“ประเสริฐ ในเมื่อมาแล้ว ทุกคนตามข้าออกไป พายุเพิ่งสงบลง กองคาราวานไปไม่ได้ไกลเท่าใด นอกจากพวกมันจะทิ้งสินค้า”
นายเหนือที่สามเตะเก้าอี้กลิ้งโค่โร่ ชักขวานออกมากวัดแกว่ง ยกชูอาวุธวิ่งออกไป
นายที่สองปากแหลมเล็ก หน้าตาท่าทางต่ำช้าโดยแท้จริง นัยน์ตาโจรร้ายสาดประกายวาบ “อีกฝ่ายสามารถผ่านพายุมาได้โดยไม่ถูกกลบฝัง หมายความว่าในขบวนมีมือดี อาศัยเพียงเจ้าเกรงว่าไม่อาจปิดการค้ารายนี้ได้”
“กระต่ายวิ่งเดี๋ยวโดดเดี๋ยวหยุด เจ้ามีอะไรก็พูดออกมาให้ชัดเจน” สิ่งที่นายที่สามเกลียดชังที่สุดคือวาจาสองแง่สองง่ามของนายที่สอง ต้องถ่มน้ำลายคำรามออกมา
“ก็ได้ พวกเราลมอำพันยกขบวนออกไปทั้งหมู่บ้าน บุรุษล้วนเชือดทิ้ง สตรีฉุดกลับมา รอจนขายสินค้าจากขบวนคาราวานที่เมืองล่วนโต้วหมดสิ้น ถึงตอนนั้นพี่น้องทั้งหลายจะได้เสพสุขครึ่งเดือน”
นายใหญ่ออกคำสั่ง ยังคงเป็นมันที่มีสิทธิ์ขาดทุกประการ กองพลทั้งหลายเร่งร้อนไปยังประตู
หวังซานออกคำสั่งขบวนสินค้า ยากจะเคลื่อนไปด้านหน้า เพียงสามารถขยับไปในหลุมทรายได้ไม่กี่ก้าว พายุที่เพิ่งสงบไปก็ม้วนถล่มเข้าใส่อีกครา
“ประเสริฐมาก ในพายุสลาตันการมองเห็นย่ำแย่ยิ่ง พวกโจรเหล่านั้นอาจหาพวกเราไม่เจอ” หวังซานมีความหวัง ไม่ว่าผู้ใดก็ไม่คิดประมือกับพวกโจรร้ายที่เพียงเห็นเงินอยู่ในสายตาพวกนั้น
หากนี่เป็นบนทางหลวง จ่ายเงินออกไปสักเล็กน้อยอาจคลี่คลายเรื่องราวได้ น่าเสียดายครั้งนี้ส่งตนเองมาถึงปากถ้ำเสือ เพียงความประมาทเลินเล่อเล็กน้อย ไม่แน่ว่าชีวิตยังต้องทิ้งไว้ที่นี่
“ลองดูก่อนเถอะ” พิสุทธิ์ไพศาลที่พลังฝีมือสูงสุดนั่นออกปาก หากอีกฝ่ายฝีมือไม่เท่าใด จ่ายค่าผ่านทางเล็กน้อยก็พอแล้ว
เพียงเกรงว่าเกิดต้องเผชิญผู้เข้มแข็ง รวบไปทั้งคนทั้งสินค้า นั่นจึงอันตรายถึงชีวิต
ฉินจิ่วเกอฝืนถ่างตามองเส้นขอบฟ้าโล่งผ่านม่านพายุทรายเหลือง การค้าที่ดูท่ากำลังจะสำเร็จ…
ยามนี้ กลับพลันมีคนยื่นมือมาคิดหมายฉกชิงสินค้า ไม่ง่ายดายปานนั้น
พายุสลาตันพัดกวาดอาละวาด เชื่อมโยงผืนฟ้าและแผ่นดินเข้าเป็นผืนเดียวกันอย่างแน่นหนา ทั้งกองคาราวานเมื่อหลุดเข้าไปภายใน ไม่ว่าคนหรือม้าล้วนไม่อาจทรงกายมั่น
พลันมีเสียงฝีเท้าม้าดังขึ้น ภายในพายุทราย ปรากฏเงาร่างคนโผล่ขึ้นมาหลายสิบร่าง พลังไม่ธรรมดา
รอจนลมพายุหยุดลงชั่วขณะ ทุกผู้คนเบิกตาขึ้น ครึ่งซีกร่างถูกกลบฝังอยู่ในทรายเหลือง มีบ้างบางคนจมลงไปถึงคอ
ฟ้าสดใสดินสงบนิ่ง เงามรณะหลายสิบร่างฉีกม่านทรายเหลืองออกมา ท่ามกลางพวกมันกอปรไปด้วยจอมโจรเลื่องชื่อทั้งสาม เดินส่ายอาดๆ ออกมา
“มิผิด เกรงว่ามูลค่าไม่ต่ำกว่าหมื่นศิลาวิญญาณ การค้ารายนี้ไม่เลวเลย รอจนพี่ชายทั้งหลายได้เงินไป ถึงตอนนั้นพวกเราลมอำพัน แต่ละคนจะได้สะใภ้ใหม่เข้าบ้าน!”
นายใหญ่โจรนัยน์ตาแดงก่ำ หัวเราะจนสภาพไม่อาจมองดูได้ ภายในขบวนคาราวาน ต่างแผ่กระจายบรรยากาศหนักหน่วงร้อนรน
“นายใหญ่ปราดเปรื่องยิ่ง!” ปราณสุริยันร่วมสิบร่ำร้องตาม จิตต่อสู้พุ่งสูงเต็มร้อย แทบคิดกลืนกินพวกมันทั้งหมดในกองคาราวานให้สิ้น ณ ตรงนั้น
หวังซานเหงื่อเย็นไหลหลั่งไม่หยุดยั้ง เพียงเกรงกลัวต้องเผชิญพบโจรร้ายทั้งฆ่าคนทั้งชิงทรัพย์ ต้องก้มหัวงอราวกุ้งเผา ขอเพียงไม่ขาดมารยาท เรื่องราวอาจสามารถเจรจาประนีประนอมได้
“พี่จอมโจรท่านนี้ พวกเรากองคาราวานเพิ่งเดินทางมา รบกวนสถานที่สูงส่ง ยังหวังพวกท่านเมตตาละเว้น” มันหยิบยื่นแหวนมิติวงหนึ่ง มูลค่าราวพันศิลาวิญญาณ แน่นอนว่าไม่ต้องเจ็บปวดรวดร้าวไปถึงหวังซาน
เครื่องบรรณาการหนึ่งพัน เท่ากับกองคาราวานขาดรายได้ไปหนึ่งพัน ทว่ากลับไม่มีผู้ใดกล้าไม่พอใจ อีกฝ่ายเป็นถึงพิสุทธิ์ไพศาลขั้นปลาย ชนชั้นผู้เข้มแข็งเช่นนี้ แม้แต่ในเมืองซวนอู่เองยังมีไม่มาก
“ยังไง เห็นพวกเราลมอำพัน ยังไม่เลวกระมัง?” นายใหญ่ตะครุบแหวนมิติอย่างละโมบ ดวงหน้าชั่วช้าแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนลงหลายส่วน คนยืดกายสูงส่งเหนือหล้า
“ใช่แล้ว สถานที่สูงส่งเขาสูงธาราริน คนสง่าเคหางาม” หวังซานกล่าววาจาเยินยอปอปั้น เกรงว่าในกลุ่มลมอำพัน หากมีพวกได้กลิ่นเลือดกระอักคนออกมาอีกฝูงหนึ่งก็ย่ำแย่แล้ว
“เด็กๆ!” นายใหญ่คำรามออกคำสั่ง มือปืนยาวหมอบลงกับพื้นหลายสิบ ส่งเสียงดังสนั่น “นายใหญ่!”
“จงป่นสหายอันประเสริฐเหล่านี้ให้แหลกเป็นพิเศษ เอาเข้าไปในลมอำพันเรา ตุ๋นลงในหม้อเหล็ก เป็นมื้อดึกของเหล่าศิษย์ทั้งหลาย!”
สิ้นเสียง คนตาขาวในขบวนคาราวานบางคนต้องปัสสาวะราดออกมา ดันมาเจอกับพวกโจรกินเนื้อคนเข้าแล้ว!
หวังซานสีหน้าดำทะมึน หากยังไม่กล้าระเบิดโทสะ เมื่อพบเจอผู้กินคน วันนี้คงเป็นวันอับโชคแล้ว
“พี่น้องทั้งหลาย สับเป็นชิ้นเล็กๆ หน่อย เวลาใส่ลงไปซุปจะได้ไม่หกเรี่ยราด ลำไส้เครื่องในล้วนไม่เอา” นายที่สองร้องสั่งตาม ตระเตรียมโถมเข้าห้อมล้อมกองคาราวาน
“พวกเจ้าทำเกินไปแล้ว!” พิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางผู้นั้นไม่สบายตา เห็นเหล่ากองคาราวานต่างลืมมันไปอย่างน่าสมเพช ต้องเชิดศีรษะขึ้นตวาดว่า
“เหอะ ฆ่ามัน!”
นายที่สามไม่รีบร้อน อีกฝ่ายพลังไม่สูงส่ง อย่างมากก็เสียเวลาเพิ่มขึ้นหน่อยเท่านั้น
“ทำอย่างไรดี?”
ผู้ฝึกยุทธ์ชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางเอ่ยถามขึ้น หากมันและพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้นสองคนร่วมมือ กลับยังสามารถยันนายใหญ่เอาไว้ได้ ส่วนพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้นอีกหนึ่งคน เพียงสามารถสะกดนายที่สามไว้ได้เท่านั้น
ส่วนนายที่สอง เป็นชนชั้นพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง ทั้งฆ่าคนดื่มโลหิตมาตลอดทั้งตาปี ในระดับชั้นฝีมือเท่าๆ กันยากหาผู้ใดเทียบ ยากรับมือยิ่ง
หวังซานสับสนมึนงง ยามนี้สำนึกเสียใจว่าตนเองไม่ได้ร่ำเรียนวิชาฝีมือ ได้แต่ตะโกนเสียงดัง “พี่น้องทั้งหลาย เพื่อพิทักษ์รักษาชีวิตและทรัพย์สินของพวกเรา เสี่ยงตายกับพวกมันเถอะ!”
“ใช่แล้ว ฆ่าพวกมัน!”
“อย่าไปกลัว พวกเรามิใช่ไม่มีทางชนะ”
เรื่องราวเกี่ยวข้องกับชีวิตของคนทั้งหมด กองคาราวานเปลี่ยนเป็นพิโรธโกรธกริ้ว เพียงไม่ทราบว่าการศึกวันนี้ เป็นตายล้วนยากทำนายได้!
“แมลงตัวเล็กตัวน้อย ฆ่ามันให้หมด!” นายใหญ่ขี่ม้าเข้าใส่ขบวนคาราวานเป็นคนแรก มันไม่มองข้าง ตรงเข้าจัดการเข่นฆ่าพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางผู้นั้น
“เจ้าสองคน มากับข้า!” เพื่อต้านรับนายใหญ่ กองคาราวานถูกดึงขุมกำลังส่วนใหญ่ไปเกือบหมดสิ้น นายโจรทั้งสองข้างไร้คน ตรงเข้าสู่ใจกลางกองคาราวานทันที
ฉินจิ่วเกอนอนเอกเขนกบนรถบรรทุกสินค้า มือข้างหนึ่งกุมศีรษะ สีหน้าเหมือนคนเมา หยีตามองดูตำแหน่งที่นายโจรที่สองตะลุยเข้าไป
“ทั้งหมดนี่ของข้า!”
นายโจรที่สองคิดฉกฉวยโอสถบนรถม้า ยามนี้เอง พลันมีพลังวิญญาณสายหนึ่งทะลักพวยพุ่ง ปลิวละลิ่วเข้าใส่ฝ่ามือของมัน ปัดกระแทกมือของนายโจรที่สองออกห่าง
“ผู้ใด?” นายโจรที่สองไม่คาดว่ามีคนกล้าลงไม้ลงมือต่อมัน พ่อค้ากระจอกพวกนี้ ไม่สมควรมีมือดีอยู่มากเท่าใด
“ที่แท้เป็นเจ้า!” กวาดสายตามองทั่วทิศ มีคนหวาดหวั่นขวัญฝ่อจนปัสสาวะราด บ้างแกล้งนอนตายอยู่ใต้รถม้า บ้างก็อธิษฐานภาวนาต่อฟ้าแต่แรก
บนรถม้า มีบุรุษผู้หนึ่งนอนเอกเขนกอยู่ ก่อนจะโผล่ศีรษะขึ้นมา คนอายุยังน้อยกิริยางามสง่า อาภรณ์ขาวปลิวไสว
“ไสหัวไป!”
ฉินจิ่วเกอถ่มถุยเล็กน้อย เดิมทีตนเองไม่คิดตอแยแส่หาเรื่องให้มากความ ทว่าในกองคาราวานมีส่วนของมันอยู่ด้วย ไม่ว่าอย่างไรล้วนต้องเกี่ยวข้องแน่นอนแล้ว
แต่ไหนแต่ไรมา ฉินจิ่วเกอก็เป็นสุภาพบุรุษที่จิตใจดีงามคนหนึ่ง แน่นอน หากไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน
ผู้ใดคิดแตะต้องเงินทองของมัน ฉินจิ่วเกอก็กล้าขุดหลุมศพบรรพบุรุษมันสิบแปดรุ่น ผู้ใดกล้าขโมยเงินทองของมัน ฉินจิ่วเกอย่อมกล้าตัดตอนมันให้ไร้ลูกไร้หลานสืบสกุลไปเลย
ยามนี้นายโจรที่สองคล้ายคลุ้มคลั่งแล้ว มันไม่อาจอดรนทนรอได้อีกต่อไป ฉินจิ่วเกอถูกสถานการณ์บีบคั้นให้ลงมือ ต้องกระโดดลงจากคานรถ
“เด็กน้อย กล้ากล่าววาจาแบบนั้นกับข้า คิดอาศัยปราณสุริยันขั้นปลายของเจ้า เราผู้เฒ่าแค่สะบัดมือจิ้มใส่เจ้าก็ไม่มีชีวิตรอดแล้ว” นายโจรที่สองมองเห็นฉินจิ่วเกอ คนยินดีปรีดายิ่ง ต้องสั่งสอนมันให้หนักหน่วงหน่อยแล้ว
“พวกเราไปตีกันที่อื่นจะดีกว่า” ฉินจิ่วเกอยกนิ้วชี้ออกไปที่ไกล เกรงกลัวทำร้ายถูกสินค้าของตนเอง
“ใครสน!” นายโจรที่สองไม่แยแสกฎเกณฑ์ในยุทธภพ ข่มเหงผู้คนยังมาเลือกเสียหายมากน้อยอันใด มันส่งกำปั้นถาโถมเข้าใส่ ต้องการต่อยฉินจิ่วเกอให้ตายในทีเดียว
ยังดี ฉินจิ่วเกอรับไว้ด้วยฝ่ามือเดียว มันมีคุณสมบัติทางกายภาพที่แข็งแกร่ง รับหมัดเหล็กของอีกฝ่ายไว้กลับไม่ได้ยากลำบากเท่าใด
“หือ?” ตอนแรกนึกว่าเป็นเพียงเด็กน้อยหน้าละอ่อนไร้สมอง ที่แท้นับว่ามีความสามารถอยู่บ้าง นายโจรที่สองใช้ทักษะยุทธ์ตระเตรียมจู่โจมอีกครั้ง
ผู้ใดจะคาด ฉินจิ่วเกอกลับหมุนกายล่าถอย จากนั้นพลันสืบเท้าก้าวไปเบื้องหลังมัน หมุนกายพร้อมวิ่งหนี
“เรื่องอันใดกัน?” ตอนแรกที่พบฉินจิ่วเกอ นายโจรที่สองคิดว่ามันพบพานผู้เข้มแข็งไม่กลัวตาย ผู้ใดจะคาดกลับเป็นปีศาจตาขาว รับมันหมัดหนึ่งก็วิ่งหนีไป
“ไปตายซะ!”
นายโจรที่สองชื่นชอบการทรมานฆ่าคนมากที่สุด ดังนั้นคนหมุนกายไล่ล่าฉินจิ่วเกอ สองคนหนึ่งหน้าหนึ่งหลังวิ่งไกลออกไป พายุสลาตันพัดหวนกลับมาอีกครั้ง ลมหมุนหมุนวนก่อตัว หมุนดาวเขย่าบรรพต
ฉินจิ่วเกอหยุดเท้า คนหมุนกายกลับมายืนไพล่หลัง ประกายในแววตาสะท้อนความคิดต่อสู้ทำศึกเต็มเปี่ยม
“ตัวบัดซบ!” นายโจรที่สองไล่ล่าตามติดมานับร้อยเมตร สุดท้ายหยุดร่างลง เพียงเพิ่งหยุดยั้ง ลมมหาวาตภัยก็พัดม้วนทรายเข้ากลบฝังหัวแม่เท้าจนจมมิด
ทั่วทั้งฟ้าดินถูกอานุภาพพายุทรายครอบคลุมลงใส่ สามารถมองเห็นออกไปไม่เกินสิบเมตร ภาพฉากปรากฏการณ์ธรรมชาติที่กลบฟ้าทลายปฐพีเช่นนี้ มิใช่พลังอำนาจของมนุษย์จะสามารถระงับลงได้
อีกฝ่ายพลังฝีมือชั้นพิสุทธิ์ไพศาลอันหยั่งรากฝังลึก ทั้งยังเป็นโจรร้ายใจอำมหิต ฉินจิ่วเกอไม่กล้าซุกงำฝีมืออีก รีบชักกระบี่หนักออกมากระชับแน่นในมือ
นายโจรที่สองเองก็มีอาวุธวิเศษระดับยอดอยู่หนึ่งชิ้น เป็นศาสตราป้องกันเรียกว่ากระจกกำบังจิต สามารถสร้างเกราะกำบังหนาหนักขึ้นมาหนึ่งชั้น
“จอมโจรกระจอกปล้นชิงวิ่งราวทรัพย์ กลับร่ำรวยไม่น้อยนี่นา”
เมื่อต้องเผชิญเกราะกำบังจิตของนายโจรที่สอง ฉินจิ่วเกอแน่นอนว่าต้องอิจฉาตาร้อน สมบัติรักษาชีวิตที่แท้จริง แม้แต่นายโจรใหญ่ยังไม่อาจสับสังหารมันได้ในกระบวนท่าเดียว
“เห็นความสามารถแท้จริงของข้าแล้ว เจ้าก็ตายได้” พายุดุร้ายรุนแรงเกินไป นายโจรที่สองไม่กล้าเหินร่างขึ้นกลางอากาศ เพียงเพิ่งเอ่ยวาจาออกมาสองประโยค ลมสลาตันก็พัดม้วนทรายเหลืองมาทับถมพวกมันจนถึงช่วงเอว
ฉินจิ่วเกอหยีตา มือยกชูกระบี่หนักชี้ขึ้นฟ้า คาอยู่เช่นนั้นจนช่วงแขนปวดร้าว
วิ้วววววิ้ววววว!
พายุทรายซัดมาอีกครั้ง ฟ้าดินพลิกคว่ำคะมำหงาย ทะเลเม็ดทรายกลืนกินทั่วทั้งแดนรกร้าง เมื่อสายลมและผืนดินสงบลงอีกครั้ง คนทั้งคู่ จากลำคอลงไป ล้วนถูกกลบฝังอยู่ในทราย
“ย่าห์!”
นายโจรที่สองทนไม่ไหวแล้ว มันทลายทรายออกลงมือจู่โจมก่อน มันสลัดหลุดจากกองทรายหนักหลายร้อยจิน กางกรงเล็บอินทรีตะปบใส่
ฉินจิ่วเกอสับกระบี่ลงดังผ่าฟืน ใบกว้างหนาของกระบี่หนักไร้คมขัดขวางกรงเล็บที่ตะปบมา พลังอำนาจมหาศาลจู่โจมใส่สองแขน
ฉินจิ่วเกอยังติดอยู่ในทราย คนถูกแรงกระแทกจนร่างถอยไปเจ็ดแปดเมตร แทบถูกกองทรายกลบถมจนมิด
“เพียงนี้เท่านั้น!” นายโจรที่สองสะกิดเท้า ผืนทรายราบเรียบไร้ระลอกปรากฏเป็นหลุมขนาดใหญ่ยักษ์
“แค่โจรอันดับสอง ข้าศิษย์พี่ใหญ่จะตีอสูรมารร้ายภูตผีเจ้าให้กระเจิง!”
ฟึ่บบบบ
ฉินจิ่วเกอสลัดหลุดจากกองทรายที่ห่อหุ้มไว้ ดึงรั้งกระบี่เตรียมสู้ศึก ใช้เคล็ดท่าร่างมารมายาเปลี่ยนตำแหน่งแห่งที่ ย้ายดาราเคลื่อนสัประยุทธ์
ในทะเลทรายเหลืองอันราบเรียบ ท้องฟ้ากว้างไกลสุดสายตา ทั่วทั้งสี่ทิศเต็มไปด้วยสัตว์อสูรทะเลทรายเคลื่อนไหวตลอดเวลา ให้ความรู้สึกลี้ลับขึ้นมาแก่ฉินจิ่วเกอเล็กน้อย ไม่อาจแยกแยะเส้นขอบทะเลทรายสีเหลืองและขอบฟ้าสีขาวได้อย่างชัดเจน
“ถ้ามีฝีมือเพียงเท่านี้ ก็ไสหัวไปซะ!” พลังวิญญาณชัดเจน นายโจรที่สองกำหมัดต่อยอัดอากาศ ม่านละอองเม็ดทรายสาดกระเซ็นทั่วฟ้าก่อนร่วงหล่นลงสู่พื้น ก่อนจะถูกกระแสลมม้วนพัดขึ้นสูงอีกครั้ง
“ไฮ่ห์!”
ฉินจิ่วเกอกวัดแกว่งกระบี่หนัก กวาดขวางตัดผ่า ก่อนสะบัดฟาดไขว้ไปมา ปาดเฉือนใส่ร่างของนายโจรที่สอง ทุกกระบวนท่าสะท้านฟ้าราวอสนีบาต สะท้านสะเทือนทั่วทั้งผืนทราย
“ฆ่า!”
ชั่ว ณ ขณะนี้ นายโจรที่สองใกล้ระเบิดแล้ว ปราณสุริยันกระจอกที่มันสามารถสะบัดมือก็ฆ่าได้ง่ายๆ
ใครจะคาด ฉินจิ่วเกอกลับต่อกรกับมันได้นานปานนี้
“ฝ่ามือกิเลนครองฟ้า!”
ฝ่ามือขนาดยักษ์วาดวิถี ดูเผินๆ คล้ายฝ่ามือจากเทพยดาบนสรวงสวรรค์คว้าตะปบ มาอย่างไร้ร่องไปอย่างไร้รอย
“หยุดให้แก่ข้า!”
ประกายวิญญาณระเบิดออก นายโจรที่สองสัมผัสอานุภาพมหาศาลจากฝ่ามือข้างนั้น คนไม่กล้าซุกงำฝีมือ ระเบิดพลังพิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลางออกมาจนสุดล้า
ตูมมมม!
.
.
.