาหัส สิ่งของเกินตัวเหล่านั้น ในทวีปฉงหลิงไหนเลยจะมีผู้ใดมีมาก่อน

น่าเสียดายที่อีกฝ่ายวิญญาณบินหายไปนานแล้ว อาศัยเพียงร่างบาดเจ็บสาหัสละสังขารรักษาสมบัติตกทอดไว้ไม่ให้สูญสลาย ฉินจิ่วเกอน่าชังตัวอ่อนแอใจกระหายอยากไม่รู้จักพอ

เมื่อทั้งสองตระเตรียมเข้าใกล้โครงกระดูก เสียงแกร่กลั่นคราหนึ่ง จุดตันเถียนของโครงกระดูกบังเกิดวัตถุหนึ่งพุ่งออกมา สำแดงพลังสะท้านใจ

“หลบไป!” ซ่งเล่อตื่นตัว ยกเท้าถีบฉินจิ่วเกอร่วงตกลงจากแท่นศิลาหยก

โชคยังดีที่ฉินจิ่วเกอระวังเจ้าเด็กน้อยนี้อยู่ก่อนแล้ว ใช้ท่าร่างราวปลาหลีฝืนหลบเท้านั้นของซ่งเล่อ พร้อมกันนั้นถูกเศษไม้บรรทัดพุ่งใส่กลางหลัง

“นี่เป็นอาวุธที่อาวุโสท่านนั้นเคยใช้ ไม่ทราบอยู่ในระดับชั้นไหน แม้ถูกจู่โจมทำลายเป็นเศษส่วน ทว่าห้วงจิตสุดท้ายยังคงหลงเหลืออยู่ภายใน”

ซ่งเล่อออมรั้งพลัง เบิกตามองเศษบรรทัดชิ้นนั้น รวบรวมพลังวิญญาณไว้ที่ฝ่ามือ

ฉ่าฉ่า

เศษไม้บรรทัดปลดปล่อยประกายวิญญาณออกเป็นเส้นสาย ทุกริ้วรอยล้วนเปี่ยมพลังไม่ด้อยไปกว่าการโจมตีของยอดยุทธ์ปราณสุริยันขั้นสูงสุด

ประกายวิญญาณกระจายไปทั่วสี่ทิศแปดทาง ส่วนใหญ่พุ่งเข้าใส่ฉินจิ่วเกอ

ฉินจิ่วเกอกระโดดลงจากแท่นหยก ม้วนตัวตลบหนึ่ง

ประกายวิญญาณที่ไล่ตามหลังก็เลี้ยวโค้งคราหนึ่ง คล้ายติดเครื่องนำวิถีจู่โจม ล็อคเป้าไว้ที่ฉินจิ่วเกอ

“หวาหวา รังแกคนเกินไปแล้ว!” ฉินจิ่วเกอระเบิดพลังวิญญาณออกมาสายหนึ่ง ร่างทะยานไปไกล เกลือกกลิ้งไปบนแผ่นหินใหญ่แผ่นหนึ่ง

“พี่ฉิน ท่านเหนี่ยวรั้งประกายวิญญาณเหล่านั้นไว้ ข้าจะประมือกับเศษบรรทัดนี่เอง” ซ่งเล่อเพ่งมองเศษบรรทัดที่กำลังเปล่งสีสันบรรเจิดเพริศแพร้วอยู่กลางอากาศ สายตาทอแววหนักหน่วงเคร่งเครียดอย่างไม่เคยมีมาก่อน

ของวิเศษระดับอาวุธวิญญาณขึ้นไป ภายในจะมีจิตวิญญาณดำรงอยู่ ซึ่งก็หมายความว่า พวกมันมีความคิดอ่านของตนเอง

เศษบรรทัดชิ้นนี้ เป็นศัสตราชีพของอาวุโสตัวประหลาดหมื่นวิถีที่ละสังขารท่านนั้น ระดับความสูงส่งของอาวุธเพียงเศษเสี้ยวที่เห็นก็สามารถรับรู้ได้

เห็นเช่นนั้น ซ่งเล่อไม่กล้าประมาท เศษบรรทัดไม่มีสำนึกรู้

มันไม่สนท่านเป็นเผ่ามนุษย์หรือปีศาจ ทันทีที่ต่อยตี สองฝ่ายไม่ท่านตายก็เป็นข้าสิ้น

“ระวังตัวด้วย ทางนี้ข้าจะช่วยถ่วงเวลาไว้เอง”

ฉินจิ่วเกอกลืนน้ำลาย ในใจลอบหวั่นไหว สถานการณ์แบบนี้ มีแต่ต้องพลีชีพเข้าหนุนเสริมเท่านั้น

“อืม ข้าจะเร่งจบศึกให้เร็วที่สุด” หากบอกว่าเศษบรรทัดชิ้นนั้นอานุภาพคว่ำฟ้า เช่นนั้นผู้ที่สามารถฟาดทำลายมันย่อมมีอานุภาพยิ่งกว่าคว่ำสวรรค์ ไม่แน่ว่ายังอยู่ในขอบเขตเหนือล้ำกว่าหมื่นวิถี

“เทพราชันทลายสวรรค์!”

สองมือประสานมุทรารูปกากบาท เบื้องหลังซ่งเล่อพลันปรากฎรูปเงาซ้อนเป็นชั้นๆ ก่อนรวมตัวเป็นเงาร่างคน

เศษบรรทัดครึ่งท่อนนั้นส่งเสียงกระหึ่ม สายวิญญาณกระเพื่อมไหว แม้แต่ห้วงอากาศยังสั่นสะเทือน กอปรเป็นเสียงแหลมเสียดแทงแก้วหู

“เทพราชัน ไป!”

เงาร่างที่ด้านหลังขยายเป็นเงาร่างขนาดใหญ่ยักษ์ เหวี่ยงหมัดเข้าโจมตีใส่เศษบรรทัดที่กลางหาว

กำปั้นที่ไร้ลวดลายเล่ห์เหลี่ยม แฝงไว้ด้วยพลังมหาศาลนับหมื่นจิน สามารถร้อยทะลวงขุนเขา

เศษบรรทัดพุ่งออกไป ที่จริงมันคือวัตถุระดับสมบัติวิญญาณ แม้ถูกคนฟาดแตกทำลาย หากแต่ศักดานุภาพยังคงแกร่งกร้าวยิ่ง

การโจมตีที่เพียงพอทำร้ายยอดยุทธ์ปราณสุริยันขั้นกลางในทีเดียว ที่น่าตกใจคือกลับไม่อาจสร้างรอยขีดข่วนใดๆ ได้เลย

เศษบรรทัดขยายใหญ่ขึ้นสิบเท่า แผ่พลังกดดัน จู่โจมจากบนลงล่าง

ตูม! ตูม!

แท่นหยกสั่นสะท้าน บนพื้นผิวแตกระแหงออกราวใยแมงมุม เพียงพริบตาก็ร้าวลามไปกว่าครึ่ง

หยกภูเขาธรรมดารอบๆ แตกกระจายไปทั่วทุกสารทิศ ยังเปี่ยมพลังฆ่าฟันกว่าลูกดอกสังหาร พร่างพรมยิ่งกว่าห่าฝน

ซ่งเล่อกระอักโลหิตออกมาคำหนึ่ง สองมือกวัดแกว่งแขน กึ่งกลางหว่างคิ้วพลันปรากฏตราสัญลักษณ์ฟ้าดินอันลี้ลับลอยขึ้น “ทลายสวรรค์ ออกมา!”

เงาร่างยักษ์แปรเปลี่ยน รูปร่างรวมรั้งอยู่กลางอากาศ กลายเป็นขวานมหึมาที่ผ่าฟ้าแยกแผ่นดิน กรีดแยกไท่ซานได้ในคราเดียว

วิชาในพรรคสำนักมาตรฐาน ย่อมสูงส่งกว่าวิชาภายนอกมากหลาย กระบวนท่าที่ซ่งเล่อใช้ออก เป็นกระบวนท่าตีโต้ขั้นสูงสุดยอด

เศษบรรทัดปล่อยประกายวิญญาณ เปล่งแสงสว่างพิสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์อันไม่อาจต้านทานได้ คล้ายสามารถชำระล้างบรรดาผู้ต่อต้านทั้งมวลจนสิ้น

ไอวิญญาณโดยรอบถูกเศษบรรทัดดูดซับจนเกลี้ยง ควบรวมจนกลายเป็นดาบสองคม เข้าต้านปะทะซ่งเล่อ

อุณหภูมิพุ่งสูงขึ้นจนน้ำระเหย แผดเผาปากแผลที่ยังเปิดอยู่ เลือดสดๆ ถูกเผาจนแห้งเป็นโลหิตสีแดงคล้ำ

ฉินจิ่วเกอในที่ไกลรักษาการต่อสู้ระยะห่างเอาไว้ คนเดี๋ยวตีเดี๋ยวหยุด เดี๋ยวหลบหลีกล่าถอย ป้องกันประกายวิญญาณเหล่านั้นหวนกลับไปสอดแทรกยังศูนย์กลางการต่อสู้

“ข้าคือยอดอัจฉริยะ เรียนปุ๊บรู้ปั๊บ ลองชิมหมัดถล่มฟ้าวิชาระดับสองของข้าดู!”

ทุบทำลายประกายวิญญาณไปได้อีกหนึ่ง ก็ปรากฎประกายวิญญาณอีกเจ็ดแปดสายดาถล่มใส่ใบหน้าของฉินจิ่วเกอ

ชายหนุ่มใช้ออกด้วยท่าร่างระบำหงส์เหินล่าถอยออกไปหกเจ็ดเมตร ฝ่ามือประกบนิ้วเป็นรูปกระบี่ แสดงกระบวนท่าของพรรคหลิงเซียวที่ซุกซ่อนในหัวสมองออกมาอย่างต่อเนื่อง

“แบบนี้อีกไม่นานข้าก็ตั้งสำนักเองได้แล้ว”

ทำอะไรเกินกำลังตัวเอง หลักการข้อนี้ฉินจิ่วเกอย่อมเข้าใจ เพียงแต่ประกายวิญญาณพวกนี้เกาะติดมันเหมือนตังเม ทำอย่างไรก็ไม่อาจสลัดพ้น เคล็ดวิชายุทธมากหลายจำต้องผ่านการฝึกฝนเคี่ยวกรำเป็นเวลานานจึงจะใช้ออกได้ ฉินจิ่วเกอไม่มีทางเลือกได้แต่ต้องใช้เคล็ดวิชาขั้นต่ำเพื่อเร่งกระบวนการแก้ขัดไปก่อน

ประกายวิญญาณกลุ่มนั้นแปรสภาพเป็นม่านตาข่ายคลุมฟ้าบดบังสุริยัน ก่อนทอดตัวดิ่งลงสู่เบื้องล่าง

“เคล็ดระเบิดพลัง!”

อากาศรอบตัวฉินจิ่วเกอถูกไอวิญญาณกวาดม้วนออกไป ม่านวิญญาณที่เทตัวลงจากทั่วทุกทิศทางทำอย่างไรก็ไม่อาจคืบใกล้ฉินจิ่วเกอได้ไปมากกว่านี้

ฉินจิ่วเกออาบเหงื่อต่างน้ำ ตะโกนไปทางซ่งเล่อ “เร่งมือเข้า ข้าจะต้านไม่อยู่แล้ว”

“ฝืนอีกหน่อย!”

การปะทะระหว่างซ่งเล่อกับเศษบรรทัดดำเนินมาถึงจุดดุเดือด ทั้งสองฝ่ายต่างไม่มีใครยอมใคร จิตต่อสู้ลุกโชติช่วงจนแม้แต่อากาศรอบบริเวณยังต้องลุกไหม้

“เป็นไงเป็นกัน” ตระหนักว่าพลังใกล้จะร่อยหรอเต็มที ซ่งเล่อจึงกัดฟันงัดเอาไม้ตายก้นหีบออกมาใช้ เป็นเคล็ดลับประจำสำนัก

“กำเนิดสวรรค์!”

ไอวิญญาณภายในกายพรั่งพรู อาศัยเคล็ดลับประจำสำนัก ซ่งเล่อก้าวเข้าสู่ช่วงชั้นสูงสุดของปราณสุริยันเป็นเวลาชั่วอึดใจ สำแดงอำนาจตราสัญลักษณ์ฟ้าดินทลายสรวงสวรรค์ออกมา

“ติดตามผู้เป็นนายมาชั่วชีวิต บัดนี้มันละสังขารไปแล้ว เจ้าเองก็ควรสลายไปได้สักที!”

อวตารยักษ์จุติลงสู่หล้า บดขยี้ประกายเสี้ยวสุดท้ายของเศษบรรทัดจนแหลกสลาย แม้แต่ลานหยกใต้ฝ่าเท้ายังต้องแหลกสลายตามไปด้วย

เสียงกรีดร้องคร่ำครวญดังออกจากเศษบรรทัด ก่อนจะแปรเปลี่ยนไปเป็นมังกรอัคคีที่ออกอาละวาดไปทั่วทิศทาง ชั่วอึดใจก่อนสลายก็ม้วนตัวพุ่งไปทางซ่งเล่อด้วยความเร็วอย่างเหลือเชื่อ

“พรวด” ซ่งเล่อกระอักโลหิตออกมาเป็นฟูมฝอย กลิ่นอายพลังตกฮวบจนหยุดอยู่ที่ขอบเขตหลอมวิญญาณ

ในที่สุดเศษบรรทัดก็สลายไปท่ามกลางไอวิญญาณฟ้าดิน ติดตามผู้เป็นนายของมันไป เสียงคร่ำหวนโศกเศร้าตรอมตรมดังมาตามสายลม

“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด อีกแค่นิดเดียวข้าก็จะกำราบประกายวิญญาณพวกนั้นได้อยู่แล้ว!”

ฉินจิ่วเกอยกมือป้องปากป้องจมูกจากฝุ่นควันเศษซากลานหยกใกล้ๆ

“พี่ซ่ง พี่ซ่งท่านจะตายไม่ได้นะ!” ร่ำร้องพลางดึงซากมันฝรั่งเละๆ ที่คาดว่าน่าจะเป็นซ่งเล่อออกมาจากใต้ลาน มันฝรั่งบดนี้ชุ่มโชกไปด้วยซอสมะเขือเทศเต็มตัว ส่องประกายเป็นมันวาว

“แค่กๆๆ ข้ายังตายไม่ได้” ซ่งเล่อตอบกลับ

“ช่างน่าเสียดาย หากเจ้าตายไปสักคน ต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ก็จะตกเป็นของข้าแท้ๆ”

ฉินจิ่วเกอที่จริงไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องการฝึกฝนวรยุทธเท่าใด ที่มันสนใจก็คือของเล่นชิ้นนี้จะขายได้ราคาเท่าใดต่างหาก

ซ่งเล่อตาเบิกกว้าง กล่าวอย่างไม่อยากจะเชื่อ “พี่ฉิน หากท่านอยากช่วยชีวิตข้าจริงๆ ท่านช่วยอยู่เงียบๆ หน่อยได้หรือไม่ ข้าเป็นคนป่วย จำต้องพักฟื้น”

“เลิกพูดได้แล้ว รีบๆ กินโอสถระดับสามเม็ดนี้เข้าไปซะ แล้วอย่าลืมจ่ายตังค์ข้าด้วย”

“ท่านเอาโอสถของข้ามาให้ข้ากิน ยังจะมีหน้ามาคิดตังค์กับข้า เหลือเกินจริงๆ”

ซ่งเล่อส่ายหน้าด้วยความระอาใจ ต่อให้มีเวลาทั้งวันก็ยังนึกหาคำมาบ่งบรรยายไม่ได้

ฉินจิ่วเกอแอ่นหลังตรงท่วงท่าเหมือนมั่นใจว่าตัวเองถูกที่สุด “เรื่องนั้นก็ส่วนเรื่องนั้น ดีที่เราจัดการเจ้าของประหลาดนั่นแล้ว มาดูกันซิว่าจะแบ่งของรางวัลกันยังไงดี”

“ระวัง!” ซ่งเล่ออยู่ๆ ก็ตะโกนออกมา แต่ไร้ปัญญาจะช่วยเหลือ

ฉินจิ่วเกอตื่นตัวเฝ้าระวังอยู่แล้ว พลังวิญญาณแปรสภาพเป็นโล่กั้นขวางการโจมตีที่เข้ามาจากด้านหลัง

ช่างน่าขัน ด้านนอกยังมีเสื้อคลุมดำอยู่อีกคน มันไม่ใช่ไก่เสียหน่อย จะได้นั่งกกไข่อยู่ตรงนั้นไม่ขยับไปไหน

“เป็นเจ้าจริงๆ” ฉินจิ่วเกอหักนิ้วดังกร๊อบแกร๊บ ตั้งท่าพร้อมมีเรื่อง “ตอนนี้พวกเราระดับเท่ากันแล้ว กล้าสู้กับข้าสักตั้งไหม”

เสื้อคลุมดำแค่นเสียงเฮอะอย่างดูถูก ระดับฝึกปรือสำแดงออก ไม่คาดกลับบรรลุขอบเขตปราณสุริยันขั้นกลางแล้ว

“หากมั่นใจนักหนาว่าจะต้านเคล็ดมหานทีสะบั้นสุริยันของข้าได้ งั้นก็ลองดู” ทันใดนั้นบนพื้นก็เกิดลมสลาตันหอบหนึ่งกวาดม้วน เสื้อคลุมดำซุกกระบี่ไว้ใต้ผ้า หากกลิ่นอายอหังการ์บ้าระห่ำพลันพวยพุ่งออกจากชายแขนเสื้อทั้งสองด้าน

ฉินจิ่วเกอลอบทบทวนใหม่ อีกฝ่ายระดับกำลังสูงกว่าตน เคล็ดวิชาเลิศล้ำกว่าตน สู้กับผีน่ะสิ

“ฮ่าฮ่า หามิได้ๆ แขกผู้มีเกียรติ ให้ข้านำทางด้วยดีหรือไม่?”

ฉินจิ่วเกอเปลี่ยนท่าทีจากหน้ามือเป็นหลังเท้าในบัดดล ท่าทางราวกับพนักงานต้อนรับแขกอาคันตุกะ

ซ่งเล่อแทบลมจับ ร่ำๆ จะไปเยือนแดนสุขาวดีอยู่รอมร่อ บทสนทนาอย่างยอมตายดีกว่ายอมแพ้ มาสู้กันให้ตายไปข้างหนึ่งไปไหนแล้วเล่า?

ยังไม่ทันสู้ก็ยอมเสียแล้ว เจ้าใช่เปลี่ยนสีเร็วเกินไปหน่อยไหม?

“สหายทั้งสอง ผู้น้อยมีความลำบากใจไม่อาจบอกกล่าว ขอล่วงเกินแล้ว” เสื้อคลุมดำเมื่อเห็นฉินจิ่วเกอยอมถอยทัพ ตนก็ไม่คิดสืบสาวหาความ หมุนตัวเดินมุ่งไปทางต้นกำเนิดกฎเกณฑ์ทันที

ซ่งเล่ออ้าปากค้าง ดูจากสารรูปตนเองยามนี้ ต่อให้มีไม้ตายก้นหีบก็ไม่อาจงัดออกมาใช้ได้

“เชิญตามสบายๆ เวลาเดินก็ระวังหน่อย ประเดี๋ยวจะลื่นล้มหัวทิ่มเอา” ฉินจิ่วเกอค้อมตัวลดศีรษะ เมื่อเห็นเสื้อคลุมดำหันตัวไปแล้ว ในแววตาก็เกิดเพลิงโทสะขึ้นแทนที่ในบัดดล

กล้ามารกะตุกหนวดเสือถึงที่ หาที่ตาย!

ต้นกำเนิดกฎเกณฑ์บ่งบอกอะไร?

ฉินจิ่วเกอต่อให้ไม่เข้าใจ ก็ยังตระหนักว่าของชิ้นนี้มีมูลค่าปานใด

ในเมื่อมีมูลค่า เช่นนั้นนับตั้งแต่วันนี้ไป ของชิ้นนี้ก็ตกเป็นของตระกูลฉินแล้ว

พริบตาที่เสื้อคลุมดำหมุนตัวเตรียมเดินไปทางต้นกำเนิดกฎเกณฑ์นั่นเอง ที่ด้านหลังพลันได้ยินเสียงหมัดแหวกฝ่าอากาศเข้ามา พร้อมกับเสียงคำรามของฉินจิ่วเกอว่า “ทารกน้อย เจอหมัดเทคเคนของบิดาหน่อย”

เสื้อคลุมดำพอได้ยินก็รีบสะบัดมือหมายจะขวางหมัดอีกฝ่ายไว้ ไม่คาดกลับคว้าจับได้แต่อากาศ อีกฝ่ายไม่ได้แม้แต่ออกหมัด มีแต่น้ำลายมังกรสายหนึ่งที่พุ่งเข้าหาเสื้อคลุมดำเต็มรัก

แผละ

เสื้อคลุมดำหลงกลเข้าเต็มเปา โทสะพลุ่งพล่านไปถึงสรวงสวรรค์

ฉินจิ่วเกอใช้เคล็ดระบำหงส์เหินเร่งความเร็วเต็มฝีเท้า ฝ่ามือตะปบออก อานุภาพว่องไวราวทะลุห้วงเวลา

แคว่ก

ผ้าปิดหน้าของเสื้อคลุมดำ ในที่สุดก็ถูกฉินจิ่วเกอกระชากออกจนเผยให้เห็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ภายใน!

“ตอนนี้แหละ” ฉินจิ่วเกอฉวยร่างซ่งเล่อที่นอนเป็นผักอยู่บนพื้นขึ้นมา “รีบจดจำใบหน้านี้ให้ขึ้นใจ จากนั้นก็วาดภาพติดป้ายประกาศไปทั่วทั้งประตูหายนะ ให้พวกมันตามล่าเจ้าเด็กนี่จนสุดหล้าฟ้าเขียวไปเลย!”

ฉินจิ่วเกอตาแดงก่ำดุจหยกแดงที่ส่องประกายวาววับ ฝ่ามือกำสั่นแน่นจนเกิดเสียงกระดูกลั่น จมูกพ่นควันเร่าร้อนออกมาดุจวัวคลั่ง

ซ่งเล่อตะลึงลานไปแล้ว ไม่ใช่เพราะกลวิธีหยาบช้าของฉินจิ่วเกอ แต่เป็นใบหน้าที่ซ่อนอยู่ใต้เงามืดของเสื้อคลุมดำต่างหาก

“ฮ่าฮ่า เจ้าวางแผนมาดี แต่ต้องเสียทีให้กับแผนของข้า” เสื้อคลุมดำเริ่มหัวเราะด้วยน้ำเสียงชั่วช้าดั่งตัวร้าย ฟังแล้วช่างระคายหูเหลือรับ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท