เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 33 ไม่ต้องกลัวไป

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

มิผิด นี่ก็คือเด็กหนุ่มที่เพิ่งกอบโกยศิลาวิญญาณไปจากมัน

ฉินจิ่วเกอสับเท้าเข้าโรงเตี๊ยม มองปราดเดียวก็เห็นอีกฝ่ายชัดเจน ฝ่ายนั้นกินแต่อาหารเรียบง่ายสมถะ สภาพน่าอนาถาไร้เงินทอง

“น่าแปลก มันเพิ่งขายทรัพย์เอาเงินสองร้อยก้อนมาจากเจ้า ต่อให้ตลอดทั้งปีสั่งเนื้อสั่งปลาเป็นกองพะเนินก็ยังเหลือใช้” ซ่งเล่อเกาหัวเอ่ยอย่างงุนงง

ฉินจิ่วเกอหัวไว พลันเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที “ข้าว่าครอบครัวของเจ้าหมอนี่จะต้องมีเงื่อนงำ ศิลาวิญญาณสองร้อยก้อนสมควรคลี่คลายปัญหาที่มันกำลังเผชิญได้ไม่ยาก ช่างเถอะ ข้าใช้เงินคราวนี้เพื่อความสบายใจ ถือว่าทำความดีไปก็แล้วกัน”

“แต่นั่นเคยเป็นศิลาวิญญาณของข้ามาก่อน” ซ่งเล่อโอดครวญ ก่อนจะถอนใจออกมา ทำความดีด้วยเงินของผู้อื่น เจ้าก็ต้องสบายใจอยู่แล้ว

“พูดม้าๆ ศิลาวิญญาณทุกก้อนล้วนมีแซ่ฉินประทับอยู่ ไปเป็นของเจ้าตั้งแต่เมื่อไหร่”

ฉินจิ่วเกอไม่ได้เข้าไปรบกวนอีกฝ่าย พอกลับถึงห้อง ใบหน้าที่ยิ้มหยีพลันเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมอย่างที่สุด

หยิบเอาไม้ท่อนเดิมออกมาวางลงบนพื้น ด้วยน้ำหนักร้อยกว่าจิน ทำให้พื้นไม้ส่งเสียงดังเอี๊ยดอ๊าด

พิจารณาผิวไม้อย่างละเอียด ก็ไม่พบระลอกไอวิญญาณใดๆ ไม่มีลายแทงอันลี้ลับชวนพิศวงโผล่ออกมาให้เห็น

นี่ก็คือท่อนไม้อันสุดแสนจะธรรมดา กระทั่งวงปียังดูไม่ออก จะมีก็แต่ลายไส้เดือนบางๆ ที่ลากวนเชื่อมโยงถึงใจกลางลำต้นเท่านั้น

จะถากเอาเนื้อไม้ออกมาดูก็เปล่าประโยชน์ วิธีการตัดโค่นของเจ้าหนุ่มนั่นก็หยาบกร้าน ดันทุรังใช้ขวานจามหกเจ็ดเล่มจนหักโค่นลง หากด้านในซ่อนทรัพย์สมบัติใดไว้ เกรงว่าคงหลุดออกมาทั้งยวงไปนานแล้ว

นึกถึงแววตาใสกระจ่างของเด็กหนุ่ม ไร้ร่องรอยพ่อค้าหน้าเลือดมากประสบการณ์อยู่ภายใน แปลว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหก

ในเมื่อเรืองแสงออกมาทุกครั้งที่จันทร์เต็มดวง เลวร้ายที่สุดก็ยังใช้ประดับงานฤดูสารทประจำพรรคได้อยู่ ไม่แน่อาจกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวอันน่าตระการตาแห่งใหม่

“โอเพนเซสซามี ฮาเลลูยา!” ในเมื่อไม่อาจใช้กำลังผ่าทลาย ฉินจิ่วเกอจึงหันมาร่ายคาถาแทน มีความเป็นไปได้ว่าจะต้องร่ายคาถาอันเก่าแก่บางประการ จึงจะปลุกพลังอันเร้นลับภายในท่อนไม้ออกมาได้

เมื่อร่ายคาถาก็ล้มเหลว ฉินจิ่วเกอจึงเริ่มทดลองใช้น้ำใช้ไฟแทน

เสียเวลาไปไม่น้อย ท่อนไม้ท่อนเดิมก็ยังคงอยู่ในสภาพเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

พลิกหาขัดถูท่อนไม้น้ำหนักร้อยกว่าจินอยู่ครึ่งค่อนวัน ฉินจิ่วเกอย่อมเหนื่อยล้าอยู่ไม่น้อย เริ่มเกิดความคิดฉวยโอกาสตอนที่เด็กหนุ่มคนนั้นยังอยู่ที่นี่ ช่วงชิงศิลาวิญญาณกลับคืน

“ไม่เอาดีกว่า ตามดำเนินการของเรื่อง ตอนนี้สมควรได้เวลาที่ความลับที่ซ่อนอยู่จะเผยโฉมออกมาแล้ว หรือจะเป็นเพราะวิธีเปิดของข้าไม่ถูกต้อง ถ้างั้นยังเหลือวิธีใดอยู่อีกบ้าง”

สมองหมุนเร็วรี่ สองเท้าเดินกลับไปกลับมาจนเหงื่อกาฬโซมกายก็ยังไม่ได้คำตอบ

ขาดอีกนิดเดียวก็จะถอดใจ ในสมองของฉินจิ่วเกอพลันเกิดประกายแห่งปัญญาขึ้นวูบ พลันนึกไปถึงกรรมวิธีอันเก่าแก่ลี้ลับอย่างหนึ่งขึ้นมา

กรีดเลือดยอมรับนาย!

แต่ก็มีความเสี่ยงอยู่ คนที่ต้องกรีดเลือดไม่แน่อาจต้องตายเพราะแผลบาดทะยักก่อน

แถมแก่นโลหิตยังเชื่อมโยงเข้ากับตัวเอง เกิดดวงวิญญาณภายในลำต้นยังตายไม่สนิท คิดพรากเอาชีวิตน้อยๆ นี้ไปเล่าจะไปร้องเรียนเอากับใคร

คำเตือนต่อประชากรของโลกแห่งการฝึกตนอันกว้างใหญ่; กรีดเลือดเสี่ยงอันตราย แลกเปลี่ยนพึงระวัง ลงมือแล้วไม่อาจย้อนทวน ซื่อสัตย์ภักดีตลอดชีวิต

ลองถามตัวเอง ฉินจิ่วเกอพบว่ามันกลัวตายยิ่งนัก

แต่อีกใจก็ต้องได้สมบัติ กรีดเลือดยอมรับนายถือเป็นโอกาสสุดท้ายของมันแล้ว สองร้อยศิลาวิญญาณไม่อาจละลายแม่น้ำไปเสียเฉยๆ

เพียงแต่ว่า ฉินจิ่วเกอไม่ใช่คนจำพวกยอมขาดทุน ถ้าหากไม้ท่อนนี้เป็นของไร้มูลค่าจริงๆ ด้วยจริยธรรมความคิดอ่านของฉินจิ่วเกอผู้นี้ มีหรือจะไม่หาทางเอาค่าเสียหายกลับคืนมา ว่าแล้วก็ไปลากตัวซ่งเล่อมา สีหน้าของอีกฝ่ายช่างเตะตายิ่งนัก

แน่นอนแล้วว่า เพราะความปรารถนาดีของใครบางคนที่เชื้อเชิญมันมาร่วมทำบุญบริจาคโลหิต สีหน้าซ่งเล่อยามนี้จึงคล้ายสิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างไรอย่างนั้น

ฉินจิ่วเกอพยักหน้าให้กำลังใจ สีหน้าเหมือนพวกพ่อค้าใจแคบ ยังมีหน้ากล่าวเชิญชวน “ข้ามองว่าสมบัติวิเศษชิ้นนี้ไม่ธรรมดาเอาเสียเลย จำต้องใช้แก่นโลหิตของผู้ฝึกตนจึงจะปลุกกระตุ้นได้สำเร็จ ท่านกับข้าเป็นเหมือนพี่น้องคลานตามกันมา ของของท่านก็คือของของข้า วาสนาพลิกฟ้าที่ร้อยชาติอาจไม่มีสักครั้ง ข้าขอมอบให้ท่าน”

“ข้าไม่ต้องการ” ซ่งเล่อปฏิเสธอย่างไร้เยื่อใย ล้อกันเล่นหรือเปล่า ให้ข้าหยดเลือดใส่ไม้นิรนามไร้ที่มาที่ไปนี่น่ะ แถมไม่ทราบมีอันตรายใดรอข้าอยู่บ้าง หลักประกันหรือก็ไม่มี

“วางใจเถอะ มันไม่เจ็บไม่ปวดหรอก ข้าต้องการแค่เลือดของท่านนิดเดียวเท่านั้น” ฉินจิ่วเกอขณะหว่านล้อมก็จรดนิ้วแม่โป้งกับนิ้วชี้เป็นภาพประกอบตามไปด้วย อีกมือก็หยิบเอามีดหัวโตออกมาเล่มหนึ่ง

ก่อนที่จะเรียกอีกฝ่ายมา ฉินจิ่วเกอลองจำลองสถานการณ์เอาไว้หมดแล้วว่าจะต้องปาดเส้นเลือดฝอยไหนเจาะข้อมือตำแหน่งใดบ้าง

กลัวเจ็บ? แค่หลอกล่อซ่งเล่อมาแทนก็สิ้นเรื่อง

“ไม่มีใครเคยบอกเจ้าหรือว่า เลือดใครคนนั้นได้เป็นเจ้าของ? มรดกเองก็จัดว่าอยู่ในจำพวกนี้ แก่นโลหิตของผู้ใด ผู้นั้นก็เป็นฝ่ายได้รับมรดกไป แต่ในเมื่อเจ้าลำบากพาตัวข้ามาแล้ว……”

ซ่งเล่อจงใจลากเสียงยาว มือก็ฉวยเอามีดหัวโตมาจากฉินจิ่วเกอ “ไหนๆ ข้าก็มาแล้ว สมบัติชิ้นนี้ก็ยกให้ข้าเถอะ แต่เจ้าอย่าได้มาร้องห่มร้องไห้เอากับข้าทีหลัง”

“ประเดี๋ยวก่อน” ฉินจิ่วเกอรีบยกมือห้ามซ่งเล่อทันควัน ไม่อาจบุ่มบ่ามตัดสิน ไม่งั้นจะขาดทุนป่นปี้เอาได้

ฉินจิ่วเกอผู้ใจแคบจดจำได้อย่างแม่นยำฝังใจ ทารกน้อยซ่งเล่อนี้ติดค้างหนี้บุญคุณตนครั้งใหญ่ เรากำลังพูดกันเรื่องมรดกเทียวนะ จะยกให้อีกฝ่ายทุกครั้งนั้นไม่ได้หรอก

“เอาก็เอา ให้ข้าเอง!” ด้วยทัศนคติวีรชนกรีดข้อมือ ฉินจิ่วเกอเลิกชายแขนเสื้อ สีหน้าเด็ดเดี่ยวเหมือนวีรบุรุษที่พร้อมจะเสียสละเพื่อชาติ

“จะว่าไปที่ต้องใช้ก็แค่เลือดไม่กี่หยดไม่ใช่หรือ หรือข้าเข้าใจอะไรผิดไป?” มองดูมีดหัวโตของฉินจิ่วเกอ ซ่งเล่อรู้สึกอับจนคำพูดไปโดยปริยาย

ดูจากท่าทีของฉินจิ่วเกอ นี่ไม่ใช่แค่กรีดข้อมือเรียกเลือดแล้ว แต่ให้ตนช่วยตัดแขนจนกลายเป็นวีรชนแขนกุดเลยมากกว่า

“เจ้าต้องระวังหน่อยนะ ยาบรรเทาแผลมันแพง” ฉินจิ่วเกอกัดฟันพร้อมปิดตายอมรับชะตากรรม กล้ามเนื้อทุกมัดเกร็งขมึง ประหม่ากว่านี้ไม่มีอีก

ทักษะฝีมือของซ่งเล่อนับว่ามิใช่ชั่ว คมมีดกรีดวูบ ตรงปลายนิ้วของฉินจิ่วเกอก็แหวกออกเป็นปากแผลขนาดเท่าเส้นผมอันปราณีตเส้นหนึ่ง

จากนั้นปากแผลก็ค่อยๆ เผยอตัวออก จนกระทั่งหยดเลือดสีแดงฉานเริ่มหยาดหยดออกมา ร่วงหล่นลงสู่ท่อนไม้ด้านล่าง

“พี่ฉิน ดูเหมือนท่านจะต้องผิดหวังแล้ว”

ซ่งเล่อฉีกยิ้มเต็มใบหน้า คล้ายกำลังเสพสุขในคราวเคราะห์ของผู้อื่น ฉินจิ่วเกอที่ต้องสูญเงินถึงสองร้อยศิลาวิญญาณ จะแสดงท่าทีเช่นไรออกมากันหนอ

ว่าแต่คงไม่ถึงขั้นทำเรื่องสุดโต่งหรอกนะ จบกันจบแน่แล้วคราวนี้ ไฉนถึงเป็นแบบนี้ไปได้ นี่ข้าทำอะไรลงไป

ขณะที่ซ่งเล่อกำลังยืนตะลึงอยู่กับที่ ภายในห้องกลับปรากฎแสงสีแดงอ่อนจางส่องสว่างไปทั่วพื้นที่

ตะวันแดงเบิกบูรพา มรรคาวิถีกว้างไกลสุดไพศาล จักรภพถือกำเนิดใหม่ ก่อกำเนิดเบญจธาตุ

ประกายแดงยิ่งมายิ่งแสบตา ราวกับว่ามีดวงตะวันผุดลอยออกจากลำต้น อุณหูมิร้อนลวกกดดันซ่งเล่อจนต้องล่าถอยไปหลายก้าว บนหน้าผากปรากฎเหงื่อเป็นปื้น

ฉินจิ่วเกอยังคงปิดตาสนิท ไม่รับรู้ถึงความร้อนแผดผลาญนี้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับรู้สึกเหมือนกำลังอาบไล้อยู่ท่ามกลางเส้นแสงอันอบอุ่น รูขุมขนทั่วร่างผ่อนคลายหาใดเปรียบ

“อะไรกัน อย่าบอกนะว่าในนั้นมีสมบัติอยู่จริงๆ?” ซ่งเล่อตะลึงลาน โลกนี้มันเป็นอะไรไปแล้ว แค่เดินเลือกท่อนไม้ตามรายทางติดไม้ติดมือกลับมา กลายเป็นว่ากลับแผ่ระลอกพลังวิญญาณน่าแตกตื่นถึงเพียงนี้ออกมาได้

บ่งบอกว่าฉินจิ่วเกอพบเจอโชคลาภวาสนา ประหนึ่งแมวตาบอดพบซากหนูที่ปลายทาง

ในท่อนไม้มีทักษะเชิงยุทธซุกซ่อนอยู่ชุดหนึ่ง ซ่งเล่อคาดการณ์ว่านั่นจะต้องเป็นทักษะขั้นเจ็ด เหมาะสำหรับฉินจิ่วเกอที่กำลังตามหาวิชายุทธอยู่พอดี

ด้วยวาสนาครานี้ ฉินจิ่วเกอคิดข้ามหัวคู่ต่อสู้ก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอีกต่อไป

ซ่งเล่อล่าถอยออกจากห้องด้วยความสงบ ทำหน้าที่เฝ้าระวังอยู่หน้าประตู เลี่ยงไม่ให้มีคนมารบกวนการสืบทอดมรดก

มักมีคนพูดกันว่า ยุทธภพจะมียอดฝีมือบางประเภท ที่นิยมเอาโชควาสนาวิชายุทธใส่เอาไว้ในวัตถุเล็กๆ บางจำพวก แทนภาชนะในการสืบช่วงรับมรดกต่อจากมัน

แน่นอน การได้พบวาสนาทำนองนี้ ยากเย็นเสมือนการถูกรางวัล ผู้คนมีอยู่มากมายดั่งเม็ดทราย ฉินจิ่วเกอย่อมนับว่าโชคดีอย่างถึงที่สุด

“เจ้าคนดวงดี” ซ่งเล่อเหลือบมองเข้าไปในห้องด้วยความอิจฉา วิชาราชันทลายสวรรค์ของตนต้องแลกมาเลือดตาแทบกระเด็น ไม่ได้โชคดีมีวาสนาเหมือนอย่างฉินจิ่วเกอ

ศิลาวิญญาณเพียงสองร้อยก้อน แลกกับเคล็ดวิชายุทธระดับเจ็ด คุ้มกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

ต่อให้เป็นวิชายุทธขั้นเจ็ดที่ดาษดื่นที่สุด ประเมินอย่างต่ำๆ ความต้องการซื้อก็ยังมีมากกว่าความต้องการขายไม่รู้เท่าไร

ฉินจิ่วเกอนั่งขัดสมาธิรวบรวมสมาธิเพ่งกระแสจิต ไม่กล้าประมาทวู่วามเลยแม้แต่นิดเดียว

มรดกที่สืบทอดผ่านกระแสจิตโดยตรงเช่นนี้ หากเผอเรอเพียงนิดเดียว อาจถึงขั้นดวงจิตแตกสลาย กลับกลายเป็นสติฟั่นเฟือนไปเลยก็มี

หล่อหลอมจักรวาลจนเป็นหนึ่ง ผนึกไอวิญญาณความสมดุล ฉินจิ่วเกอพยายามประคองหล่อเลี้ยงกระแสจิตของตน จนในที่สุดท่ามกลางทะเลแห่งสติสัมปชัญญะอันไพศาลที่ยังไม่ทันก่อตัว โฉมหน้าที่แท้จริงของวิชายุทธเล่มนี้ก็เผยออกมาให้เห็น

เคล็ดมารจำแลงกาย!

เคล็ดวิชากำลังภายในระดับเจ็ดที่เป็นของเผ่ามาร จุดสำคัญคือการล่อหลอกลวงตา มูลค่าเมื่อเทียบกับวิชายุทธระดับเจ็ดทั่วไปยังสูงกว่ากันเท่าหนึ่ง

เผ่ามาร มีสายเลือดเดียวกันกับเผ่ามนุษย์บนทวีปฉงหลิง เมื่อครั้งบรรพกาลบังเกิดสงครามระหว่างกันบ่อยครั้ง

ท่ามกลางหมู่มนุษย์ มีกลุ่มชนมากมายที่ชิงชังเผ่ามาร แต่โดยปกติแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองเผ่ายังไม่ย่ำแย่เท่ากับระหว่างเผ่ามนุษย์และเผ่าอสูร

มารมนุษย์คือศัตรู อสูรมนุษย์คือศัตรูที่ไม่อาจอยู่ร่วมฟ้า ความสัมพันธ์ระหว่างมารอสูรเองก็เช่นกัน

ถึงว่าทำไมต้องซุกซ่อนเอาไว้ในท่อนไม้แบบนี้ เกิดพวกมนุษย์ที่มีความแค้นส่วนตัวกับเผ่ามารมาเจอเข้า คงไม่วายต้องก่อสงครามกันตรงนั้น

เคล็ดมารจำแลงกาย ไม่ใช่เคล็ดวิชาโจมตี แก่นของมันคือการใช้พลังวิญญาณผนึกเงาจำแลงกายที่มีลักษณะเหมือนกับต้นแบบทุกประการออกมา

มาลองคิดดูแล้ว ถ้าหากตนสามารถสร้างเงาจำแลงกายออกมากลุ้มรุมศัตรูจากทั่วสารทิศ ชัยชนะจะไปไหนเสีย

แม้จะไม่มีทักษะโจมตี แต่เทียบกันแล้วยังมีมูลค่าสูงกว่าเคล็ดวิชายุทธทั่วไปมาก

“ของดีมีราคา ต่อให้แยกออกมาได้ร่างเดียว ก็ยังพลิกแพลงใช้ในการซุ่มโจมตีศัตรูได้”

เคล็ดมารจำแลงกาย มีคุณลักษณะพิเศษอีกประการหนึ่ง เงาจำแลงที่สร้างขึ้นไม่จำเป็นต้องใช้สัมผัสเทวะและพลังจิต ขอแค่หนุนเนื่องด้วยพลังวิญญาณก็พอแล้ว

วันที่สอง ขณะที่ฉินจิ่วเกอเดินส่ายอาดๆ ออกมาจากห้อง หางตาพลันสะดุดเข้ากับซ่งเล่อที่นอนเฝ้าอยู่หน้าประตู ท่าทางเหมือนยาจกที่ถูกขับไล่ไร้ที่พึ่งพิง

“เล่นเป็นผีเฝ้าประตูอยู่หรือ” ฉินจิ่วเกอถาม

“ใครว่า ข้าช่วยดูต้นทางกันไม่ให้ใครมารบกวนเจ้าต่างหาก” ซ่งเล่อตาปรืออ้าปากหาวหวอดๆ

“ให้เพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ได้ลิ้มเลือดทั้งคืนเลยสิเนี่ย” ฉินจิ่วเกอถามต่อ

“ไร้สาระ นับแต่นี้เราก็หายกันแล้ว อย่าได้พูดว่าข้าติดค้างอะไรเจ้าอีก” ซ่งเล่อกล่าวทิ้งท้ายก่อนจะเดินลงไปหาอะไรทานข้างล่าง

ทิ้งให้ฉินจิ่วเกอยืนตาค้างอยู่ที่เดิม เหมือนต้นสนที่ยืนค้ำบรรพต ไฉนเจ้าหมอนี่อยู่ๆ ก็ฉลาดขึ้นมาเสียอย่างนั้น

มาหาอะไรรองท้องที่ชั้นล่าง ฉินจิ่วเกอที่ลับฝีมือมาเป็นอย่างดีก็บรรลุถึงขอบเขตที่ว่ายามชักกระบี่ออกจากฝัก กลับต้องกวาดมองด้วยแววตาว่างเปล่า ไม่ว่าใครก็ดูอ่อนแอไปหมด

แล้วฉินจิ่วเกอก็เห็นเด็กหนุ่มคนเดิมที่ขายท่อนไม้ให้โชคกับมันเข้าพอดี อีกฝ่ายปักหลักอยู่ตรงมุมห้องตลอดคืน วันนี้ดูท่าจะเตรียมตัวออกนอกเมือง

ฉินจิ่วเกอที่ตระหนักว่าตนได้กำไรมานอนกอดเป็นกำพอเห็นหน้าอีกฝ่ายก็รู้สึกเบิกบานรีบปรี่เข้าไปทักทาย

เด็กหนุ่มคนนี้เป็นแค่ปุถุชนคนธรรมดาที่พบเห็นได้ทุกที่ในทวีปฉงหลิง เชื่อว่าอีกหน่อยฝีมือจะต้องเข้าขั้นอัจฉริยะเหมือนอย่างมัน เพียงแต่ตอนนี้ยังอยู่แค่ขอบเขตหลอมวิญญาณขั้นสาม ระดับฝีมือที่แสนจะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

“ใต้เท้าทั้งสอง”

เด็กหนุ่มค้อมตัวให้ด้วยความเคารพ อีกฝ่ายที่มีวรยุทธสูงส่งกว่าตัวเองกลับมาล้อมหน้าล้อมหลังตนไว้เช่นนี้ แววตาจึงฉายแววระแวดระวังเต็มขั้น

ยุทธภพนี้มีคนหน้าหนาหน้าทนอยู่ชุกชุมทั่วไปหมด พวกมันคงไม่เอาไพ่คืนสินค้าภายในเจ็ดวันออกมาใช้หรอกกระมัง?

ฉินจิ่วเกอเส้นเลือดปูดโปด นี่เจ้าเห็นข้าเป็นคนยังไงกัน ต่อให้ในท่อนไม้ไม่มีอะไรอยู่เลย ข้าก็ไม่คิดจะพูดอะไรเข้าใจไหม

ซ่งเล่อตระหนักดีว่าฉินจิ่วเกอเป็นคนใจแคบขนาดไหน จึงหัวเราะออกมา กล่าวกับเด็กหนุ่มตรงหน้าว่า “ท่อนไม้แบบเมื่อวานยังมีอยู่หรือไม่”

“หมดแล้วนายท่าน บนเขาที่ข้าจากมามีต้นเทวะต้นนั้นเพียงต้นเดียว หากไม่ใช่เป็นเพราะว่าหมู่นี้มีพวกนั้นมาคอยป้วนเปี้ยน คนในหมู่บ้านคงไม่สั่งให้ข้านำต้นเทวะออกมาขายแลกเงินหรอกท่าน”

หมดแล้วหรือนี่ ซ่งเล่อผิดหวังชอกช้ำใจ น่าเสียดายจริงๆ

วิชายุทธระดับเจ็ด ไม่ใช่สิ่งที่ศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะจะหยิบยืมได้ตามใจ ฉินจิ่วเกอเห็นดังนี้ก็ลอบลิงโลดอยู่ภายใน เจ้าเด็กเมื่อวานซืน คิดลอกเลียนแบบข้า เป็นอย่างไรบ้างเล่า

“พวกนั้นที่เจ้าว่าเป็นใคร”

ฉินจิ่วเกอที่ฝึกวิชาจนอยากออกสนามพลันวางท่ายอดฝีมือไร้คู่ต่อกร เชิดหน้าแหงนคอตั้งบ่าอย่างหยิ่งทระนง

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท