เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 57 รอยยิ้มของสาวงาม

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“ศิษย์พี่!”

ศิษย์น้องเล็กโบกมือวิ่งเข้ามา ก่อนจะโผตัวเข้าสู้อ้อมอกของฉินจิ่วเกอ บดบังสายตารุ่มร้อนของเกาฟู่ส่วย

เกาฟู่ส่วยปาดน้ำลายที่มุมปาก นึกไม่ถึงจริงๆ พรรคกระยาจกพรรค์นี้ถึงกับมีโฉมสะคราญหยาดเยิ้มปานนี้อยู่

เกาฟู่ส่วยเคียงคู่ป๋ายฟู่เหม่ย (สตรีโฉมงามผิวขาวสูงศักดิ์) ช่างราวกับบุพเพสันนิวาส ส่วนไอ้คนขายเพลงนั่น ก้างขวางคอชัดๆ

เกาฟู่ส่วยสาวเท้าเข้าหาด้วยความตื่นเต้นยินดี คนถูกฉากการเปิดตัวอันงดงามสะท้านใจของศิษย์น้องเล็กจนต้องยอมสยบ เอ่ยวาจาเสียงนุ่ม “ผู้น้อยศิษย์จอกประกายสิทธิ์เกาฟู่ส่วย ไม่ทราบนามสูงส่งของแม่นางคือ?”

ฉินจิ่วเกอปรายหางตามอง ประกาศเสียงสูง “ตงฟางปู้ป้าย!”

“อา ช่างให้ความรู้สึกอาจหาญเหนือคนนัก ผู้น้อยยินดีพาพรรคจอกประกายสิทธิ์สมรสเชื่อมสัมพันธไมตรีกับพรรคหลิงเซียวเป็นทองแผ่นเดียวกัน”

ฉินจิ่วเกอดวงตาสาดประกายวาบ ผักกาดขาวสดใหม่อิ่มน้ำนี่ ตนเองยังไม่กล้าแตะต้อง ไอ้หมอนี่คิดก้อร่อก้อติกจากที่ใด คิดหาเรื่องงั้นหรือ?

“เจ้าไม่ใช่มาท้าประลองพรรคหลิงเซียวหรอกเรอะ?”

ฉินจิ่วเกอคุกคามทุกย่างก้าว คาดไม่ถึงเกาฟู่ส่วยแย้มยิ้มหัวร่ออย่างอ่อนโยน “พรรคจอกประกายสิทธิ์เรายินดีเสนอศิลาวิญญาณสามพัน รวมกับสมบัติเต๋าสามชิ้น สู่ขอแม่นางท่านนี้จากพรรคหลิงเซียวไปเป็นภรรยาข้า”

“บัดซบ!” ฉินจิ่วเกอในใจลอบยินดีหมื่นเท่า ยังดีที่วันนี้ผู้ที่นั่งเป็นประธานคืออาวุโสสองที่รักหน้ายิ่งกว่าชีวิต

หากเปลี่ยนเป็นอาวุโสสาม จากบุคลิกรักเงินยิ่งชีพของมัน เป็นไปได้ว่าคงตกปากรับคำทันตา

“สามพันศิลาวิญญาณพวกเรารับไว้แน่นอนแล้ว แต่ว่าไม่ใช่ค่าสินสอด เป็นเดิมพันที่พวกเจ้าพ่ายแพ้ต่างหาก!” ฉินจิ่วเกอแยกเขี้ยว สมควรตาย เจ้าอ้วนน่าตายไฉนยังมาไม่ถึงเสียที

“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ใหญ่!” เจ้าอ้วนน่าตายทั้งกลิ้งทั้งตะเกียกตะกายออกมาจากทางหลังเขา เปิดตัวโผล่มาอย่างน่าตกใจ สกปรกซกมกไปด้วยฝุ่นผงคลี

“เร็วเข้า เอาใยแมงมุมปีศาจมา!” ในใจฉินจิ่วเกอยามนี้แทบอดรนทนไม่ไหว คนคิดฉีกหน้าอีกฝ่ายให้ย่อยยับ มันชื่นชอบกระทืบซ้ำแล้วซ้ำเล่าลงไปบนใบหน้าของพวกหลงตัวเองอย่างเกาฟู่ส่วยเช่นนี้ที่สุด

“ใยแมงมุมปีศาจ?” เจ้าอ้วนน่าตายคล้ายสะดุ้งตื่นจากฝัน “ไม่มี”

“อะไรนะ?” ฉินจิ่วเกอฟ้าหมุนคว้างดินโคลงเคลง ผินหน้าไปเห็นสายตาทอแววเคียดแค้นโศกาของอาวุโสสอง

“ฮ่าฮ่า พรรคจอกประกายสิทธิ์ข้า ขอรับสามพันศิลาวิญญาณไปแล้ว” เหิงโหย่วเฉียนหัวร่อฮาฮา ในใจเบิกบานยินดี เกาฟู่ส่วยแสดงท่วงท่าคุณชายหล่อเหลารุ่มรวย เอ่ยวางโต “หากพรรคหลิงเซียวเจ้าตกลง ข้าจะเพิ่มให้อีกห้าพันศิลาวิญญาณ เป็นค่าสินสอด”

เกาฟู่ส่วยอนาคตมีสิทธิ์ถามไถ่ถึงขอบเขตกลั่นดวงธาตุ ทรัพยากรพรรคจอกประกายสิทธิ์แน่นอนว่ามันมีคุณสมบัติพึ่งพาอาศัย

“มีเงินแล้วยอดเยี่ยมมากนักหรือไง” ศิษย์น้องเล็กเหนี่ยวลำคอฉินจิ่วเกอเหวี่ยงตัวเล่น “ศิษย์พี่ข้าดีกว่าเจ้าเยอะ”

ฉินจิ่วเกอเหมือนมีวงแหวนบนศีรษะ คนยืดเอวตั้งตรง นัยน์ตาทอแววท้าทาย “เหตุใดไม่มีใยแมงมุมได้?”

อาวุโสสองไม่เข้าใจ เจ้าสองตัวไร้ประโยชน์หน้าตาประหลาดที่เชิงเขานั่นยังสามารถชิงสิ่งของมาได้สามจินหกเลี่ยง พวกเจ้าคงไม่โง่กว่าพวกนั้นหรอกนะ

“แน่นอนว่าไม่ใช่” เจ้าอ้วนน่าตายรีบเปลี่ยนคำพูดเมื่อเห็นว่าทุกคนเข้าใจผิดแล้ว

“พวกเราได้ของที่ล้ำค่ากว่าใยแมงมุมปีศาจมา” เจ้าอ้วนน่าตายกล่าวจบ ล้วงเอาแก้วใสออกมาชิ้นหนึ่งจากอกเสื้อ ขนาดประมาณเมล็ดพุทรา ทว่ากลับทำให้ผู้คนทั้งหมดต้องลมหายใจเย็นเยียบ

ฉินจิ่วเกอบีบแก้มย้วยเต็มไปด้วยไขมันทารกน้อยของศิษย์น้องเล็ก ว่าแล้วเชียว ดูท่าพรรคหลิงเซียวเรามีแต่เหล่าตัวเอกถือกำเนิด ทั้งต่อยตีวางเดิมพันล้วนไม่เคยพ่ายแพ้มาก่อน

หรือต่อให้พ่ายแพ้การแข่งขันนี้ อย่างไรเสียสามพันศิลาวิญญาณก็เป็นอาวุโสสองออกหน้า ฉินจิ่วเกอไหนเลยจะสนใจ

ตนเองคงได้แต่ควงแขนศิษย์น้องเล็ก หนึ่งสูงหนึ่งเตี้ยยินดีปรีดา เดินไปหลังเขาไล่จับผีเสื้อกันอย่างไร้เดียงสา

“หรือว่า” อาวุโสสองรับเอาลูกแก้วในมือของเจ้าอ้วนน่าตายมา “นี่คือแก้วสวรรค์จากครรภ์แมงมุมปีศาจ สรรพคุณในการรักษาขั้นสูงสุด การปรากฏขั้นของมันหายากยิ่ง นักปรุงยามากมายล้วนต้องการมัน ลูกแก้วสวรรค์หนึ่งลูก สามารถแลกได้กับใยแมงมุมถึงสามพันจินกระมัง?”

เจ้าอ้วนน่าตายอ้าปากค้างน้ำลายไหล มันคิดโอ้อวดความเก่งกาจ หากกลับถูกสายตาพิฆาตอันดุร้ายของฉินจิ่วเกอห้ามปรามไว้

อัศจรรย์ยิ่ง ศิษย์น้องเล็กรอจนสองพี่น้องแซ่ม่อหลบหนีจากรังแมงมุมปีศาจกลับออกมาแล้ว ค่อยพาเจ้าอ้วนน่าตายทุ่มหินใส่คนตกน้ำ

ไม่ถูกต้อง สมควรเรียกเป็นชักกระบี่ออกช่วยเหลือ

ครั้งนี้ได้รับความรู้สึกที่ดีจากแมงมุมปีศาจ ที่ยิ่งทำให้เจ้าอ้วนน่าตายแทบลูกตาหลุดจากเบ้าก็คือ แมงมุมปีศาจคล้ายฟังเข้าใจที่ศิษย์น้องเล็กพูด ยินดีแบ่งใยแมงมุมออกมาส่วนหนึ่ง

ใยแมงมุมปีศาจอันสดใหม่มีกลิ่นแรงอย่างยิ่ง ถึงกับเทียบเท่าปลาเค็มตากแห้ง ศิษย์น้องเล็กตั้งแง่รังเกียจ จึงควักเอาศิลาวิญญาณออกมาจำนวนหนึ่ง

ดังนั้น แมงมุมปีศาจเปลี่ยนจากใยแมงมุมเป็นลูกแก้วสวรรค์หนึ่งลูก ขนาดเล็กพกพาสะดวก ให้เจ้าอ้วนน่าตายซ่อนไว้ในเสื้อนำลงจากเขา

ส่วนที่ว่าทำไมเจ้าอ้วนน่าตายสภาพยับเยินปานนี้นั้น นั่นก็เพราะระหว่างการเดินทาง คนกระหยิ่มยิ้มย่องด้วยความลำพองมากเกินไปหน่อย สวรรค์ขัดลูกนัยน์ตา จึงให้มันได้แสดงกายกรรมม้วนตัวสิบแปดตลบ ถือเป็นการสั่งสอนสักเล็กน้อย

ลูกแก้วสวรรค์หนึ่งลูก สามารถแลกเปลี่ยนใยแมงมุมได้หลายจิน ยิ่งหากนำไปยังเมืองซวนอู่ ยังสามารถใช้ผูกสัมพันธ์กับปรมาจารย์นักปรุงยาได้อีกด้วย

“ไม่ยุติธรรม!” เหิงโหย่วเฉียนร้อนรน “ที่พวกเราวางเดิมพันกันไว้ คือวัดที่จำนวนใยแมงมุมปีศาจเป็นตัวตัดสิน ลูกแก้วสวรรค์แม้มีค่าสูง แต่ยังไม่อาจทดแทนใยแมงมุมปีศาจได้”

“สามพันศิลาวิญญาณ มอบให้พวกเจ้าแล้วอย่างไร” บางทีอาจเป็นเพราะอยู่ต่อหน้าศิษย์น้องเล็ก เกาฟู่ส่วยท่วงท่าราววีรุบุรุษ ตลอดทั้งร่างคล้ายเรืองรองด้วยปราการแสงสีทอง เจิดจ้าบาดตาจนฉินจิ่วเกอตาพร่าพราย

หากกล่าวตามตรง การแข่งขันนัดนี้พรรคหลิงเซียวถือว่าพ่ายแพ้แล้ว เพราะที่แข่งขันคือน้ำหนักใยแมงมุมปีศาจ ลูกแก้วสวรรค์มิใช่วัตถุในการแข่งขัน

ทว่าเกาฟู่ส่วยไม่คิดเช่นนั้น ว้าว ทั้งน่ารัก ทั้งมีความสามารถ

เรื่องอื่นไม่ต้องพูด คนที่คิดหาทางเอาลูกแก้วมาได้ รับประกันไม่ใช่เจ้าอ้วนนั่นแน่นอน ต้องเป็นนางเซียนน้อยที่เบื้องหน้าตนเท่านั้น

เมื่อต้องเผชิญกับเกาฟู่ส่วยที่หน้าใหญ่บวมพองด้วยความอวดเบ่ง ฉินจิ่วเกอสรรเสริญอีกฝ่าย ทำหูทวนลมต่อวาจาของเหิงโหย่วเฉียน “คุณชายเกาช่างใจกว้างแท้ๆ เดิมพันพันตำลึงทอง หล่อเหลาเกินไปแล้ว”

“ไหนเลยไหนเลย ข้าก็แค่หน้าตาดีนิดหน่อยเท่านั้น” เกาฟู่ส่วยเอ่ยตอบด้วยความหลงตน ตนเองยามนี้ ไม่ว่ามองอย่างไรก็โดดเด่นกว่าเจ้าคนขายเพลงนี่อยู่แล้ว?

อาวุโสสองไม่สนใจอันใดมาก สืบเท้าไปถึงเบื้องหน้าเหิงโหย่วเฉียน “ในเมื่อพวกเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้แล้ว ก็จ่ายเงินมา!”

เหิงโหย่วเฉียนใบหน้าแดงก่ำ มองไปยังเกาฟู่ส่วย ไอ้หมอนี่ สามพันศิลาวิญญาณ ต่อให้เป็นอาวุโสใหญ่เช่นข้าควักออกมายังต้องเข้าตัว

เกาฟู่ส่วยไม่รีบไม่ร้อน เอ่ยอย่างเรียบเรื่อย “พวกเราพรรคจอกประกายสิทธิ์แน่นอนว่าไม่มีทางหนีหนี้ ทว่าข้าขอเสนอให้เราเดิมพันกันอีกสักยก เดิมพันที่วางยังคงเป็นสามพัน ว่าอย่างไร?”

“ยังจะพนันต่อ?” ฉินจิ่วเกองุนงงสงสัย พรรคจอกประกายสิทธิ์ร่ำรวยปานนั้นเชียว?

เกาฟู่ส่วยชี้นิ้วไปยังฉินจิ่วเกอ ประกาศก้อง “ข้าพนันกับเจ้า กล้าหรือไม่?”

ฉินจิ่วเกอชี้นิ้วใส่ตนเอง หันกลับไปมองดู ข้างกายตนเองไม่มีใครอยู่แน่ๆ เอ่ยอย่างขัดเคือง “ข้าไปทำอะไรให้ ถึงคิดจะเดิมพันกับข้า?”

เกาฟู่ส่วยแค่นเสียงเฮอะฮะ เจ้าคนที่เบื้องหน้านี้ที่แท้ก็แค่เจ้าหัวหมั่นโถว “ไม่กล้า? ฉิงอวี่ เจ้าเห็นแล้วสินะ หมอนี่ก็แค่ไอ้ตาขาวคนหนึ่ง เจ้าไปกับข้าเถอะ”

“หุบปาก!”

ฉินจิ่วเกอและศิษย์น้องเล็กโพล่งออกมาพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย รัศมีของทั้งสองคนน่าตื่นตระหนก สร้างความแตกตื่นจนเกาฟู่ส่วยต้องถอยกายไปหลายก้าว

“เจ้า เจ้าคิดทำอะไร?” เกาฟู่ส่วยบังเกิดความเกรงกลัวเล็กน้อย เจ้าคนขายเพลงนี่ แววตาอย่างกับจะกินคนทั้งเป็น สยดสยองจริงๆ

ฉินจิ่วเกอโกรธเคืองแล้วจริงๆ ฉิงอวี่นั่นฉิงอวี่นี่ ชื่อนี้ให้เจ้าเรียกหาได้หรือ?

“เจ้าคิดจะแข่งอะไร?” ฉินจิ่วเกอสำรวมท่าที หากมันกล้าท้าประลองฝีมือ คงต้องให้มันได้ลิ้มลองกิเลนครองฟ้าของข้าบ้าง

“ช้าก่อน” อาวุโสสองเอ่ยขัด “กระบวนท่านั้นของเจ้าพลังฆ่าฟันสูงส่งจนเกินไป ยังคงเปลี่ยนวิธีการแข่งขันเถอะ”

ดวงตากลมโตของศิษย์น้องเล็กกลอกกลิ้ง นางดึงชายเสื้อฉินจิ่วเกอ เอ่ยวาจาฉอเลาะ “เช่นนั้นให้ข้าทายปริศนา ท่านกับเขาแข่งกัน ดีหรือไม่?”

“ศิษย์พี่กล้าหาญรอบรู้ แน่นอนว่าไม่มีปัญหา” ฉินจิ่วเกอทุบอกเบาๆ แสดงท่วงท่าเข้มแข็งออกมา

“มีแต่ลิงอุรังอุตังนั่นแหละ ที่ทุบอกเวลาไม่พอใจ”

เกาฟู่ส่วยเย้ยหยัน พวกบ้านนอกก็เป็นพวกบ้านนอกอยู่วันยันค่ำ “ข้าแข่งกับเจ้า เชิญฉิงอวี่มอบปริศนา”

“ศิษย์พี่” ศิษย์น้องเล็กร้องเรียกเจ้าอ้วนน่าตายเสียงดัง

ฉินจิ่วเกอยามกะทันหันยังไม่ทราบศิษย์น้องเล็กคิดวางแผนการอันใด หากให้แข่งเทียบน้ำหนักกับเจ้าอ้วนน่าตาย เกรงว่าตนเองสามคนยังไม่พอ ไม่ยุติธรรมเกินไปแล้ว

เหิงโหย่วเฉียนเห็นแววตาเจ้าเล่ห์ร้ายกาจของศิษย์น้องเล็ก เกรงว่าอีกฝ่ายจะสุมหัวรวมกับฉินจิ่วเกอวางแผนอันใด คิดเรียกรั้งห้ามปรามเกาฟู่ส่วย กลับถูกอีกฝ่ายยันกลับมา

“ข้าชมชอบฉิงอวี่ ข้าต้องพิสูจน์ให้นางเห็นว่าข้าจึงเป็นบุรุษที่โดดเด่นที่สุด!”

“เด็กน้อย ถ้าเจ้ายังกล้าเรียกนางอย่างสนิทสนมปานนี้อีก เชื่อหรือไม่ว่าปู่เจ้าจะใช้กิเลนครองฟ้าฟาดให้อุจจาระราดออกมาเลย!” ฉินจิ่วเกอพิโรธแล้ว เป็นความโกรธาที่มาจากก้นบึ้งของจิตใจ ไม่จำเป็นต้องปิดบัง

หากเกาฟู่ส่วยเรียกหาหรงเคอเคอเช่นนั้นบ้าง ฉินจิ่วเกอโกรธนั้นย่อมโกรธ ทว่าวาจาและจิตใจ ย่อมไม่มีทางเจือปนความหึงหวงหรือเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรูความรัก

หรือหากเกาฟู่ส่วยเกิดต้องตาเจ้าอ้วนน่าตาย ฉินจิ่วเกอจะแห่ฆ้องร้องป่าว พาอาวุโสสองนำขบวนพร้อมบรรณาการอย่างหนักหน่วง ประคองส่งมอบเจ้าอ้วนน่าตายแก่เกาฟู่ส่วยด้วยความยินดีปรีดา

น่าเสียดาย แม้ชื่อของมันเรียกว่าเกาฟู่ส่วย ทว่าสายตาของอีกฝ่ายไม่เลวเลยแม้แต่น้อย

มันเพียงมองปราดเดียวก็ถูกอกถูกใจบุปผาแรกแย้มของพรรคหลิงเซียวแล้ว นี่ทำให้ฉินจิ่วเกอไม่อาจอดกลั้นเพลิงโทสะไว้ได้

ศิษย์น้องเล็กสั่งเจ้าอ้วนน่าตายไปยังห้องครัว ผ่านไปชั่วครู่ ก็กลับมาพร้อมตะกร้าพริกสองตะกร้า เป็นพริกเผ็ดเป็นพิเศษของทวีปฉงหลิง

“นี่ นี่คือพริกสองตะกร้า ตะกร้าละสิบจิน พวกท่านแข่งเรื่องนี้เป็นอย่างไร?” ฉายานางมารน้อยไม่ได้มาเปล่าๆ เพียงเอ่ยประโยคแรก ก็ทำให้ฉินจิ่วเกอและเกาฟู่ส่วยต้องเย็นวาบ

“แข่ง แข่งกินพริก?” เกาฟู่ส่วยตะลึงจนโง่งม พวกเจ้าพรรคหลิงเซียวมีคนไหนปกติธรรมดาบ้าง เกมการแข่งขันจำเป็นต้องโหดเหี้ยมทารุณกรรมถึงขั้นนี้?

“เหอเหอ” ฉินจิ่วเกอมองดูพริกสีแดงดั่งเปลวไฟสองตะกร้า ในใจปฏิเสธเป็นพันครั้ง

“กินพริก เป็นการทดสอบความทรหดอดทนทางกายภาพและปณิธานอันมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยวของพวกเจ้า แท้ที่จริงยังทดสอบความเด็ดเดี่ยวในวิถีแห่งการบำเพ็ญเต๋าและความมุมานะร่วมด้วย มหาสมุทรไร้ขอบเขตท้องนภาคือฟากฝั่ง ยอดเขาโดดเดี่ยวข้ายืนหนึ่ง หากไร้ซึ่งความกล้าหาญเผชิญอุปสรรค วันข้างหน้าไหนเลยจะประสบความสำเร็จ?”

อาวุโสสองจู่ๆ ก็สำแดงสุนทรพจน์อันน่าซาบซึ้งตรึงใจออกมากะทันหัน ว่ากล่าวจนผู้คนทั้งหมดในที่นั้นต้องหลั่งน้ำตา

เป็นไปได้ว่าอาวุโสสองลอบคาดหวังให้ฉินจิ่วเกอและเกาฟู่ส่วยตกตายตามกัน หากเป็นเช่นนั้นโลกหล้าย่อมกำจัดดาวหายนะขั้นสูงสุดไปได้สองดวง นับเป็นมหามงคลแก่ผู้คนทั้งหลาย ประชากรของทวีปฉงหลิงย่อมต้องแซ่สร้องสรรเสริญ

“เจ้ากล้าแข่งหรือไม่?” เกาฟู่ส่วยแลบลิ้น หน้าผากหลั่งเหงื่อโชก

ฉินจิ่วเกอปากแข็งดั่งเป็ดตาย พองแก้มกล่าววาจา “น่าขัน นายน้อยกินพริกตั้งแต่เล็กจนโต ทั้งหมดยี่สิบจิน แค่นี้ยังไม่พอกินในหนึ่งมื้อด้วยซ้ำ!”

“พูดไปแล้วก็กลัวว่าเจ้าจะตกใจตาย ปีนั้น ข้าถือกำเนิดขึ้นในไร่พริก ผู้คนเรียกข้าว่าราชันพริก!” เกาฟู่ส่วยเกทับไปไม่ด้อยกว่ากัน

“ก็มาสิ ใครกลัวใครกันแน่!” ฉินจิ่วเกอถกชายเสื้อ กางมือคว้าพริกขึ้นมาหนึ่งกำ จากนั้นยัดใส่ปากทันที

“ฉินจิ่วเกอ สู้ตาย!” อาวุโสสองส่งสัญญาณเริ่มต้น เจ้าอ้วนน่าตายและคนอื่นๆ ร่วมส่งเสียงเชียร์

พริกแดง เป็นพริกที่เผ็ดที่สุดบนทวีปฉงหลิง คนทั่วไปรับประทานสองเม็ดดื่มน้ำตามสองถัง ฉินจิ่วเกอยื่นมือก็กำใส่ปากไปหนึ่งกำมือ หนักหน่วงเร้าใจยิ่ง!

“ศิษย์พี่ใหญ่ สู้ๆ!” บรรดาศิษย์น้องทั้งหลายตะโกนร้อง ต่างยอมรับนับถืออย่างสุดหัวใจ

ฉินจิ่วเกอสองมือยันออกไปทั่วสี่ทิศแปดทาง ปากประกาศก้อง “เรื่องเล็กน้อย ข้ายังกินได้อีกยี่สิบจิน!”

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท