กลับถึงพรรคหลิงเซียว อาวุโสใหญ่อาศัยป้ายชื่อศิษย์อาจารย์รับเลี้ยงเจ้าทารกน้อยที่น่าสงสารนั้น เลี้ยงดูเหมือนลูกเหมือนหลานตัวเอง
ฉินจิ่วเกอตาแดงรื้นขึ้นทีละน้อยเด็กที่อยู่ในชายแขนเสื้อก็คือมันเองกระมัง
ดูเหมือนว่านานวันมันก็จะยิ่งกลมกลืนไปกับโลกนี้มากขึ้นเรื่อย ๆ ไม่ว่าจะชาติก่อนหรือว่าชาตินี้ก็ตาม จางเต๋อไคและฉินจิ่วเกอก็คือคนๆ เดียวกัน
อาวุโสใหญ่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ก็ตื่นเต้นยินดีขึ้นมาเล็กน้อย นัยน์ตาแก่ชราของมันรื้นน้ำตาขึ้นบางๆ
แสงตะวันคล้ายยิ่งกลายเป็นอบอุ่น ส่องกระทบร่างอันซูบผอมของมัน หากยิ่งเพิ่มประกายความศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจต้านทานล่วงเกินให้กับชายคนนี้
ในวินาทีนั้น อาวุโสใหญ่ดูปานประหนึ่งเทพเทวาบรรพกาล ส่องประกายเจิดจรัสไปทุกสี่ทิศแปดทาง ดั่งเทพบรรพกาลผู้ยิ่งใหญ่
แม้ปราศจากแสงเรืองรอง เทพบรรพกาลก็ยังเป็นเทพบรรพกาลอยู่วันยังค่ำ ไม่มีวันเปลี่ยน
อาวุโสใหญ่ยิ่งมายิ่งเอ่ยวาจาถี่เร็ว ชัดเจนว่ารำพึงถึงอดีต จนต้องทอดถอนใจออกมา
“ตอนนั้น ทุกคนพากันบอกว่าดูแลเจ้าไม่รอดหรอก แม้ว่าเจ้าจะไม่ได้แข็งตายในกองหิมะ ตอนที่พาเจ้ากลับมา เจ้าก็ตัวแค่นี้เอง”
อาวุโสใหญ่แบฝ่ามือออก
ใจกลางฝ่ามือคือร่องรอยแผลเป็นที่กาลเวลาตกทอดทิ้งไว้ หยาบกร้านหากทรงพลัง ราวกับลวดลายร่องลึกบนผืนดิน แบกรับไว้ทั้งใต้หล้า
“เจ้ายังเล็กนัก คาดว่าเพียงอายุไม่กี่เดือน ข้าไม่กล้าใช้พลังวิญญาณ กลัวว่าร่างกายเจ้าจะรับไม่ไหว”
“ข้าเหาะลงเขาไป ตามหานมแพะนมวัวจากในหมู่บ้านใกล้ๆ อากาศยามนั้นหนาวเย็น นมอุ่นๆ เพียงไหลออกมาแข็งตัวกลายเป็นน้ำแข็ง รอจนข้าใช้ท้องอุ่นนมกลับมาได้หนึ่งชาม เจ้าก็ร้องไห้จ้า ศิษย์น้องทั้งหลายต่างก็จนปัญญา
พอข้ากลับมา เจ้าก็หยุดร้องทันที ใช้ดวงตาน้อยๆ สุกใสปริ่มน้ำจับจ้องมองข้า”
“เรื่องราวในโลกล้วนแปรผัน เพียงพริบตาเจ้าก็เติบใหญ่ปานนี้แล้ว เมื่อนึกถึงตอนที่ข้าไปหานมมาให้เจ้า แต่กลิ่นคาวนมแพะแรงเกินไป เจ้ากลับเป็นตายไม่ยอมอ้าปาก พวกเราศิษย์พี่ศิษย์น้องต่างรุมล้อมเจ้า คิดกระตุ้นให้เจ้าอ้าปากเพื่อหยอดนมแพะลงไป จางเต๋อไค (张得开) จางเต๋อไค (อ้าปากออก) จนสุดท้ายทำให้เจ้าอ้าปากออกมาได้ จากนั้นกลายเป็นเรียกหาจนคุ้นชิน ชื่อของเจ้าจึงกลายเป็นจางเต๋อไคนับแต่นั้น”
คนกลุ่มหนึ่งรายล้อมเด็กทารกน้อย จนปัญญาไม่ทราบทำอย่างไร
ภาพเหตุการณ์นั้น คิดๆ ดูล้วนน่าขันไม่น้อย แต่ที่ยิ่งมากกว่านั้น คือความอบอุ่นที่ไม่ว่าพลังอำนาจมากมายปานไหนก็เอามาแลกไม่ได้
น่าเสียดายเหล็กหยาบไม่อาจเป็นเหล็กกล้า อาวุโสทั้งหลายรู้จักตนเองมาหลายปี แต่อาวุโสใหญ่กลับไม่สนใจ ทั้งในใจยังมีปมค้างอยู่
มันเพียงคาดหวังให้ศิษย์รักของตนเองดำเนินชีวิตไปอย่างสุขสงบ เรื่องการแก่งแย่งช่วงชิงแพ้ชนะอันใด ละเว้นได้ก็ดี
“อาจารย์” ฉินจิ่วเกอหวั่นไหวตื้นตันจนเสียงสั่นเครือ คิดไม่ถึงว่าตนจะมีที่มาเช่นนี้
“นับแต่วันนี้ไป ชื่อของข้าคือจางเต๋อไค (张德开)”
ฉินจิ่วเกอเปลี่ยนความตั้งใจ มันไม่คิดเปลี่ยนชื่อแล้ว ชื่อนี้มีคุณค่าพอให้มันจดจำ
“ช่างเถอะ อยากเปลี่ยนก็เปลี่ยน ต่างก็เติบใหญ่แล้ว ยังเรียกหาชื่อส่งๆ แบบนี้ไปคงไม่เหมาะ ฉินจิ่วเกอ (秦九歌) นามนี้ดียิ่ง เป็นชื่อนี้ก็แล้วกัน”
อาวุโสใหญ่เองตระหนักดีว่าศิษย์รักของตนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ไม่อาจควบคุมบังคับมากเกินไป อย่างไรก็แค่ชื่อ หากมันต้องการเปลี่ยนก็เปลี่ยนเถอะ
มัจฉาท่องมหาสมุทร ปักษาทะยานเหินฟ้าสูง*
มันมิใช่ทารกในผ้าอ้อมเช่นวันวาน เส้นทางเดินนับจากนี้ ตนเองก็ไม่อาจก้าวเดินแทนมันได้
สำหรับเรื่องชื่อนี้ เรียกจางเต๋อไค อาจถูกคนเข้าใจผิดว่าเป็นคนขายคีมหนีบของแอมเวย์ได้ง่ายๆ ถึงเวลานั้นคงทำร้ายความรู้สึกไม่น้อย
ส่วนชื่อฉินจิ่วเกอ (秦九歌 – เก้าเพลง) นี่ เฮ้อ หมายความว่าอาชีพเสริมของมันคือขายแผ่นเสียง?
“อาจารย์ ท่านดีต่อข้าจริงๆ ” ฉินจิ่วเกอโอบกอดอาวุโสใหญ่ คลอนร่างไปมา
สามารถมีอาจารย์เช่นนี้ นับว่าเป็นวาสนายิ่งใหญ่ของชีวิต
เมื่อครู่ผู้ชราเยาว์วัยล้วนหวั่นไหวตื้นตัน ศิษย์น้องเล็กที่ผ่านทางมาเคาะประตูเปิดเข้ามา พอดีพบเห็นภาพที่สร้างความซาบซึ้งสะเทือนใจแก่ผู้คน
“อาวุโสใหญ่ ข้าจะไปเก็บดอกไม้ ท่านพาข้าไปหน่อยสิ”
ศิษย์น้องเล็กถลาเข้ามาออดอ้อน ออเซาะให้พาไปท่องเที่ยว อาวุโสใหญ่พ่ายแพ้แก่ลูกอ้อนของนาง ฉินจิ่วเกอเองก็พ่ายแพ้เช่นกัน
หากไม่มีตัวเปรียบเทียบย่อมไม่เจ็บปวด เมื่อเปรียบลูกอ้อนของตนเองกับศิษย์น้องเล็กแล้ว สภาพเมื่อครู่ของฉินจิ่วเกอช่างน่าสะอิดสะเอียนจนเกินไป ห่างไกลไม่ได้ครึ่งจากความสำเร็จของนางเลยแม้แต่น้อย
อาวุโสใหญ่คาดการณ์ว่ามื้อนี้มันคงไม่รับประทานอันใด คนคลื่นเหียนคิดอาเจียนตลอดเวลา
สองศิษย์อาจารย์ลากจูงมือ หนึ่งชราหนึ่งเยาว์วัยจากไป สุดท้าย อาวุโสใหญ่ยังทิ้งสายตาข้าไม่ปลื้มใส่ฉินจิ่วเกอให้ทีหนึ่ง
เด็กน้อย ยิ่งเติบใหญ่ยิ่งไม่น่ารัก ฉินจิ่วเกอแท้ที่จริงผ่านช่วงอายุออดอ้อนอาละวาดไปนานแล้ว ครั้งนี้จะทำออดอ้อนก็ไม่ได้ ที่จะได้มีแต่คนกลอกตาใส่ไม่ก็ส้นเท้า
นับแต่วันนี้ไป พรรคหลิงเซียวไม่มีจางเต๋อไคอีก มีเพียงฉินจิ่วเกอ มันทำเพื่อตนเอง และเพื่อความคุ้นเคยต่อสถานที่
งานประลองฝีมือระหว่างมันกับศิษย์น้องรองลั่วเฉินจะครบกำหนดในวันพรุ่งนี้ ข่าวนี้แพร่กระจายไปทั่วพรรคหลิงเซียว ส่วนเรื่องความสัมพันธ์ ต่างก็ถกเถียงกันไปมา
ที่จริงเป็นเพราะค่าชดเชยสองเท่าและจดหมายสารภาพบาปที่เขียนจากก้นบึ้งจิตใจสร้างประโยชน์ให้อยู่บ้าง แม้จดหมายทุกฉบับต่างเขียนเหมือนกันทุกกระเบียด แต่ยังคงไม่ลดทอนเจตนาอันบริสุทธิ์ของฉินจิ่วเกอ
คะแนนนิยมในพรรคของฉินจิ่วเกอเกิดความเปลี่ยนแปลง สรุปแล้วไม่ถือเป็นปรปักษ์ขนาดนั้น ทั้งยังมีอาอู่และไฉยีที่ยืนยันว่าฉินจิ่วเกอคือคนดีคนหนึ่ง
วันนี้ คือวันก่อนวันประลองหนึ่งวัน
ฉินจิ่วเกอขึ้นไปบนยอดเขาพรรคหลิงเซียว กลุ่มเมฆม้วนพัดก่อตัวในที่ไกล อาทิตย์อัสดงที่โค่นบรรพตพลิกสมุทรดุจดั่งอัญมณีร่วงหล่นลงทิศตะวันตก อาบย้อมท้องนภาจนแดงฉาน
ท้องฟ้ายืดยาวสุดลูกหูลูกตา ฉินจิ่วเกอยืนหยัดทระนงสูงส่งทอดตามองทั่วฟ้าดิน บรรพตสายธารราวภาพวาด ทั้งหมดทั้งมวลรวมกับเงาร่างคนปรากฎหมอกควันคลอเคล้า
สัมผัสสายลมโชย เมฆหมอกที่กางกั้นคนและขุนเขาวารี คล้ายมืดครึ้มลงหลายส่วน และหนาทึบขึ้นหลายส่วน
ฉินจิ่วเกอเบิ่งตาจนกลมกว้าง พบว่าดวงอาทิตย์สีเลือดถูกกลุ่มเมฆสีดำกลืนกิน ก้อนพายุเมฆสีดำกลุ่มใหญ่ปรากฎประกายสายฟ้าสีขาวแลบแปลบปลาบ แสงอสนีสีขาวฟาดผ่าแผดผลาญลงบนพื้นดิน
“ฝนมาแล้วววว เก็บผ้าเร็ววววว!”
ฉินจิ่วเกอยืนอยู่บนยอดเขา ตะโกนป่าวร้องก้องไปทั่วพรรค
ศิษย์พรรคหลิงเซียวต่างขยับเคลื่อนไหว อันใดเก็บได้ก็เก็บ ปิดประตูห้องหับจนมิดชิด
ยิ่งสูงนอกจากจะยิ่งหนาวแล้ว ยังล่อสายฟ้าได้ดีอีกต่างหาก
เสียงฟ้าร้องครืนครน วิถีฟ้าไร้ขอบเขต สามารถฟาดผ่ากฎสรรพสิ่งจนตกตายได้ ยิ่งใหญ่กว่าอำนาจใด
ใต้สายอสนีบาต แม้แต่ชนชั้นกฎสรรพสิ่งก็เป็นเพียงหนอนแมลง เมื่อสายวิชชุแล่นลงจากเมฆดำทะมึนบนฟากฟ้า สรรพชีวิตนับล้านนับแต่บรรพกาลล้วนไม่อาจต้านทานรับไว้
สายฟ้าคือพลังแห่งการทำลายล้างอันไร้ซึ่งคู่ต่อกร ไม่มีผู้ใดสามารถรับมือกับอสนีทัณฑ์สวรรค์ได้โดยเด็ดขาด
คนที่ถูกผ่าแล้วไม่ตาย มีแต่ตัวเอกเท่านั้น
อสนีบาตเปี่ยมพลังทำลายล้าง ยามทะลวงด่านกลั่นดวงธาตุ อสนีบาตทัณฑ์สวรรค์จะถูกเรียกออกมา
ทัณฑ์สวรรค์ต่างจากอาญาฟ้า ภายใต้ทัณฑ์สวรรค์ สรรพชีวิตล้วนเท่าเทียม อสนีบาตสี่สิบเก้าสาย หากยังหลงเหลือลมหายใจ ย่อมกะเทาะรังไหมออกกลายเป็นผีเสื้อ
ส่วนอาญาสวรรค์นั้นแตกต่าง ฝนตกฟ้าผ่าประดานี้ ก็คืออาญาสวรรค์ประการหนึ่ง สามารถฆ่าล้างเทพเซียน ไม่ว่าผู้ใดไม่ว่าอำนาจใด ล้วนสามารถถูกฟาดผ่าตกตายได้
อาญาสวรรค์ ไม่มีใครไม่หวั่นกลัว ไม่มีใครไม่หวาดเกรง
เพียงแค่เสียงฟ้าร้องก็สะท้านสะเทือนไปทั่วเมฆา สั่นเขย่าห้วงจักรวาล สรรพชีวิตทั่วพสุธาได้แต่ก้มลงกราบกราน ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมาอย่างเด็ดขาด
ฉินจิ่วเกอวิ่งลงจากยอดเขามาสู่ด้านล่าง จากที่มันคาดคำนวณ ยังมีเวลาอีกประมาณครึ่งชั่วยาม พายุฝนฟ้าคะนองค่อยเทถล่มลงมา
เมฆดำม้วนกลืนเมฆฝนครึ้ม แผ่ขยายยืดยาวนับหมื่นลี้
ประกายสายฟ้าชั้นแล้วชั้นเล่าวาบสาดทั่วผืนฟ้าผืนดิน ย่นระยะห่างระหว่างผืนฟ้าและแผ่นดิน
มังกรสายฟ้าเส้นแล้วเส้นเล่าสาดวาบเป็นระลอกในกลุ่มเมฆ พลานุภาพแห่งฟ้าไร้คู่เปรียบ!
สวรรค์ที่อยู่เหนือศีรษะผู้คน ที่แท้คืออันใด ไม่มีผู้ใดตอบได้
แม้แต่ตัวประหลาดกฎสรรพสิ่ง ยังไม่อาจแหวกท้องนภาบินฝ่าออกไปได้ มีเพียงยอดยุทธ์ชั้นสุญญตาที่อยู่สูงขึ้นไป จึงสามารถเบิกท้องฟ้าบินเหนือขึ้นไปได้อีก
ตำนานว่าไว้ ยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุสามารถบินเหนือพื้นพันหมื่นเมตร กฎสรรพสิ่งสามารถขึ้นไปสัมผัสถึงยอดเมฆขาวบนฟ้ากว้าง
เหนือท้องฟ้า ยังมีลมจักรวาล ที่สามารถตัดสัมผัสของขอบเขตกฎสรรพสิ่งที่มีต่อกฎแห่งเต๋า ขอบเขตสุญญตาจึงอาจผ่านลมจักรวาลไปได้อย่างระมัดระวัง
เหนือลมจักรวาลขึ้นไป แม้แต่ขอบเขตสุญญตาเองก็ไม่เคยพบเห็นว่ามีอันใด เพียงทราบจากคัมภีร์เท่านั้น
นั่นคือเก้าสวรรค์ ทั้งหมดทั้งมวลมีแปดสิบเอ็ดชั้น
เหนือเก้าสวรรค์ ก็คือเก้าชั้นเมฆ เหนือสุดของเก้าชั้นเมฆ คือยอดนภา
เมื่อทะลวงผ่านยอดนภา จะสัมผัสได้ถึงไอพลังหยินหยาง มองเห็นทะเลดาราไร้สิ้นสุดและทางช้างเผือก
ข้ามผ่านไอพลังบริสุทธิ์และขุ่นข้น สุดท้ายที่บรรลุถึง จึงจะเป็นใจกลางแห่งจักรวาลสุดเวิ้งว้าง แม้แต่ต้าหลัวจินเซียนยังไม่อาจอาศัยอยู่
และที่ผู้คนของทวีปฉงหลิงไม่รู้เลยก็คือ ณ เวลานี้ เหนือเก้าสวรรค์เก้าชั้นเมฆเก้าขั้นยอดนภา ภายในจักรวาลสุดเวิ้งว้าง กลับมีคนผู้หนึ่งนั่งกลับหัวพำนักอยู่เหนือยอดสวรรค์ สูงส่งสุดอาจเอื้อม
ผืนพสุธาที่หนาแน่น ยังไม่อาจรองรับปลายนิ้วของคนผู้นั้น ฟ้าแม้สูงใหญ่ ยังไม่อาจบรรจุร่างกายของมันไว้ได้
ยามล่องลอยอยู่ในจักรวางสุดเวิ้งว้าง ทวีปฉงหลิงที่มีรัศมีนับล้านล้าน ยังไม่เทียบเท่าดวงตาของมันข้างหนึ่ง
ไพศาลไร้ขอบเขต กระทั่งไม่อาจรับรู้การคงอยู่ของมันได้
หากสามารถมองเห็นร่างของมัน จะพบว่าร่างแท้จริงของมันอยู่ในห้วงโกลาหล จิตควบรวมอยู่ในไท่จี๋ ที่สามารถมองเห็นได้ มีเพียงเสี้ยวห้วงความคิดเพียงเส้นสายใยเดียวในหงเหมิงเท่านั้น
เพียงยกมือ คนผู้นั้นก็สามารถเป่าทวีปฉงหลิงจำนวนนับไม่ถ้วนให้สลายหายไปได้อย่างง่ายดาย บรรลุถึงขีดจำกัดที่จักรวาลจะสามารถทนทานรับได้แล้ว
ณ สุดเวิ้งว้าง คือสายฟ้าสีม่วงที่ดุเดือดคุคั่ง ถูกเหนี่ยวไว้ที่ข้างกายมัน
ภายในทะเลสายฟ้า เพาะเลี้ยงไว้ด้วยราชันมารเทียมฟ้าจำนวนสิบหมื่น พลังอำนาจไร้ขอบเขต สามารถพลิกคว่ำวิญญาณศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลได้เพียงยกมือ
คนผู้นั้นแข็งแกร่งจนเกินไป มองภายนอกคล้ายไร้ซึ่งความสามารถ แต่ยามยกมือวางเท้า ทั่วทั้งจักรวาลล้วนต้องยอมสยบ
มันมิใช่เต๋า หากกลับครอบครองเต๋า สายฟ้าแห่งมหาวิถีเต๋ามีสีทอง
และที่ข้างกายมัน อัดแน่นไว้ด้วยทะเลสายฟ้าสีม่วง ไม่เคยปรากฎมานับแต่อดีตกาล
ว่ากันว่า ณ ห้วงเวลาแห่งนิรันดร์ ผานกู่เบิกฟ้าดิน หนี่ว์วาสร้างมนุษย์
เซียนเทียน (ก่อนฟ้า) คือห้วงเวลาที่สรรพชีวิตไม่รู้จักสวรรค์ ไม่รู้จักชีวิต ไม่รู้จักพลังทั้งสี่ ไม่รู้จักบิดามารดา ไม่รู้กตัญญูต่อธรรมชาติ
จากนั้น บังเกิดวิถีฟ้า ใต้วิถีเต๋ามีเพียงหนึ่ง คือผู้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ดับสูญ กำหนดเกิดดับชะตามนุษย์
หมุนเปลี่ยนห้วงมิติและเวลา ห้วงเวลานี้เรียกว่า จงเทียน (กลางฟ้า)
หลังหมดยุคจงเทียน ผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่บงการวิถีเต๋าหายไป จักรวาลกลับคืนสู่วิถีฟ้า สรรพชีวิตถือธรรมชาติกำหนดชะตา เรียกว่า โฮ่วเทียน (หลังฟ้า)
“อา ฉวยโอกาสที่วิถีฟ้าไม่อยู่ ข้าต้องรีบดำเนินการตามแผน ก่อนหน้านี้ล้มเหลวไปแล้ว คงต้องพยายามไม่กระโตกกระตาก หมากลับตัวนี้ถูกเปิดเผยเร็วเกินไป จากนี้อาจไม่มีโอกาสอีก”
บุคคลลึกลับพึมพำต่อตนเอง ขณะทอดถอนใจ พาร่างกว้างไกลไร้ขอบเขตของมันเข้าสู่จักรวาล
มันโบกมือคราหนึ่ง สิบหมื่นราชันมารจากไปอย่างเร่งร้อน ทะเลสายฟ้านิ่งสงบ สายอสนีสีม่วงนับไม่ถ้วนรวมตัวเป็นมังกร
“วิถีฟ้าเอยวิถีฟ้า ผู้คนล้วนยินยอมตามหลักธรรมชาติ ทว่าข้าจะกบฏต่อฟ้า ผู้ศักดิ์สิทธิ์ไม่ตาย เจ้าไหนเลยจะเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ได้?”
เมื่อเผชิญต่อวิถีฟ้าอันสูงส่งเท่าจักรวาล วาจาของผู้ลึกลับปราศจากซึ่งความเคารพใดๆ เอ่ยออกมาอย่างปกติและเรียกคืนกลับไปอย่างธรรมดายิ่ง
“ช่วยเจ้าเปิดช่องทางก่อนแล้วกัน ข้าขอมอบเคล็ดเทวะกำลังภายในแก่เจ้า!”
ผู้ลึกลับสะกิดนิ้วในอากาศ วิถีเต๋าภายในสุดเวิ้งว้างเกิดความสับสน หากวิถีฟ้าเข้ามาในระยะใกล้ หรือแม้แต่ผู้ศักดิ์สิทธิ์ ยังไม่อาจสัมผัสได้ถึงความผิดปกติใด
ฉินจิ่วเกอยืนอยู่ข้างภูเขา ศีรษะแหงนมองฟ้า เมฆดำคล้อยต่ำลงจนสุดขีดจำกัด หากยังไม่หยุด เกรงว่าทั่วทั้งท้องฟ้าคงต้องถล่มลงมาแล้ว
บนมหาทวีปฉงหลิง บรรดาตัวประหลาดผู้ฝึกตนที่ปิดด่านกักตนต่างตื่นจากภวังค์สมาธิ ตระหนักว่ายุคแห่งมหาสงครามกำลังใกล้เข้ามาแล้ว
มหาสงครามครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้น คือประมาณหนึ่งหมื่นปีก่อน ก่อกวนจนมนุษย์มารอสูรสามเผ่าล้วนถูกกำจัดล้างบาง
ประดุจดั่งวิถีฟ้าประทานโองการสวรรค์ สายอสนีบาตฟาดผ่าลงสู่พื้น สำแดงอานุภาพแห่งฟ้า
“ฟ้าดินกำลังจะถึงคราวโกลาหลอีกครั้ง!” เฒ่าตัวประหลาดในห้วงมิติว่างเปล่าคนหนึ่งเอ่ย ภายใต้แรงกดดันของค่ายกลอสนีบาตกลางฟ้า ไม่อาจไม่ล่าถอยออกจากห้วงมิติ
ณ แดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่ามนุษย์ ผู้ชราผมเผ้าขาวโพลนท่านหนึ่งพึมพำว่า “โลหิตจาง” ออกมาสองคำ จากนั้นขมวดคิ้วมุ่น
ผู้ชรานั่งอยู่ข้างบรรพตมองดูทิวทัศน์ สายวิชชุทรงอานุภาพก่อเป็นภาพแปลกประหลาดเสียดแทงนัยน์ตา
*สำนวนจีน ความหมายคล้ายสำนวนปลูกเรือนตามใจผู้อยู่ของไทย