เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 44 เด็กหญิงน้อยเจ้าโตแล้ว

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

กรีดเลือดยอมรับนายอีกรอบก็เป็นอันเสร็จพิธีหลอมกระบี่ไร้คม

ฉินจิ่วเกอสามารถใช้ขอบเขตปราณสุริยันขั้นกลางของตนต่อกรกับปราณสุริยันขั้นสูงสุดได้อย่างสบายๆ

หยิบเอาดอกพลับพลึงแดงออกมา ขณะกำลังจะเอาเข้าปากเพื่อฝึกปรือต่อ แต่ไม่รู้อะไรดลใจให้นึกถึงศิษย์น้องเล็กขึ้นมา

ตนทิ้งพวกมันไว้ที่เมืองซวนอู่ ทั้งยังผิดสัญญา พอกลับมาก็ลืมแวะไปเยี่ยมเยือนอีก ศิษย์พี่ใหญ่คนนี้ช่างไม่คู่ควรเลยจริงๆ

“รู้จักทำงานก็ต้องรู้จักพัก ดังนั้นควรพักเรื่องฝึกปรือไว้ก่อน แวะไปเยี่ยมเด็กหญิงน้อยนั่นหน่อยดีกว่า”

เก็บดอกพลับพลึงแดงเสร็จแล้ว ฉินจิ่วเกอก็ควานหาขนมน้ำตาลปั้นที่สัญญาว่าจะให้ศิษย์น้องเล็กจากในแหวนมิติ

หน้าตาสวยประหลาด ลีลาโดดเด่น รูปโฉมแปลกใหม่ไม่เหมือนใคร นี่ก็คือคำจำกัดความของขนมน้ำตาลปั้นที่ราคาไม่ต่ำประจำเมืองซวนอู่

ถึงจะกลับมาได้สามวันแล้ว แต่ศิษย์น้องเล็กก็ไม่ได้เป็นฝ่ายไปหาฉินจิ่วเกอก่อน เห็นได้ว่าเด็กน้อยกำลังน้อยใจผู้ใหญ่บางคนที่ไม่รักษาคำพูดอยู่

ไม่อนุญาตให้ศิษย์พี่ใหญ่และสุนัขเข้า

มาถึงหน้าประตูห้องศิษย์น้องเล็ก บนประตูแปะป้ายติดหราเอาไว้ ซ้ำยังจับฝุ่นแล้วเล็กน้อย บ่งบอกว่าแปะเอาไว้ได้ระยะหนึ่งแล้ว

“ฉิงอวี่ เจ้าอยู่หรือเปล่า” ฉินจิ่วเกอเคาะบานประตูไม้เบาๆ หากฟังให้ดีจะได้ยินเสียงฮึ่มฮั่มดังอู้อี้ออกมาเบาๆ

“อ๋าย ข้ารู้นะว่าเจ้าอยู่ข้างใน ศิษย์พี่จะเข้าไปล่ะนะ”

เรื่องการงัดแงะบานประตูหน้าต่าง ฉินจิ่วเกอไม่ต้องให้ใครมาสอนก็เรียนรู้ได้เอง ไม่นานบานประตูไม้ก็แง้มออกพอให้มันมุดเข้าไปได้

ศิษย์น้องเล็กตงฟางฉิงอวี่กำลังหันหลังให้ฉินจิ่วเกอ ศีรษะน้อยๆ เชิดขึ้นสูง ทำท่าราวกับว่าไม่จำเป็นต้องหันหน้ามาคุยกันดีๆ กับศิษย์พี่ใหญ่ที่ทั้งผิดคำพูดทั้งไม่ไยดีผู้คนพรรค์นี้

ฉินจิ่วเกอส่ายนิ้วที่ถือขนมน้ำตาลปั้นไปมา “ศิษย์พี่ผิดไปแล้ว ให้ข้าขอโทษเจ้าดีหรือไม่”

“ฮึ่ม” ศิษย์น้องเล็กยังคงทำท่าเหมือนหงส์ขาวผู้ทระนง ดวงหน้าเรียบรื่นน้อยๆ พองออกจนเห็นพวงแก้มขาวยุ้ยเหมือนเด็กทารกน่ารักน่าหยิก

ขนมน้ำตาลปั้นที่ทั้งเล็กทั้งกะทัดรัดสวยงามปรากฏอยู่ตรงหน้าศิษย์น้องเล็ก ฉินจิ่วเกอจับจ้องไม่วางตา พอเห็นสีหน้าที่คลายลงของศิษย์น้องเล็กก็หลงระเริงไปว่าเด็กน้อยช่างล่อหลอกได้ง่ายจริงๆ

ทว่า ฉินจิ่วเกอลืมเลือนไป เรื่องการสังหารทำร้ายคน ศิษย์น้องเล็กขึ้นชื่อยิ่งกว่า เป็นสุดยอดของสุดยอดนางมารน้อยผู้เลื่องชื่อ

ฝ่ามือยื่นออกมาแย่งชิงขนมน้ำตาลปั้น จากนั้นโถมเข้าใส่ฉินจิ่วเกอ ศิษย์น้องหญิงอ้าปากกว้างงับลงไปเต็มที่

“โอ๊ย!” เสียงคนร้องดังลั่น

“หายโกรธแล้วรึยัง?” รอจนศิษย์น้องเล็กระบายอารมณ์หมดสิ้น ฉินจิ่วเกอบีบแก้มย้วยบนใบหน้าเล็กพลางกล่าวถาม

“เจ็บหรือไม่?”

“ศิษย์พี่หนังหนายิ่ง ไม่เจ็บปวดเท่าใด ข้าซื้อขนมน้ำตาลปั้นมาให้เจ้ามากมาย ครั้งหน้าศิษย์พี่รับปากเจ้า จะไม่ยอมผิดคำสัญญาอีก ยิ่งไม่เสี่ยงอันตรายอย่างสิ้นคิดอีกเด็ดขาด”

ชายหนุ่มโอบศิษย์น้องเล็กไว้ในอ้อมแขน ทว่าแขนทั้งสองไม่ได้ทำยุ่มย่าม มองดูศิษย์น้องเล็กหัวร่อออกมาอย่างเบิกบาน ราวกับว่าความสัมพันธ์ของพวกมันทั้งสอง…

“ขนมเก็บเอาไว้ที่ท่าน ทุกครึ่งเดือนค่อยเอามาให้ข้าอันหนึ่ง” ศิษย์น้องเล็กซุกใบหน้าเข้ากับอ้อมอกฉินจิ่วเกอ เอ่ยเสียงอ่อนโยน

“เพราะเหตุใด?”

“เพราะทำแบบนี้ก็จะเล่นได้นานหน่อย สิ่งของราคาแพง คราวหน้าท่านไม่จำเป็นต้องซื้อมาเยอะปานนี้ก็ได้”

“โอ้? ฉิงอวี่ของพวกเรารู้จักเห็นใจผู้อื่นแล้วหรือนี่ ศิษย์พี่รู้สึกเหมือนใจจะละลายเอาให้ได้ แต่เจ้าไม่ต้องห่วง ตอนนี้ศิษย์พี่ของเจ้ามีเงิน ถ้าเจ้าเบื่อแล้วก็ซื้อใหม่ ของเก่าเก็บไม่ได้ก็ทิ้งไป”

ฉินจิ่วเกอทำท่าเหมือนพวกผู้ดีใหม่ ใจกว้างมากน้ำใจดุจสายธาร แต่กลับถูกศิษย์น้องเล็กหยิกจนเนื้อเขียว

มองดูขนมน้ำตาลปั้นที่ศิษย์พี่ใหญ่เอาให้กับมือ ศิษย์น้องเล็กประสานสองมือเข้าด้วยกัน นิ้วเรียวบางทั้งสิบเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ยกชูขนมน้ำตาลปั้นขึ้นมาอธิษฐานด้วยความเชื่อมั่น

พอจัดการเรื่องศิษย์น้องเล็กเสร็จสรรพ ฉินจิ่วเกอก็หาเจ้าอ้วนน่าตายที่อยู่ท่ามกลางคลื่นมนุษย์เจอได้อย่างง่ายดาย

อดพูดไม่ได้ว่า เจ้าอ้วนน่าตายเป็นตัวแทนของคนจำพวกไร้จุดยืนอย่างแท้จริง พอเห็นว่าฉินจิ่วเกอเปลี่ยนเป็นแข็งแกร่งขึ้นมา มันก็ไม่กล้าสุ่มเสี่ยงเอาตัวเข้าแลก ตราบใดที่คนทั้งสองยังไม่พิสูจน์ขาวดำต่ำสูง

ขณะวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามา คนก็ดูเหมือนลูกหนังที่ทำจากไขมันก้อนหนึ่งกลิ้งเข้าหา ยามเอ่ยถามชั้นไขมันบนตัวถึงกับยังกระเพื่อมไม่หยุด “ศิษย์พี่ใหญ่มาหาข้าด้วยเรื่องใด”

ฉินจิ่วเกอเชิดปลายจมูกขึ้นเล็กน้อย กับคนจำพวกปฏิบัติดีด้วยไม่ชอบชอบให้ต้องใช้ไม้แข็งอย่างหมอนี่ ไม่จำเป็นต้องไว้หน้าแต่อย่างใด

“ไปเรียกศิษย์ฝ่ายนอกไฉยีและอาอู่มาหาข้า”

“รับบัญชา” รอยยิ้มของเจ้าอ้วนเหมือนรูก้นที่ผลิบาน คนวิ่งตึงตังจากไป ระหว่างทางยังชนเอากับกระถางไม้ใบหญ้าจนหกกระจายเรี่ยราด ทรงพลังสุดจะกล่าว

อาอู่และไฉยีคือศิษย์ที่ฉินจิ่วเกอดึงเข้าพรรคมาด้วยตัวเอง

พรรคหลิงเซียวเวลานี้นับตั้งแต่เบื้องบนมาจนถึงเบื้องล่าง มีเพียงอาวุโสใหญ่และอาวุโสสามเท่านั้นที่ยังมีสัมพันธ์อันดีกับตน

อย่างไรเสียอาวุโสสามก็เอื้อประโยช์ร่วมกันกับตน ดั่งที่ว่าได้ของท่านภายหลังไม่อาจปฏิเสธน้ำใจ อาวุโสสามยังมีคุณธรรมน้ำใจไม่ได้ยุยงให้จัดพิธีอนุสรณ์แก่ฉินจิ่วเกอทันที

ในหมู่ศิษย์ มีเพียงอาอู่และไฉยีที่ไม่มีอคติกับตน ฉินจิ่วเกอไม่ไว้ใจให้เจ้าอ้วนจัดการเรื่องราว จึงต้องเปลี่ยนมาฝากฝังศิษย์น้องทั้งสองแทน

เทียบกับหลายวันก่อน อาอู่ยามนี้อ้วนท้วนขึ้นไม่น้อย ใบหน้ามีเนื้อหนัง ฝีเท้ามั่นคงกว่าเก่า

“ศิษย์พี่ใหญ่” อาอู่เอ่ยทักอย่างจริงใจ สายตาที่ใช้มองฉินจิ่วเกอเต็มไปด้วยความเคารพนับถือ บ่งบอกว่ามันเลื่อมใสคลั่งใคล้อีกฝ่ายเพียงไร

ไฉยีค้อมกายให้อีกฝ่าย ถึงแม้ชื่อเสียงของคนผู้นี้จะย่ำแย่เอาการ แต่ใครใช้ให้มันเป็นผู้มีพระคุณของพวกเราทั้งสองล่ะ

ฉินจิ่วเกอจ้องไปที่เจ้าอ้วน ความหมายชัดเจนว่า เจ้าดู ผู้อื่นยามเรียกหาข้าล้วนเต็มไปด้วยความจริงใจ เจ้าก็ดูไว้เป็นตัวอย่างซะ

เจ้าอ้วนผงกศีรษะเหมือนไก่จิกข้าวสาร บนหน้าอวบอ้วนไร้ลำคอปรากฏรอยยิ้มใสซื่ออันจอมปลอมออกมา

“อาอู่ เจ้าเอาจดหมายขอโทษนี้ไปคัดลอกออกมาร้อยฉบับ แล้วเอาศิลาวิญญาณพวกนี้พร้อมกันกับจดหมายขอขมาไปมอบให้ถึงมือทุกคนในพรรคตามเบาะแสที่มี เหลือเท่าไรก็แปะไว้ให้พวกมันได้ดู”

จิตใจกว้างใหญ่ดั่งห้วงสมุทร อดทนอดกลั้นประสบผล

คิดชะล้างภาพความทรงจำอันเลวร้ายของผู้คนต่อตนเองออก ฉินจิ่วเกอรับเอาหม้อก้นดำที่แบกไว้มารับผิดชอบทั้งหมด

“จดหมายขออภัย?”

อาอู่รับเอาจดหมายมาด้วยความประหม่ากังวล

ภายในจดหมาย ฉินจิ่วเกอแสดงความสำนึกเสียใจและหมิ่นแคลนต่อพฤติกรรมเก่าก่อนของตนเองอย่างลึกซึ้ง ในนั้นยังบรรยายถึงความสำนึกผิดในความผิดพลาดเลวทรามอย่างสาหัส ยังหวังในที่นี้ว่าผู้คนในพรรคหลิงเซียวทั้งหมดจะเข้าใจ

“ไม่ ไม่ค่อยดีกระมัง”

ไฉยีกล้ำกลืนวาจา ผู้กระทำผิดแล้วสามารถทำได้ถึงขั้นนี้ เกรงว่าชาวเขาชนบททั้งหลายล้วนไม่อาจทำได้ ศิษย์พี่ใหญ่ท่านนี้ มีความอดทนอดกลั้นไม่ธรรมดา

“มีอันใดไม่ดี”

ฉินจิ่วเกอไม่แยแส อันที่จริงเจ้าคนก่อนก็สลายไปแล้ว คิดด่าทอมันสักหน่อยหาเป็นไรไม่ ต่อให้เอาเลือดสุนัขดำมาราดรดศีรษะมัน วิญญาณมันยังไม่กล้าลุกขึ้นจากหลุมมาหลอกหลอนตนเองแน่นอน

นับแต่วันนี้ไป ตลอดทั้งฟ้าดินเพียงมีฉินจิ่วเกอคนเดียว ฉินจิ่วเกอโฉมใหม่แห่งพรรคหลิงเซียว

“ทุกวี่วันสำรวจตนเองสามประการ ข้าเมื่อก่อนหน้านี้กระทำผิดมหันต์ ข้าในตอนนี้คิดแก้ไขความผิด เขียนจดหมายด่าทอตนเอง เป็นเรื่องปกติธรรมดายิ่ง”

หน้าตา? เก็บรักษาไว้ใช่ว่าจะกินได้?

ฉินจิ่วเกอหวนนึกถึงยามร่ำเรียนหนังสือเมื่อก่อนนี้ ทุกปีต้องเขียนจดหมายวิพากษ์ตนเองนับร้อยฉบับ ต่อมายังต้องเขียนสาธยายความรู้สึกของตนเอง ความสามารถของมันในด้านนี้ถึงขั้นผู้คนอ่านแล้วต้องตบโต๊ะร้องบราโว่ออกมา

ดังนั้น ฉินจิ่วเกอขยายการค้าของมันออก เพื่อการช่วงชิงตำแหน่งหัวหอกในกิจการค้า สร้างกำไรเป็นกอบเป็นกำ ถือว่าแต่ละคนต่างได้รับสิ่งที่ต้องการ ชาวประชาล้วนยินดี

“ศิษย์พี่ใหญ่มีใจเช่นนี้ ศิษย์น้องนับถือเลื่อมใสนัก” เจ้าอ้วนน่าตายหวั่นไหวตื้นตัน ศิษย์พี่ใหญ่อกหักหรือไง คนคล้ายไม่ค่อยปกติเท่าใดนัก

ตั้งใจจะคำนับฉินจิ่วเกอด้วยท่วงท่าดั่งนักปราชญ์ผู้เลื่องลือ แต่เพราะรูปร่างไม่อำนวย เจ้าอ้วนน่าตายเลยหน้าดำหน้าเขียว ทำอย่างไรก็ค้อมตัวลงได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น

“เอาล่ะๆ” ฉินจิ่วเกอเปลี่ยนท่าทีเป็นสุภาพบุรุษ กล่าวอย่างมีน้ำใจ “ไม่ต้องค้อมคำนับแล้ว ดูเจ้าสิ บนไม่มีคอ ล่างไม่มีเอว เกิดเจ้ากระดูกหักเอวเคล็ดขึ้นมา อาวุโสคงกล่าวโทษว่าข้าทำร้ายเจ้าโดยเจตนา เช่นนั้นคงไม่ยุติธรรมกับข้าแล้ว”

เจ้าอ้วนน่าตายน้ำตารื้นชื้น ยกชายเสื้อปาดน้ำตาไม่หยุด มารดามันเถอะ พูดจาเชือดเฉือนโดยแท้

ฉินจิ่วเกอรีบยกมือป้องปาก พูดตรงไปก็ไม่ดี แต่คอยดูเถอะว่าจะจัดการกับเจ้าอ้วนนี่ยังไง

“พี่ใหญ่วางใจ ด้วยจดหมายเหล่านี้ ความเข้าใจผิดของศิษย์พี่เหล่านั้นย่อมได้รับการคลี่คลาย ข้าจะรีบกลับไปคัดลอกและออกไปแจกจ่ายภายในคืนนี้เลย”

อาอู่รับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะ นี่เป็นครั้งแรกที่ผู้มีพระคุณฝากให้มันไปจัดการเรื่องสำคัญเช่นนี้

ฉินจิ่วเกอย่อมเชื่อใจในตัวอาอู่ อย่างน้อยเด็กคนนี้ก็ยังสัตย์ซื่อไร้ความคิดชั่วร้าย เปรียบกับเจ้าอ้วนน่าตายแล้วสะอาดบริสุทธิ์กว่ากันลิบลับ

อาอู่และไฉยีจากไปแล้ว จดหมายขอขมาร้อยฉบับนั้นเขียนยากจริงๆ ให้ตายเถอะ

ฉินจิ่วเกอเขียนไปอาเจียนไป จนกระทั่งทนต่อไปไม่ไหวอีก ต้องให้พวกมันนำไปเขียนต่อแทน

อาอู่และไฉยีต่างก็มีธุระให้ไปจัดการ ส่วนเจ้าอ้วนน่าตายกลายเป็นหมาหัวเน่า ขณะจ้องมองแผ่นหลังคนทั้งสองที่เคลื่อนห่างออกไปเรื่อยๆ บังเกิดความรู้สึกคล้ายอาทิตย์อัสดงงามล้ำ เสียดายความมืดล้วนกล้ำกรายขึ้นมา

“เจ้าคงไม่ได้หมายตาใครไว้อีกหรอกใช่ไหม” ฉินจิ่วเกอกล่าวดักคอเจ้าอ้วนน่าตายที่เป็นเหมือนโคแก่เคี้ยวหญ้าอ่อนไว้ก่อน

เจ้าอ้วนรีบโบกไม้โบกมือพัลวัน ละล่ำละลักอธิบายหากท่าทางไม่เหลือความมั่นใจเอาเสียเลย “ศิษย์พี่ใหญ่ ความรู้สึกที่ข้ามีต่อศิษย์พี่หญิงเป็นดั่งสายน้ำหุบเขาที่ไม่มีวันหมดสิ้น ไม่มีวันเปลี่ยนใจไปให้ใครเด็ดขาด”

“งั้นรึ” ฉินจิ่วเกอมองทะลุเจ้าอ้วนน่าตายไปถึงไส้ การแสดงแข็งทื่อพวกนี้มีหรือจะกลบเกลื่อนความจริงได้หมด

หนังหน้าไม่หนาพอ! ฉินจิ่วเกอเริ่มเป็นกังวล ยามนี้พรรคหลิงเซียวสูงต่ำล้วนหน้าหนาไม่พอกันสักคน อีกหน่อยพอออกไปโลดแล่นนอกพรรค ไหนเลยจะพิชิตไปทั่วแดนได้?

น่ากังวลเหลือเกิน ฉินจิ่วเกอเริ่มครุ่นคิดถึงอนาคตของพรรคอย่างจริงจัง ศิษย์พี่ใหญ่อย่างมันควรทุ่มเทพยายามจนสุดฝีมือ ต่อให้ยกให้เจ้าหน้าขาวลั่วเฉินแล้ว มันจะทำได้ดีจริงหรือ?

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านยังมีเรื่องอะไรอยากให้ข้าไปจัดการอีกหรือไม่” เจ้าอ้วนน่าตายมีความทะเยอทะยานสูง ไม่ปรารถนาเป็นเด็กวิ่งเต้นอีกต่อไป

“เจ้านี่นะ” ฉินจิ่วเกอมองซ้ายมองขวาพิจารณาอยู่นาน “เอาแค่หายใจเข้าออก และใช้ชีวิตอย่างสงบสุขก็พอ”

เจ้าอ้วนน่าตายหลั่งน้ำตาเป็นนกกาเหว่า รู้สึกจิตใจบอบช้ำจนหายใจติดขัด

เมื่อครู่เห็นศิษย์พี่ใหญ่ชี้นิ่วสั่งการวางท่าใหญ่โต เจ้าอ้วนน่าตายก็รู้สึกกริ่งเกรง ที่แท้ศิษย์พี่ใหญ่กลายเป็นยอดเยี่ยม ต้องการยืนหยัดใหม่หลังความเสียหาย ตนเองยังคงช่วยเหลือมันเถอะ

“ในเมื่อเจ้ากระเหี้ยนกระหือรือขนาดนี้ งั้นก็ได้ ให้ข้าลองทดสอบเจ้าดูหน่อย ห้องครัวของพรรคหลิงเซียวเรา มีมีดทำครัวอยู่ทั้งหมดกี่เล่ม”

คิดมาตลอดว่ามีดทำครัวต่างหากจึงจะเรียกได้ว่าเป็นศาสตราเทพลำดับหนึ่ง ไหนจะหยิบจับคล่องมือ ไหนจะใช้ได้ทั้งรุกและรับ ต้นทุนหรือก็ถูกแสนถูก ใต้หล้าฟ้าเขียวนี้ มีเพียงเก้าอี้ที่สามารถเทียบเคียงได้

เจ้าอ้วนน่าตายมองดูนิ้วสั้นอวบของตัวเอง ฝ่ามือถูกไขมันเบียดเสียดจนเป็นปล้องๆ “สมควรมีอยู่เก้าเล่มกระมัง”

บ่อยครั้งที่ทำเป็นเดินตรวจความสะอาดภายในครัว แต่ความเป็นจริงคือมองหาจังหวะขโมยของกิน มีดทำครัวกระไรนั่นมีหรือจะเก็บมาใส่ใจ

“เอาล่ะ ข้าให้เวลาเจ้าสามนาทีในการย้ายก้นอ้วนๆ ของเจ้าไปที่ห้องครัว แล้วเอามีดทำครัวที่คมที่สุดเปี่ยมกลิ่นอายสังหารที่สุดออกมาให้ข้า”

“รับด้วยเกล้า” เจ้าอ้วนน่าตายวิ่งจนแทบจะเป็นกลิ้งไปอย่างไว ใครที่ไม่รู้คงหลงนึกไปว่าพรรคหลิงเซียวได้พัฒนาศาสตรายุทธชนิดใหม่ออกมา กะด้วยสายตาแล้ว พลังระดับนี้ปราณสุริยันขั้นต้นล้วนไม่กล้าเข้าไปปะทะซึ่งหน้าด้วยเด็ดขาด

ไม่นานเจ้าอ้วนน่าตายก็กระหืดกระหอบกลับมาทันตามเวลาที่กำหนด

“ไม่เลวนี่ศิษย์น้องสี่” ฉินจิ่วเกอยิ้มอย่างอารมณ์ดี ตามองไปที่มีดทำครัวในมือเจ้าอ้วน

คมมีดชี้คม ประกายเยียบเย็นชัดเจน หลังมีดหนาทน ภูติผีวิญญาณล้วนต้องหวั่นกลัว

ตัวมีดยังมีคราบเลือดสีน้ำตาลปนแดงติดอยู่ แปลว่ามีดเล่มนี้ได้จบชีวิตเป็ดไก่ปลาสุกรมาแล้วมากมายสุดคณานับ เปี่ยมกลิ่นอายสังหารท่วมท้น

“รู้หรือไม่ว่าศิษย์น้องรองตอนนี้อยู่ที่ใด” ฉินจิ่วเกอถาม

เจ้าอ้วนน่าตายตามความคิดอ่านของศิษย์พี่ใหญ่ไม่ทัน ได้แต่ตอบไปตามสัญชาตญาณ “อยู่ตรงเนินเขาสูงลูกนั้น”

ฉินจิ่วเกอพอได้รู้ที่อยู่ของศิษย์น้องรองก็เกิดริษยาขึ้นมา

บนเขามีสายน้ำไหลเอื่อยอย่างเงียบเชียบ ร่มไม้ร่มเงาระรื่นเย็นชุ่มฉ่ำ บ้านไผ่ถูกปลูกสร้างเป็นเรือนแบบเตี้ยวเจี่ยวโหลว* แม้จะดูค่อนข้างสมถะเรียบง่าย แต่กลับแผ่กลิ่นอายที่มีแต่ผู้สูงส่งเท่านั้นจะพึงมี

*เตี้ยวเจี่ยวโหลว 吊脚楼 สถาปัตยกรรมโบราณของจีน เป็นบ้านยกสูง สร้างตามริมน้ำตกหรือเขาสูง

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท