เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 52 ชายชาตรีย่อมมีพิษ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ช่างอำมหิตนัก หมายจะใช้วิธีสกปรกเช่นนี้เล่นงานจิตใจตนโดยตรง!

ลั่วเฉินพอคิดได้เช่นนี้ก็ตั้งปณิธานว่าจะไม่เหลือบแลฉินจิ่วเกออีก

อนิจจา ศิษย์พี่ผู้นี้หน้าหนาจนเกินไป ต่อให้ท่านไม่ได้ตอบโต้เสวนาด้วย มันก็ยังคุยกับตัวเองได้อยู่ดี

“พิสดารแท้” มีศิษย์คนหนึ่งไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า “ไม่ใช่ว่าพวกมันไม่ถูกกันหรอกหรือ ไฉนเปลี่ยนจากชี้ดาบใส่กันมานั่งสนทนาใต้ร่มไม้เช่นนี้ได้เล่า”

“ใช่ที่ไหนล่ะ เจ้าดูหน้าพี่รองซะก่อน ยิ้มด้วยความสุขใจปานนั้น”

“พูดอีกก็ถูกอีก หางตากระทั่งทอประกายเลยด้วยซ้ำ”

ระหว่างนั้นมีศิษย์ไม่น้อยที่เห็นฉินจิ่วเกอ บางทีอาจเป็นเพราะศักดานุภาพฝ่ามือของเมื่อวานจึงไม่มีใครกล้าหันหลังสะบัดหน้าเดินหนีไป แต่ชิงเป็นฝ่ายเดินเข้าหาพร้อมหัวเราะทักทาย ก่อนแยกย้ายกันไปทำเรื่องของตัวเองต่อ

หากเป็นก่อนหน้านี้ มีแต่ลั่วเฉินที่ได้รับการปฏิบัติด้วยเช่นนี้เท่านั้น

“ท่านมีเวลามาวอแวช้าเช่นนี้ ไม่จำเป็นต้องฝึกฝีมือรึ?” ลั่วเฉินอดรนทนไม่ไหว แม้จะทานข้าวเที่ยงเสร็จแล้ว อีกฝ่ายก็ยังพูดจ้อจนตนแทบจะหูชา ไม่ต่างจากแมลงวันตัวหนึ่งที่ไล่ยังไงก็ไม่ไป

ลั่วเฉินวาดภาพในใจว่าตนได้จับเจ้าแมลงวันตัวนี้มากระชากจนศีรษะขาดออกจากลำตัว จากนั้นก็คว้านเอาตับไตไส้พุงออกมาแล้วพันวนรอบคอมันสักเจ็ดแปดรอบ สุดท้ายก็ดึงแรงๆ สักที

ช่วยโลกขจัดสิ่งสกปรกมลทินไปในตัว

“ฝึกปรือ?” ฉินจิ่วเกอเกาแก้มแกรกๆ “ช่างหายากจริงๆ ตัวท่านเป็นถึงพระเอก ยังต้องฝึกฝีมืออันใดอีก”

“พระเอก?” ลั่วเฉินงงงวย “พระเอกอะไรของเจ้า”

“หากต้องอธิบายให้ฟังคงยุ่งยากเกินไป เป็นหัวข้อที่ถกเถียงกันมาตั้งแต่กำเนิดจักรวาล พูดง่ายๆ ก็คือคนที่ยอดเยี่ยมไร้เทียมทานที่สุด”

ฉินจิ่วเกอปรารถนาที่จะกระชับความสัมพันธ์กับน้องรองผู้นี้จากก้นบึ้งของจิตใจ

แต่น่าเสียดายที่ลั่วเฉินไม่ได้ปรารถนาชิดใกล้ด้วยเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ว่าจะตอนเข้าห้องน้ำทานข้าว ฉินจิ่วเกอก็คอยวอแวไม่ห่าง เรียกหามันน้องรองๆ อย่างใกล้ชิดสนิทสนม

อาวุโสใหญ่หัวเราะพลางลูบเคราไปพลาง ประเสริฐแท้ ศิษย์ในพรรครักใคร่กลมเกลียว พรรคหลิงเซียวเข้าสู่ห้วงเวลาเจิดจรัส

อาวุโสสองแม้หัวเราะตามหากไม่ปริปากเอ่ยคำ ส่วนอาวุโสสามก็ได้เงินเป็นกอบเป็นกำ ตอนนี้กำลังนั่งก่อพีรามิดเล่นอยู่ในห้อง

น่าอนาถสุดคืออาวุโสสี่ บัดนี้ได้แต่นั่งเขี่ยเตาไฟอยู่ในห้อง ตนเองติดเงินอยู่ไม่น้อย นักปรุงยาผู้เกรียงไกรอย่างมันเลยต้องมานั่งคุมเตาไฟหาลำไพ่พิเศษ ใบหน้าดำมะเมี่ยมจากฝุ่นควัน สารรูปน่าอดสูเป็นอย่างยิ่ง

สามวัน นั่นคือระยะเวลาที่ลั่วเฉินต้องทนรับมือกับฉินจิ่วเกอ

ตลอดช่วงสามวันนี้ ฉินจิ่วเกอพูดได้ไม่หยุดปาก ราวกับว่าในท้องมันมีเรื่องราวมากมายไร้สิ้นสุดสะสมไว้

ตั้งแต่เรื่องเล็กๆ อย่างสภาพดินฟ้าอากาศของวันรุ่งขึ้น อาหารการกิน ไปจนถึงเรื่องใหญ่อย่างกระแสนิยมของประเทศและประเภทของสิ่งมีชีวิตทั่วทวีปฉงหลิง ทั้งหมดล้วนแล้วแต่ถูกฉินจิ่วเกอนำมาฝอยไม่ได้ขาด ที่จริงนับเป็นความสามารถอันร้ายกาจอย่างหนึ่ง สร้างความทรมานทรกรรมแก่ลั่วเฉินเป็นอย่างสูง

กระนั้นก็ไม่อาจขับไล่ไสส่งมันไปได้ เคล็ดท่าร่างของอีกฝ่ายพิสดารจนเกินไป ไม่ด้อยไปกว่าเคล็ดมหานทีสะบั้นสุริยันของตนเลยแม้แต่น้อย

ไล่ก็ไม่ไป ด่าก็ยังเฉย ลั่วเฉินรู้สึกว่าตัวเองใกล้จะเป็นบ้าเข้าไปทุกที

วันที่สี่ ฉินจิ่วเกอหลังทำความสะอาดเสื้อผ้าเสร็จสรรพก็ตั้งใจจะไปปลุกลั่วเฉินให้ตื่นมาคุยถกปัญหาชีวิตกันต่อ

แต่พอผลักบานประตูเปิดออก ภายในห้องกลับมีแต่ความว่างเปล่า มีเพียงกระดาษแผ่นหนึ่งแปะติดอยู่

หลังจากได้เสวนาพูดคุยกับศิษย์พี่ใหญ่เป็นเวลาหลายวัน ตัวข้าบังเกิดจิตหยั่งรู้อันยิ่งใหญ่บางประการ วันนี้รู้สึกว่าตนเองเห็นปากทางของขอบเขตพิสุทธิ์ไพศาลแล้ว ลั่วเฉินจึงตัดสินใจเดี๋ยวนั้นว่าจะออกไปหาประสบการณ์ข้างนอก เพื่อไขว่คว้าหาวิถีฟ้า

ศิษย์พี่ใหญ่ พวกเราลืมเลือนเรื่องหนหลังในยุทธภพ นับเป็นเรื่องดีอย่างยิ่งยวด

“ไปซะแล้ว น่าจะเรียกข้าไปด้วย” ฉินจิ่วเกอตัดพ้ออย่างไม่สบอารมณ์ ตามหลักแล้ว หากพระเอกของเรื่องออกไปผจญโลกหน้าในเวลาเช่นนี้ จำต้องชักนำเรื่องอันสะเทือนฟ้าสะท้านดินตามมา รวมถึงโชคลาภวาสนาอันยิ่งใหญ่

หากตนสามารถติดตามไปด้วยได้ คอยเก็บผลประโยชน์เข้ากระเป๋า ย่อมแซงหน้าเจ้าเด็กน้อยหน้าขาวซ่งเล่อได้แน่ๆ

เมื่อมีเงินเต็มกระเป๋า ฉินจิ่วเกอย่อมดูดซับไอวิญญาณจากศิลาวิญญาณได้ทุกวัน เร่งอัตราการฝึกปรือไปอีกขั้น

แม้ระดับพลังจะคงตัวอยู่ที่ชั้นปราณสุริยันขั้นกลาง แต่พลังวิญญาณภายในร่างยังคงผนึกตัวแน่นหนามากขึ้นเรื่อยๆ กอปรกับการใช้ดอกพลับพลึงแดงเพื่อหล่อหลอมกายเนื้อและจิตวิญญาณ จึงยิ่งพัฒนาอย่างก้าวกระโดด

ฉินจิ่วเกอมีความรู้สึกว่า อาศัยเพียงกายเนื้อของตนก็สามารถต่อกรกับปราณสุริยันขั้นสูงสุดได้อย่างสูสี

เพราะมีศิลาวิญญาณการฝึกปรือจึงยิ่งคืบหน้าเร็วไว กับขุมกำลังใหญ่ยิ่งไม่ต้องเอ่ยถึง สมบัติชั้นสูงมีมากมายก่ายกองดั่งขุนเขา ศิษย์เอกของพวกมันยิ่งทรงพลังสุดเปรียบ

นับแต่ที่ลั่วเฉินออกไปหาประสบการณ์นอกพรรค เวลาก็ผ่านไปแล้วกว่าสิบวัน ตลอดระยะเวลานี้ฉินจิ่วเกอได้แต่นั่งจับเจ่าอย่างเบื่อหน่ายอยู่ในพรรค

เบื่อๆ ก็ลากเจ้าอ้วนมาฝึกวิชาเกี้ยวสาว ระดับฝีมือของเจ้าอ้วนตอนนี้กลับย่างเข้าสู่ขอบเขตหลอมวิญญาณขั้นเก้าแล้ว ขาดเพียงแค่เปิดจุดตันเถียน มันก็สามารถบรรลุชั้นปราณสุริยันได้ทันที

“น้องรองหายหน้าไปตั้งสิบวัน ป่านนี้หากไม่ใช่ไปล่วงเกินคุณชายลูกเศรษฐีจากพรรคสำนักใหญ่ใดเข้า ก็อาจจะถูกกลุ่มทหารรับจ้างข่มเหงรังแก ฉะนั้นช่วงนี้ห้ามทุกคนออกไปนอกพรรคเด็ดขาด เลี่ยงไม่ให้ถูกคนดักตีหัว”

พระเอกหนอพระเอก หนึ่งก้าวพิฆาตหนึ่งชีวิต เข่นฆ่ามารดามันจนพอใจ

หากจะบอกว่าตลอดสิบวันนี้ ลั่วเฉินไม่ได้ไปล่วงเกินขุมกำลังใดเข้าเลย แม้ตีให้ตายฉินจิ่วเกอก็ไม่เชื่อ

รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง ก่อนที่พระเอกจะกลับมา เราทุกคนมาแสร้งทำตัวให้ดูน่าสงสารเข้าไว้เถอะ

“ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านกังวลเกินไปหน่อยหรือไม่” เจ้าอ้วนถาม หลังจากเรียนรู้เคล็ดวิชาเกี้ยวสาวจากศิษย์พี่ใหญ่จนลึกซึ้งดีแล้ว

“เรามาลองเดิมพันกันดูไหมล่ะ ข้ากล้ารับประกันเลยว่า จะต้องมีพวกทหารทัพหน้าไร้นัยน์ตาโผล่มาอย่างแน่นอน” ฉินจิ่วเกอเอ่ยอย่างมั่นใจ

เจ้าอ้วนน่าตายเงยคางที่ไม่มีคอของมันขึ้น ไขมันกระเพื่อมเป็นชั้นๆ “พรรคหลิงเซียวของเราตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน ทุรกันดารถึงขั้นไก่กายังไม่มาวางไข่ ต่อให้มีคนตามมาเอาผิดด้วยจริงๆ ก็ไม่มีทางหาเจอ”

“น่าแปลก ที่บอกว่านกยังไม่วางไข่ ไม่ใช่ว่าคราวก่อนเจ้าเพิ่งปีนขึ้นไปขโมยไข่สดๆ จากรังจนนกนางแตกฝูงหรอกหรือ” ฉินจิ่วเกอหมั่นไส้เจ้าอ้วนน่าตายเป็นที่สุด แทบจะเตะก้นอีกฝ่ายอยู่แล้ว

ขณะที่เจ้าอ้วนกำลังจะแสร้งทำเป็นน่าสงสาร เรียกร้องความเห็นใจ ด้านนอกก็มีศิษย์ฝ่ายนอกวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน พอเห็นฉินจิ่วเกอ มันก็รีบแหกปากตะโกนว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ แย่แล้ว แย่แล้ว มีคนมาหาเรื่องพรรคเรา!”

“ศิษย์พี่ใหญ่เทพเกินคนจริงๆ” เจ้าอ้วนน่าตายเอ่ยชม นี่คือเทพยากรณ์โดยแท้ ลองขอให้ศิษย์พี่ใหญ่พยากรณ์ว่าศิษย์พี่สามจะตบแต่งกับตนดีหรือไม่

“รีบไปแจ้งอาวุโสสองก่อน แล้วค่อยไปแจ้งอาวุโสใหญ่” ฉินจิ่วเกอหัวเราะอย่างชั่วร้าย มันคาดการณ์ไว้แล้วจึงไม่กลัว

ทวีปฉงหลิงในปัจจุบัน หากกฎสรรพสิ่งไม่สำแดงตน กลั่นดวงธาตุก็แทบจะมีกำลังรบสูงที่สุด

ขุมกำลังที่พรรคหลิงเซียวยอมเผยให้เห็น ประกอบด้วยยอดฝีมือชั้นกลั่นดวงธาตุสามคน ในเผ่ามนุษย์ถือว่าครองตำแหน่งสูงล้ำ

น่าแปลกที่ว่าเหตุใดพรรคหลิงเซียวที่ไม่ยินดียินร้ายกับชื่อเสียงเช่นนี้ กลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่อพละกำลังโดยรวมของพรรคเลยแม้แต่นิดเดียว

กล้าตอแยพรรคหลิงเซียว เท่ากับตบหน้าพรรคหลิงเซียวฉาดใหญ่ ตบหน้าพรรคหลิงเซียวฉาดใหญ่เท่ากับไม่ไว้หน้าอาวุโสสอง

อาวุโสสองเป็นคนประเภทใด คำตอบคือเป็นคนที่รักหน้ายิ่งชีพ ไหนเลยจะยอมก้มหน้ารับความอัปยศเยี่ยงนี้

ศิษย์ฝ่ายนอกที่มาแจ้งข่าวยังคงหายใจหายคอไม่ทัน พอดีขึ้นแล้วถึงค่อยเอ่ยว่า “เดิมทีอาวุโสสองตั้งใจจะจัดการลูกเต่าพวกนั้นให้หลาบจำ แต่สุดท้ายก็ถูกอาวุโสใหญ่ห้ามไว้ก่อน”

ฉินจิ่วเกอได้ยินดังนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที “เจ้าบอกว่าท่านอาจารย์ลงมือด้วยตัวเองอย่างนั้นรึ เร็วเข้า! พวกเรารีบไปโบกธงให้กำลังใจท่านอาจารย์กัน ข้าอยากรู้ใจจะขาดแล้วว่าพวกมันจะโดนบาทาประทับหน้าหรือไม่”

ศิษย์ฝ่ายในสั่นศีรษะระรัว นิ้วชี้มาทางฉินจิ่วเกอด้วยใบหน้าเผือดขาว สีหน้าคล้ายกำลังเวทนาคนร่วมชะตาเดียวกัน

“เจ้าหมายถึงอะไร” ฉินจิ่วเกอนั่งไม่ติดพื้น มือหยิกขาอ่อนจนนิ้วสั่น

เจ้าอ้วนน่าตายผู้รับเคราะห์เจ็บจนหน้าเขียวแต่ก็ไม่กล้าเปล่งเสียง เพราะที่ศิษย์พี่ใหญ่หยิกอยู่คือขามัน

“อาวุโสใหญ่บอกว่าท่านคือศิษย์พี่ใหญ่ประจำพรรค ก็ควรที่จะจัดการดูแลให้เรียบร้อย ดังนั้นพวกอาวุโสเลยไม่ลงมือ หวังให้ศิษย์พี่ใหญ่มาคลี่คลายเอาเอง หากทำไม่ได้ ท่านจะถูกริบทรัพยากรฝึกปรือเป็นเวลาครึ่งปี”

“เพ้ย แล้วทำไมไม่รีบบอกให้มันเร็วกว่านี้ กล้าล่วงเกินพรรคหลิงเซียวของข้า ไกลแค่ไหนก็ต้องถูกทำลายล้างสิ้น!” เมื่อมีทรัพยากรฝึกปรือของตนมาข้องเกี่ยว ตนมิอาจไม่ลงมือ ไหนจะต้องรักษาหน้าตาของพรรค และที่สำคัญ ก่อนที่อาวุโสสองจะปลิดชีพตัวเองด้วยความขายหน้า อีกฝ่ายย่อมถลกหนังหัวตนออกมาก่อนอย่างแน่นอน

ถูกมีดจ่อหลังอยู่เช่นนี้ ตนมิอาจนิ่งเฉยโดยไม่ทำอะไร อีกอย่างมันสังหรณ์ใจว่าการระรานในครั้งนี้ต้องมีน้องรองเป็นต้นเหตุไม่ผิดแน่

ถึงจะบอกว่าเป็นพระเอก แต่แท้ที่จริงกลับเป็นดาวหายนะ ไม่ว่าพุ่งผ่านไปที่ใด ที่นั่นย่อมมีคนตกตายเป็นเบือ

เจ้าอ้วนน่าตายและศิษย์ฝ่ายในคนนั้นติดสอยห้อยตามอยู่ด้านหลัง ระหว่างทางป่าวประกาศร้องตะโกนจนลูกศิษย์ลูกหาทั่วพรรครับรู้กันโดยทั่ว

ศิษย์พี่ใหญ่ของพวกมันครอบครองเคล็ดเทวะ ใครที่กล้ามาตอแยย่อมไม่พ้นถูกมันเล่นงานจนไม่ได้ตายดี

ในห้องรับรองพรรคหลิงเซียว ศิษย์นอกสำนักสองคนกำลังนั่งจิบน้ำชาเย็นชืดด้วยใบหน้าดำมะเมี่ยม

“ท่านพี่ พรรคเล็กๆ อย่างนี้ ข้าว่านอกจากเจ้าคนที่เอาชนะพวกเราได้แล้ว ศิษย์ในพรรคคนอื่นๆ คงไม่มีใครบรรลุขอบเขตปราณสุริยันกันสักคน เชื่อว่าแม้แต่ผู้อาวุโสพรรคก็คงเป็นพวกไม่เอาอ่าว พวกเราย่อมต้องเรียกร้องค่ารักษาได้เป็นกอบเป็นกำแน่”

“น้องข้า รอข้าขยิบตาให้สัญญาณเจ้าก็ลงมือได้เลย บัดซบ รอศิษย์พี่เกาออกด่านก่อนเถอะ เจ้าเด็กนั่นเตรียมตัวกลายเป็นคนไร้วรยุทธได้เลย!”

ชายหนุ่มสองคนนี้คือศิษย์ฝ่ายในพรรคจอกประกายสิทธิ์ อายุราวยี่สิบ

รูปพรรณสัณฐานไม่แน่ชัด เพราะพวกมันสองคนแต่งตัวเหมือนแขกสมัยใหม่ ทั้งหน้าทั้งแขนล้วนโพกพันด้วยผ้าพันแผลสีขาวสะอาดตา

“ไอหยา ทั้งสองท่าน เสียมารยาทแล้วๆ ผู้น้อยศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวฉินจิ่วเกอ ไม่ทราบทั้งสองท่านมีนามว่ากระไร?”

ฉินจิ่วเกอตั้งแต่ยังไม่ก้าวเท้าเข้ามาก็ตระเตรียมให้บรรดาศิษย์น้องของตนจำนวนห้าร้อยถือจอบถือขวานมาห้อมล้อมไว้รอบบริเวณแล้ว ขอเพียงคว่ำจอกส่งสัญญาณ บรรดาศิษย์น้องที่อาวุธครบมือก็จะกรูกันเข้ามาสับสังหารอาคันตุกะทั้งสองนี้ให้กลายเป็นเนื้อบดในทันที

แม้จะเตรียมความพร้อมไว้แล้ว ฉินจิ่วเกอก็อดที่จะบ่นอาวุโสใหญ่ไม่ได้ อีกฝ่ายจิตใจทำด้วยอะไรถึงได้ปล่อยให้ศิษย์ที่น่ารักไร้เดียงสาอย่างตนมาจัดการเรื่องเสี่ยงอันตรายอย่างนี้

อีกฝ่ายชัดเจนว่ามาหาเรื่อง ดีไม่ดีจะกลายเป็นศึกระหว่างสำนัก

“ม่อไซ่ถี (ไม่ต้องพูด)” คนตัวสูงหัวโพกผ้าพันศีรษะเป็นก้อนพูด

“ไม่ไซ่เจี่ยง (ไม่ต้องคุย)” คนตัวต่ำเตี้ยกล่าว

ฉินจิ่วเกอมองประเมินลักษณะคนทั้งสอง พรรคจอกประกายสิทธิ์อันใด ไม่เคยได้ยิน ไม่ดังเท่าประตูหายนะ

สำหรับคนทั้งสอง เพียงอยู่ระดับปราณสุริยันขั้นปลายและกลาง ก็งั้นๆ แหละ

“ทั้งสองท่านนามกรกระเดื่องเลื่องลือไกล อย่าได้ปฏิเสธตีตัวออกห่าง อย่างน้อยบ่งบอกชื่อแซ่ไว้ให้ก็ยังดี” เมื่อเห็นพลังฝีมือแท้จริงของอีกฝ่าย ฉินจิ่วเกอวางใจ พวกมันไหนเลยจะมาท้าดวล นี่มันเนื้อเดินเข้าปากเสือเองชัดๆ

“ก็บอกแล้วไงว่า ไม่ต้องพูดไม่ต้องคุย เจ้าฟังไม่เข้าใจหรือไง!” คนตัวสูงเปิดก่อน พลังกดดันส่งเข้าใส่ฉินจิ่วเกอ หากเพียงมองที่ระดับพลัง ฉินจิ่วเกอเป็นเพียงคนตัวเล็กตัวน้อยเท่านั้น

มิผิด สองศิษย์พรรคจอกประกายสิทธิ์นี้เป็นพี่น้องท้องเดียวกัน พี่ชายนามม่อไซ่ถี (ไม่ต้องพูด) น้องชายนามม่อไซ่เจี่ยง (ไม่ต้องคุย)

น่าเวทนา ชื่อของพวกมันแปลกพิกลจนเกินไป ฉินจิ่วเกอแค่นเสียงเฮอะไม่กี่คำ ยังคงฟังไม่ออก

“มาทำอะไร?” ฉินจิ่วเกอยืนไขว้ขาทั้งสอง ดูไปมีบารมีเหมือนพี่ใหญ่จริงๆ

“เงินชดเชย!” สองคนไม่เต็มบาทอ้าปากพูดออกมาโดยพร้อมเพรียง สองตาบังเกิดหยาดน้ำตาเอ่อคลอ

ที่แท้ น้องรองลงเขาออกท่องยุทธภพ พอดีพบกับสองพี่น้องพรรคจอกประกายสิทธิ์กำลังข่มเหงผู้คน

พระเอกผู้เปี่ยมจิตคุณธรรมแน่นอนย่อมไม่อาจนั่งมองอยู่ด้านข้าง เพียงปราณสุริยันสองคน ลั่วเฉินพลิกฝ่ามือก็จัดการจนม้วนเสื่อ

แน่นอน ลั่วเฉินอารมณ์เก็บกดยิ่ง มันถูกศิษย์พี่ใหญ่ข่มเหงรังแกจนคับข้องใจมาหลายวัน มันเมื่อลงไม้ลงมือกับอีกฝ่ายแล้ว ย่อมต้องบ่งบอกสังกัดสำนักอาจารย์ออกไป

นี่เป็นแผนยืมดาบฆ่าคน ให้คนทั้งคู่มาหาเรื่องฉินจิ่วเกอ

ม่อไซ่ถีม่อไซ่เจี่ยงสองพี่น้องที่หยอกเย้ารังแกสะใภ้บ้านอื่น ถูกทุบตีจนใบหน้าดูราวสุกรสองหัว

ในละแวกร้อยลี้ ผู้ใดบ้างไม่รู้ว่าพรรคจอกประกายสิทธิ์ร้ายกาจเพียงใด กลับกล้าลงมือทำร้ายคนกลางวันแสกๆ ยังมีเหตุผลหรือ?

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท