เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 81 ผืนดาราเรียงรายร่ายระบำ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

รอจนจันทราแลดวงดาราอยู่ใกล้เพียงเอื้อมถึง ราวกับว่าแม้แต่เสียงลมหายใจยังหยุดค้างไป ตงฟางฉิงอวี่ถึงกับไม่อาจรับรู้ถึงการคงอยู่ของฉินจิ่วเกอได้ชั่วขณะ จึงอดที่จะถามออกไปอย่างร้อนใจไม่ได้ว่า “ศิษย์พี่ ท่านยังอยู่กับข้าหรือไม่?”

“ข้าอยู่นี่”

ฉินจิ่วเกอเดินออกมาจากข้างหลังตงฟางฉิงอวี่ ใช้มือค่อยๆ เกาะกุมแขนนางเอาไว้อย่างนิ่มนวล พร้อมเอื้อนเอ่ยให้นางได้สงบใจ

ด้วยดรุณีแบบบางในอ้อมอก ฉินจิ่วเกอเปรียบดั่งพฤกษาที่ให้ร่มเงาแก่นาง พานางมาถึงตำแหน่งเหนือสุดภายในพรรค ให้นางให้ยลทิวทัศน์อันตระการตาสุดคาดคิดตรงหน้า

ณ ตอนนี้ ท่ามกลางสรวงสวรรค์ฟ้าดิน นางได้ยืนอยู่บนจุดสูงสุด โอบล้อมด้วยดวงดารางามงดโดยไม่มีใครมารบกวน

เมื่อไม่อาจคาดเดาได้ว่าฉินจิ่วเกอตั้งใจจะทำอะไร ศิษย์น้องเล็กก็ย่นจมูกจิ้มลิ้มของนางเล็กน้อย เอ่ยเสียงเบาหวิว “ศิษย์พี่ ข้าลืมตาได้แล้วหรือยัง?”

“รออีกหน่อยนะ” ฉินจิ่วเกอกระซิบแผ่วเบาที่ข้างหู จากนั้นดีดนิ้วทีหนึ่ง

“วัยหนุ่มสาวนี่ดีเหลือเกิน” สวีเซิ่งรู้สึกอิจฉาตาร้อน ตนเองถึงกับตกคำรับปากว่าจะช่วยอีกฝ่ายทำเรื่องประดานี้ ช่างน่าอิจฉาแทบตายแล้ว

จากนั้นเปลวเพลิงนับไม่ถ้วนก็เต้นเร่า พร้อมโคมลอยสามพันดวงที่ถูกจุด เริ่มลอยละล่องขึ้นสู่ฟ้าอย่างช้าๆ

คล้ายนทีสาดแสงบนฟากฟ้า ผู้คนได้คืบใกล้สรวงสวรรค์ฟ้าดินเข้าไปอีกก้าว ราวกับว่าดวงดาราอันไกลโพ้นชิงเป็นฝ่ายเข้าหาก่อน ยืนอยู่บนยอดเขา รอบตัวมีเพียงโคมลอยรายล้อม

“เอาล่ะ”

ฉินจิ่วเกอที่อยู่ด้านหลังตงฟางฉิงอวี่พยุงร่างของดรุณีน้อยเอาไว้อย่างทะนุถนอม ห้วงเวลาราวกับจะชะล้อช้าลง

ยามที่แพรพรรณบนดวงตาถูกคลายออก ในพริบตานั้น ดวงตาคู่งามที่มีดาราดาษดารอยู่ในด้านในก็สาดแสงเจิดจรัสออกมา

“นี่คือ……”

ตงฟางฉิงอวี่ตะลึงงัน ทุกที่ทางล้วนมีแต่โคมลอยรายล้อม เมื่อโคมลอยสามพันดวงถูกปล่อยออกมาพร้อมกัน โลกหล้าก็ถูกชายหนุ่มที่ข้างหลังแต่งแต้มแสงสว่างลงไปอย่างสงบนิ่ง

โคมลอยทุกดวงมีลักษณะเหมือนกันทุกอย่าง เผยให้เห็นความฝันดุจห้วงมายา ราวกับว่าถอดแบบออกมาจากโลกแห่งจินตนาการ เทียบกับโลกแห่งจินตนาการแล้วยังงดงามยิ่งกว่า

ตงฟางฉิงอวี่อเอื้อมมือออกไปคล้ายปรารถนาที่จะจับเหล่านางฟ้าที่ลอยละล่องอยู่บนนภากาศเหล่านั้น พวกมันต่างก็เป็นอิสระไร้พันธะ ปล่อยตัวปล่อยใจไปตามสายลม

“อืม?” ฉินจิ่วเกอที่หัวไวพลันโบกมือออกเบาๆ โคมลอยดวงหนึ่งก็ลอยเข้ามาใกล้

“ศกเคลื่อนคล้อยคงวันวาน กาลเคลื่อนผ่านวันนี้คงชั่วปี” บนนั้นเขียนถ้อยคำสวยหรูเอาไว้ประโยคหนึ่ง ภายใต้แสงที่สาดส่องออกมาจากโคมลอย คล้ายจะแทรกซึมลงไปถึงจิตใจ ไม่มีซอกมุมไหนเลยที่ไม่รู้สึกอุ่นเอิบหัวใจ

“นี่ท่านเขียนให้ข้างั้นหรือ?” ตงฟางฉิงอวี่ตะลึงงัน อยู่ๆ นัยน์ตาก็เริ่มมีน้ำตาเอ่อคลอ

“ใช่ นอกจากฉิงอวี่ของพวกเราแล้ว จะมีนางเซียนน้อยคนไหนอีกที่ได้รับการปฏิบัติเช่นนี้จากศิษย์พี่ใหญ่?” ฉินจิ่วเกอลูบหัวตงฟางฉิงอวี่ด้วยความรักใคร่ ไม่ละสายตาไปจากนางแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว ภายในนั้นมีเปลวเพลิงแห่งความอบอุ่นอยู่ด้วยเช่นกัน

“ลองดูอีกอันดีหรือไม่” เหมือนอย่างที่ฉินจิ่วเกอว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นดวงดาราบนฟากฟ้า ต่างคนต่างก็มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใครแตกต่างกันไป

“กล้วยไม้หอมสุราเลิศรสแลบุปผา ,แสงอำพันสาดส่องต้องชามหยก”

“น้ำตาหยาดหยดลงทะเลใต้แสงจันทร์ ,ผืนหญ้าครามอาทิตย์อุ่นควันลอยกรุ่น”

ข้อความแล้วข้อความเล่าล้วนแล้วแต่งดงามจนสะกดให้ผู้อ่านต้องหยุดลืมหายใจ ช่วงเวลาแห่งการป่าวประกาศความสวยหรูแม้จะเพียงชั่วสั้นๆ แต่ก็กังวานก้องไม่เสื่อมคลาย

“มีอีกหรือไม่?” ตงฟางฉิงอวี่หันมามองดูดาราเพลิงบนท้องฟ้า ฉินจิ่วเกอคอยอารักขาอยู่ด้านข้างไม่ห่าง

“ย่อมแน่นอน”

ดีดนิ้วอีกครา พร้อมกับโคมลอยที่เคลื่อนตัวขึ้นสู่ตำแหน่งสุดอาจเอื้อมไปแล้ว พลุจำนวนนับไม่ถ้วนก็ถูกจุดขึ้นกลางฟ้าเป็นดอกดวง ราวกับบุปผาที่เปล่งแสงสว่างตระการตา เทียบกับดวงดาราแล้วยังสวยสง่างามงดยิ่งกว่า

ปุปุ!

ทุกเสียงพลุ ทุกดวงไฟ คร่ำเคร่งท่องตำราผมหงอกขาว ยังไม่เท่าความทรงจำประทับใจชั่วแวบเดียว

พรรคหลิงเซียวนอกในล้วนสะดุ้งตื่นจากเสียงระเบิด

เพียงแต่ไม่มีใครที่ไม่แหงนหน้ามองดูบุปผาที่แย้มบานอยู่บนท้องฟ้าเลยแม้แต่คนเดียว เป็นความงามที่ไม่มีสิ่งใดจะมาเทียบเทียบได้อีกแล้ว

“อัจฉริยะจริงๆ หากนำไปใช้ในด้านการฝึกปรือเสียบ้าง คงจะดีไม่น้อย” อาวุโสใหญ่จ้องมองขึ้นไปบนฟ้า แม้แต่ห้องหับของมันเองยังสว่างเรืองรองไปด้วยแสงสี

“เจ้าเด็กนี่” อาวุโสสี่ส่ายหน้า มือยังง่วนอยู่กับเตาปรุงยา เพียงแต่หางตาก็คอยสอดส่องไปบนฟ้าอยู่ตลอด

เป็นเพราะความงดงามบริสุทธิ์นี้เอง ศิษย์พรรคหลิงเซียวนับไม่ถ้วนจึงถูกสะกดสายตาให้มองขึ้นไปทางยอดเขา มองดูคู่กิ่งทองใบหยกบนนั้น

ช่างสมบูรณ์แบบนัก พลุส่องสว่างเพียงชั่วประเดี๋ยวก็ดับไป ต่อมาถึงค่อยตระหนักว่า ความงามที่มีอยู่บนโลกเกิดจากคนสองคน มิใช่เกิดจากคนและวัตถุสิ่งของ

พลุเหมือนหิ่งห้อยที่ส่องสว่างเพียงชั่วครู่ก็ดับไป เมื่อเวลาหนึ่งก้านธูปหมดลง ทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ

โคมลอยบนฟากฟ้ายามนี้ไม่อาจมองเห็นอีกแล้ว บางดวงร่วงหล่นลงบนหลังเขา แต่ก็ถูกอาวุโสสามไล่ดับไปทีละดวงๆ

อาวุโสสามพลันรู้แจ้งบัดเดี๋ยวนั้น ที่แท้มือวางเพลิงอันดับหนึ่งก็คือเจ้าเด็กฉินจิ่วเกอนี่เอง!

อาวุโสสองยืนปลอบใจอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ บอกว่าอีกฝ่ายยังเยาว์วัยอย่าได้ถือสา มีใครบ้างที่ไม่เคยเยาว์วัยมาก่อน

“ผู้คนสำคัญที่แรกพบหน้า ฉิงอวี่ เจ้าช่างงดงามเหลือเกิน” ฉินจิ่วเกอไม่ได้เรียกขานนางเป็นศิษย์น้องเล็กอีก แต่เรียกชื่ออีกฝ่ายออกมาตรงๆ สลักลึกฝังใจจนมิอาจลบเลือน

“เจ้าชอบหรือไม่?” ที่จริงไม่จำเป็นต้องถาม มุมปากของดรุณีน้อยยกยิ้มเฉิดฉายเสียขนาดนั้น

ศิษย์น้องเล็กที่ยังคลอเคลียอยู่ในอ้อมอกฉินจิ่วเกอไม่ห่างเอ่ยกระซิบเสียงแผ่วว่า “น่าเสียดายที่วันเกิดมีแค่ปีละครั้งเดียวเท่านั้น”

“เด็กน้อยจอมละโมบ” ฉินจิ่วเกอหยิกปลายจมูกจิ้มลิ้มดุจหยกขาวของอีกฝ่ายอย่างหมั่นเขี้ยว ช่างละโมบจริงๆ ตนเองกระทำทั้งหมดทั้งมวลนี้ แทบเผาอาวุโสสามไหม้เป็นตอตะโก

“ให้ศิษย์พี่ร้องเพลงให้เจ้าฟัง” เสียงของฉินจิ่วเกอเต็มไปด้วยความอ่อนละมุน ขับขานเพลงกล่อมเด็กที่ฟังแล้วชวนให้คันหัวใจยิบๆ เหมือนสายน้ำที่หลอมละลายธารน้ำแข็งหิมะ เหมือนสายรุ้งที่พาดผ่านท้องฟ้า

เหมือนสุราที่พอได้ชิมก็ทำให้คนทั้งสองต้องสติเมามายลุ่มหลงจนถอนตัวไม่ขึ้น

ในขณะเดียวกัน เจ้าอ้วนน่าตายที่เห็นว่าบรรยากาศเป็นใจก็เริ่มเปิดปากขับขานให้ศิษย์พี่สามได้รับฟัง

หรงเคอเคอสีหน้าดำมะเมี่ยม เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นการสารภาพความรู้สึกในใจที่ไร้ความจริงใจสิ้นดีแบบนี้

เนื้อเพลงอันน่าสะอิดสะเอียน บรรยากาศวาบหวิวที่ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้นมาเลย รวมกับเจ้าอ้วนน่าตายที่น่าชังนี่อีก

หรงเคอเคอชี้ขึ้นไปบนท้องฟ้าที่ยังพอมีร่องรอยของพลุให้เห็นอยู่บ้าง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงต่ำลึกว่า “หากเจ้าต้องการสารภาพรักกับข้า ไม่จำเป็นต้องทำได้ดีกว่าศิษย์พี่ใหญ่ อย่างน้อยเอาให้ได้เท่าเขาก็ยังดี”

ทัศนียภาพเมื่อครู่ช่างงดงามตราตรึง ราวกับถอดแบบมาจากตำราแบบสอนชั้นยอดอย่างไรอย่างนั้น

ทั้งโคมลอยที่แสนจะโรแมนติค ทั้งพลุที่งดงามดั่งบุปผา ไหนจะมีถ้อยคำหวานเชื่อมละลายใจนั้นอีก

ชั่วขณะหนึ่ง หรงเคอเคอก็เผลออิจฉาศิษย์น้องเล็กขึ้นมา ศิษย์พี่ใหญ่ ดูเหมือนจะไม่ได้น่ารังเกียจขนาดนั้น

เจ้าอ้วนน่าตายนั่งคอตกวิญญาณหลุดลอยออกจากร่าง หลังจากนี้คงต้องไปขอให้ศิษย์พี่ใหญ่ช่วยชี้ทางสว่าง ยังไม่รู้ว่าตนเองจะถูกใช้แรงงานตราบจนชีวิตจะหาไม่ด้วยหรือเปล่า บทเรียนด้านหนาชั่วช้าของศิษญ์พี่ใหญ่ล้วนไม่เคยแปรเปลี่ยนมาก่อน!

ตกดึก ทั่วบริเวณล้วนตกอยู่ในความเงียบสงัดไร้เสียง

ศิษย์น้องเล็กผลอยหลับไปในอ้อมอกของฉินจิ่วเกอ ทั้งยังละเมองึมงำคล้ายกำลังหลับฝันหวาน

ฉินจิ่วเกอขยับตัวให้อีกฝ่ายนอนได้สะดวกสบาย ก่อนจะค่อยๆ อุ้มนางพากลับเข้าห้อง

เลิกผ้าห่มปูเตียงให้ศิษย์น้องเล็กอย่างทะนุถนอม ขณะกำลังจะผละไป ถึงรู้ว่ามือของศิษย์น้องเล็กยังคงกำชายเสื้อมันเอาไว้อย่างไม่รู้ตัว เห็นแล้วก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดูอยู่เต็มหัวใจ

เดินกลับมาที่เตียงอีกครั้ง ฉินจิ่วเกอก็ตระกองกอดศิษย์น้องเล็กไว้ในอ้อมอก ในใจใสกระจ่างดุจกระจก ปราศจากความคิดอกุศลทั้งปวง

人生放纵高歌 มาถึงโลกอันแปลกแยกไม่คุ้นเคยแห่งนี้ คล้ายว่าทั้งที่พึงพอใจดีแล้ว แต่ก็ยังปรารถนาที่จะครอบครองให้มากกว่านี้

คล้ายรับรู้ได้ถึงไออุ่นจากอ้อมอก ตงฟางฉิงอวี่ซุกตัวเข้าใกล้ หาตำแหน่งที่หลับนอนได้อย่างสบาย อิงแอบแนบชิดกับแผงอกกว้างที่สามารถพึ่งพาได้ มีเสียงหายใจที่สม่ำเสมอเป็นระเบียบอยู่เป็นเพื่อน

แล้วอยู่ๆ หัวใจของฉินจิ่วเกอก็เต้นแรงดั่งรัวกลอง ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงลำคอแห้งผาก ตงฟางฉิงอวี่ไม่ได้รับรู้ แต่มุมปากกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้มจางๆ

แสงจันทร์ราวกับมีอารมณ์ความรู้สึกร่วมไปด้วย ส่องลำแสงสีขาวนวลต้องร่างคนทั้งสองเพิ่มความบริสุทธิ์ผ่องแผ้วดั่งภาพวาด งดงามเกินบ่งบรรยาย

ทันใดนั้น ความทรงจำที่ถูกปิดตายเอาไว้ในก้นบึ้งของจิตใจฉินจิ่วเกอก็ถูกคลายออก และแล้วมันก็นึกอะไรขึ้นได้

เมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน กลางฤดูหนาวเดือนจันทรคติ ตอนที่อาวุโสใหญ่เก็บตัวเองมาเลี้ยง ก็เป็นช่วงฤดูหนาวในอีกเจ็ดปีให้หลังเช่นกัน

ในตอนนั้นฉินจิ่วเกอมีอายุได้เจ็ดขวบปี ยังไม่มีอำนาจไปชิงดีชิงเด่นกับใคร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการวางอุบายสมคบคิดอะไรเทือกนั้น พรรคหลิงเซียวที่ตั้งอยู่ห่างไกลผู้คน บนหลังเขาได้ใช้เป็นพื้นที่ปลูกผักทำสวน ซึ่งเชื่อมต่อกับป่าบรรพกาลอันรกครึ้มทึมเทา

ฉินจิ่วเกอที่อายุได้เจ็ดขวบ เหยาะย่างไปบนพื้นไร่พื้นนาด้วยเท้าเล็กๆ ของมัน หิมะกลบร่องรอยบนพื้นดินไปหมด ไม่คาดกลับมีคนขโมยหัวไชเท้าไปหลายลูก

เกลี่ยหิมะออกไปจากพื้น ฉินจิ่วเกอเดินตามรอยเท้าบนพื้นดิน อีกฝ่ายกระทั่งเยาว์วัยกว่าตัวเอง ทุกฝีก้าวล้วนเต็มไปด้วยความโดดเดี่ยวสิ้นหวังที่ชวนให้ผู้คนต้องสั่นสะท้านตามไปด้วย

เดินตามมาได้ระยะหนึ่ง ฉินจิ่วเกอก็ได้เห็นดรุณีน้อยที่เทียบกับตัวเองแล้วยังเล็กกว่ากำลังนอนหน้าคว่ำอยู่บนผืนหิมะ ฝ่ามือเต็มไปด้วยรอยน้ำแข็งกัด ในมือกุมเศษหัวไชเท้าสีเขียวครึ่งลูกเอาไว้แน่น

“นี่ ตื่นสิ ตื่นน”

ภายใต้ท้องฟ้าสีครามสุดกว้างไกล เสียงแบเบาะอันบริสุทธิ์ยิ่งกว่าอะไรทั้งปวงของเด็กน้อยล้วนเปี่ยมไปด้วยความอ่อนโยนไร้เดียงสาที่สุดของจิตใจมนุษย์

ในวันนั้น ฉินจิ่วเกอที่แขนขาแข็งชาจนไม่รู้สึกอะไรอีกได้พาเด็กหญิงน้อยคนนั้นกลับมาที่พรรคได้สำเร็จ ฉีกเปิดม่านหนาทึบออกไป

แล้วความอุ่นเอิบระหว่างพวกมันก็ได้แผ่ซ่านไปทั่วแขนขาทั้งสี่ ทั่วร่างราวกับน้ำแข็งที่เริ่มหลอมละลาย

เด็กหญิงคนนั้นก็คือตงฟางฉิงอวี่ในปัจจุบัน

ในตอนนั้น ฉินจิ่วเกอคอยเฝ้าดูนาง คอยจับจูงมือนาง เดินชมแมกไม้บุปผาบนภูเขาไปด้วยกัน

ไม่เกี่ยวว่าจะชอบหรือไม่ชอบ ด้วยนิสัยของเด็ก พอเห็นเพื่อนร่วมวัยก็รู้สึกถูกชะตาทันที พร้อมกับเวลาที่ล่วงผ่าน เด็กทั้งสองที่ก้าวเดินไปด้วยกันยิ่งนานก็ยิ่งเคลื่อนห่างกันออกไป จากที่คุ้นเคยต่อกันก็กลายเป็นคนแปลกหน้า

ศิษย์น้องเล็กพบว่า ศิษย์พี่ใหญ่ที่เคยรักทะนุถนอมในตัวนางได้เปลี่ยนไปแล้ว ราวกับว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน

อารมณ์ของมันเริ่มดุร้ายรุนแรง ผลักไสนางออกไป ทั้งยังเริ่มใช้อำนาจข่มเหงฮุบเอาทรัพยากรศิษย์ร่วมสำนักมาเป็นของตน

นับแต่วันนั้น ศิษย์พี่ใหญ่คนเดิมก็หายไป แทนที่ด้วยปีศาจตัวหนึ่ง กลายเป็นความทรงจำที่แสนเหน็บหนาวดุจน้ำแข็ง

จนมาถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่าศิษย์พี่ใหญ่ที่รักใคร่เอ็นดูนางในที่สุดก็กลับมาแล้ว!

ดูเหมือนว่ามันจะสามารถจับจูงตนก้าวเดินไปบนทุ่งบุปผาแมกไหม้ พาตัวเองไปฟังเสียงสกุณาขับขานได้อย่างที่เคยเป็น

เพียงเสี้ยวพริบตา คนทั้งสองก็ใกล้ชิดกัน ได้รู้จักที่จะรักษาสิ่งล้ำค่าของตน ปกป้องกันและกัน แตะสัมผัสลงสู่สายใยหัวใจที่อยู่ลึกที่สุด

วันต่อมา ฉินจิ่วเกอขณะบิดขี้เกียจอยู่บนเตียงตัวเองก็ถูกอาวุโสใหญ่ปลุกให้ตื่น ฉินจิ่วเกอรู้ผิดชอบชั่วดี เมื่อคืนจึงนั่งนิ่งเป็นภูผาปักหลั่นไม่ทำอะไรจาบจ้วงเกินเลย นอกจากเปลี่ยนกางเกงในไปตัวหนึ่งแล้ว ทุกอย่างก็งดงามสมบูรณ์ดี

“ตื่นได้สักที!”

อาวุโสใหญ่ไม่ได้มีโทสะ เมื่อคืนพรรคหลิงเซียวต่ำสูงสามร้อยคนล้วนได้กินดื่มไอรักกันจนพุงกาง

“ท่านอาจารย์จะปลุกข้าทำไมแต่เช้า ” ฉินจิ่วเกอพลิกตัวเข้าหาเตียง มันเหนื่อยล้าจนตาแทบปิด อยากจะหลับอีกสักงีบ

“ศิษย์น้องเจ้าเกิดเรื่องแล้ว ฝึกวิชาจนธาตุไฟแตก!” อาวุโสใหญ่เห็นท่าทางไม่เอาอ่าวของฉินจิ่วเกอก็เริ่มสะสมเพลิงพิโรธอยู่ในใจ

“เจ้าอ้วนน่าตาย?”

ฉินจิ่วเกอลืมตาโพลง ความง่วงมลายหายเป็นปลิดทิ้ง

“ไม่ใช่” อาวุโสใหญ่ส่ายหน้า เรื่องเกิดขึ้นปุบปับจนเกินไป และปัญหานี้แม้แต่มันก็ยังไม่อาจคลี่คลายได้ “เป็นเจ้าเด็กลั่วเฉินนั่น”

“ตัวละครเอกน่ะหรือ?”

ฉินจิ่วเกอตาขยายกว้าง ทว่าร่างกลับนอนนิ่งเหมือนศพ หากมีคนบอกว่ากฎสรรพสิ่งก็ตายได้เหมือนกัน ฉินจิ่วเกอจะยอมเชื่อให้ก็ได้

แต่มาบอกว่าพระเอกเกิดเรื่อง ทั้งยังเป็นเหตุธาตุไฟแตก ฉินจิ่วเกอไม่มีทางเชื่อเด็ดขาด

“ไม่น้าา”

ฉินจิ่วเกอเริ่มมึนงงสับสน คนง่วงนอนคิดหลับใหลขึ้นมาอีกครั้ง ทำท่าน่ารักลากเสียงยาวเหยียด

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท