พวกมันพบเห็นกลเม็ดยุทธวิธีการทะลวงด่านอันดับหนึ่งมาสารพัดสารพัน แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีการกัดทะลวงด่าน อาศัยคมเขี้ยวกายาเหล็กกล้ารวมทั้งหนังหน้าอันด้านหนาขั้นสุดยอด นับว่าเปิดหูเปิดตาผู้คน
ยามนี้ สีหน้าของอาวุโสใหญ่เรียกได้ว่าไม่กล้าเรียกคนหันมามองเลยทีเดียว น่าขายหน้านัก มันเป็นอาจารย์ มองดูสายตาหยอกเย้าทั้งสี่ทิศ ย่อมไม่มีวาจาจะกล่าว
เมฆขาวแผ่วพลิ้ว บนนาวาเรืองปัญญาปรากฏประกายแสงสว่างจ้า ลมหมุนสายหนึ่งดูดร่างของยอดคนเข้าไปภายใน ฝูงชนโดยรอบไม่อาจมองเห็นประสบการณ์ใดๆ ของฉินจิ่วเกอได้อีก
ประกายแสงสีขาวสว่างเจิดจ้าเสียดแทงนัยน์ตา จากนั้นเป็นผลึกสีรุ้งพรายพร่างพรายล้อม ชั่วเวลาราวม้าขาวลอดช่องว่าง พริบตาคนก็ถูกดึงดูดเข้ามาภายในนาวาเรืองปัญญา
นั่นคือสถานที่อันเป็นเอกเทศ ภายในผืนแผ่นดินเล็กจ้อยอัดแน่นด้วยพลังแห่งชีวิตจากธรรมชาติ
ขุนเขาเขียวสายน้ำไหล ป่าไผ่แซมลำธาร บุปผาประดับบนยอดหญ้า เสียงปักษากู่ร้องสดใสกังวานไกล
เป็นครั้งแรกที่โลกหล้าสงบงันได้ถึงเพียงนี้ ธรรมชาติคงอยู่อย่างสโมสร แสงอาทิตย์ร้อนแรงสาดส่อง ลูบไล้ลงบนผิวกายของผู้คน
ฉินจิ่วเกอคว้าจับอาภรณ์แสงสีรุ้งบนร่าง ต้องตะลึงอึ้งค้าง พลังแห่งฟ้าดินของสถานที่นี้ กลับเข้มข้นทบทวีกว่าภายนอกนับสิบๆ เท่า บันดาลให้ผู้คนจิตใจสงบกระปรี้กระเปร่า
ฉินจิ่วเกอยืนหยัด หันหน้าไปทางลำธารน้อยไหลริน ครึ่งท่อนล่างจมฝังอยู่ในพงหญ้าเขียวชอุ่ม ผีเสื้อสดใสสะบัดปีกโบยบินผ่านหน้าไป
“อะแฮ่ม” เสียงกระแอมกระไอดังขึ้นจากด้านหลังของฉินจิ่วเกอ หากมิได้ทำลายความสุขสงบร่มเย็นของสถานที่
ชายหนุ่มสะท้านเฮือกหมุนตัวกลับหลัง ด้านหลังของมันตั้งไว้ด้วยสิ่งปลูกสร้างทำจากศิลาน้อยๆ หลังหนึ่ง
ชายคาสะอาดสะอ้านปราศจากตะไคร่ ปลูกแซมด้วยบุปผาแมกไม้ที่ลงรากด้วยตนเอง
ปรากฏผู้ชราผู้หนึ่ง กำลังนอนเอกเขนกราวอรหันต์เมามายอยู่บนพื้นกระเบื้องเขียว สวมใส่อาภรณ์ผ้าป่านสีฟ้าซีดจาง ผมเผ้าขมวดมวยไว้บนศีรษะ
อีกฝ่ายกำลังสูดหายใจแผ่วเบา ระหว่างลมหายใจเข้าและออก ลมหายใจผสมกลมกลืนไปกับธรรมชาติรอบกาย
ทั้งไม่รบกวนสายน้ำลำธารไหล ทั้งไม่วุ่นวายต่อผีเสื้อล้อบุปผา
มันดำรงอยู่มาเนิ่นนานแล้ว ผิวหนังราวกับเปลือกนอกของต้นไม่อันเก่าคร่า เกศาแลหนวดเครายาวยืดเจ็ดแปดเมตรแผ่กระจายอยู่บนพื้น แทบปกคลุมไปครึ่งบ้านศิลา
หากกล่าวว่า หนวดเคราผมเผ้าขาวโพลนสามชุ่น คือระยะเวลาหนึ่งพันปี
เช่นนั้นชายชราผมขาวในห้องศิลา เกรงว่าคงอยู่มานานกว่าหมื่นปีแล้ว เส้นเกศาที่ยาวสยายเป็นสีเงินยวงราวเส้นสายของน้ำตกหลัวซาน ไม่ต่างจากเส้นบะหมี่ยาว ทุกเส้นอัดแน่นด้วยรสชาติแห่งความเก่าแก่โบราณ
“ผู้เยาว์ฉินจิ่วเกอเผ่ามนุษย์ คารวะผู้อาวุโส” คำร่ำลือว่าไว้ ผู้เฒ่าเรืองปัญญาอยู่มานานกว่าแสนปี หากความสามารถของมันไม่เลวร้ายจนเกินไป ขอบเขตของมันย่อมไม่ต่ำเตี้ยแน่นอน
ผู้เยาว์ที่มากด้วยมารยาทมักได้รับความนิยม ฉินจิ่วเกอจึงคารวะทักทายอย่างนอบน้อมยิ่ง หวังให้อีกฝ่ายบังเกิดความประทับใจแรกพบหน้า
หากลอบวิจารณ์รูปลักษณ์ภายนอกของผู้เฒ่าเรืองปัญญา สามารถกล่าวว่าสภาพของมันคือการผสมผสานระหว่างเมืองและชนบทโดยแท้
เพราะผมเผ้าหนวดเคราที่ยาวถึงหลายเมตร จึงยิ่งตอกย้ำว่าเฒ่าเรืองปัญญาทำได้เพียงนอนหงายมองฟ้า ไม่อาจขยับตัวไปไหนได้
หรือไม่เช่นนั้น ก็อาจเป็นเพราะขณะก้าวเดิน คนสะดุดเข้าใส่ผมเผ้าหนวดเครายาวจนล้มหงายชี้ฟ้าก็อาจเป็นได้
มิน่าเล่ามันที่อยู่ว่างไร้เรื่องราวจึงหาเรื่องหลอกลวงแรงงานฟรีมาช่วงใช้ การมาทดลองประสบการณ์ใช้แรงงานหนึ่งร้อยปีบนนาวาเรืองปัญญานี้ ที่จริงก็มีเหตุผลอยู่
“อืม เจ้าคิดค้นวิธีทะลวงฝ่าที่….” เฒ่าเรืองปัญญาปิดตา มือขวาวางไว้บนลำคอ ใช้มือซ้ายลูบจัดคิ้วยาวขาวโพลน “ค่อนข้างแปลกใหม่อยู่บ้าง”
มิผิด มันพบเห็นมาทั้งพวกที่มีกึ๋นและพวกที่โง่ทึบ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนใช้วิธีคนกัดหมามาฝ่าด่านสุนัข เฒ่าเรืองปัญญาอายุขัยยาวนาน นับว่าพบเห็นมามาก อา เด็กน้อยนี้มิใช่คนดีแน่นอน!
ฉินจิ่วเกอลูบปลายจมูกด้วยความอับอาย เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ไหนเลยไหนเลย สามพันวิถีเต๋าย่อมมีทางสำเร็จ ผู้เยาว์เพียงปล่อยการกระทำตามธรรมชาติ ไม่ทราบหลังจากนี้ เป็นการทดสอบอันใด?”
ควรเข้าใจว่า ฉินจิ่วเกอเองก็มิใช่คนไร้รสนิยม
มองดูผู้เฒ่าเรืองปัญญา ไม่ต่างจากนางแมงมุมถ้ำผานซือที่แผ่ใยออกดักรอเหยื่อ น่าเสียดายที่เพียงเป็นบุรุษ รอดูว่ามันจะปฏิบัติต่อพระถังซัมจั๋งเยี่ยงไร มันมิใช่คนนี่นา
“หากคิดได้ผลอู๋เลี่ยงสดๆ ไป มีสามด่าน เจ้าผ่านด่านแรกมาแล้ว ต่อไป สมควรเป็นทดสอบข้า” เฒ่าเรืองปัญญาใบหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึก ยังคงหลับตา เอ่ยอย่างไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะลืมตาตื่น
ฉินจิ่วเกอถามยืนยัน “ถามคำถามใดก็ได้ใช่หรือไม่?”
“เราผู้เฒ่าอยู่มานานหลายหมื่นปี เรื่องบนพื้นโลกล้วนทราบ เรื่องบนสวรรค์นับว่ารู้บ้างพอประมาณ เจ้าสามารถเลือกถามได้ตามใจชอบ หากสามารถถามเราผู้เฒ่าจนคำตอบได้ เจ้าก็ผ่านไปด่านที่สาม หลายร้อยหลายพันปีมานี้ ผู้คนมากมายทายปริศนาข้า กลับไม่อาจไล่ข้าจนมุมได้ ล้วนแล้วแต่มีไอคิวต่ำกว่าเราผู้เฒ่า”
เอ่ยถึงเรื่องผลทั้งหลายในสมองของมันหลายต่อหลายครั้ง เฒ่าเรืองปัญญาล้วนไม่กล้าส่ายศีรษะ
มันส่ายศีรษะหนึ่งครั้ง ผลเรืองปัญญาล้วนหล่นกระจายเกลื่อนพื้น ตกผลึกเป็นภูมิปัญญาแห่งมนุษยชาติ มันถามไถ่ตนเอง ยังมีผู้ใดทรงภูมิปัญญาไร้ผู้ใดเทียบเทียมเช่นมันได้อีก
“ว้าวว ด่านนี้ปลอดภัยยิ่ง ถูกใจข้าจริงๆ” แค่เรื่องไร้สาระ ฉินจิ่วเกอชื่นชอบกระทำเรื่องราวประดานี้ที่สุด เรื่องที่คาดเดาไม่ได้ ทั้งไม่จำเป็นต้องใช้ความชำนาญการใดๆ
มีปัญญาไปก็ไม่มีประโยชน์ ที่สำคัญคือต้องมี EQ สูง รู้จักวางกลยุทธ์ จึงจะเอาชัยได้
เหมือนอย่างฉินจิ่วเกอ ตอนนี้ขาดเพียงผูกเนกไทสวมสูท ยืนเชิดหน้าชูตาอยู่นอกเรือนศิลา ก็จะเป็นตัวแทนแบบอย่างของบุคคลที่ประสบความสำเร็จแล้ว
“ช้าก่อน” ลมหายใจหยุดชะงัก เฒ่าเรืองปัญญาโบกมือเบาๆ คราหนึ่ง มิติรอบด้านพลันบิดเบี้ยว ภาพทั้งสี่ทิศแปรสภาพอีกครา
ทั่วทั้งนาวาเรืองปัญญาคือห้วงมิติเอกเทศรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ภายในพรั่งพร้อมทั้งสี่ฤดูกาลและกลางวันกลางคืน มีทั้งจันทราและพิรุณ ขนาดกว้างใหญ่ไพศาล หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง
สายธารป่าไผ่ยามนี้ล้วนอันตรธานหาย ที่เข้ามาแทนที่ ก็คือจัตุรัสขนาดมหึมา
จัตุรัสนี้ตั้งอยู่กึ่งกลางบึงน้ำ โดยรอบเรียงรายด้วยตำหนักทางเดินต่างๆ มากมาย แทรกแซงไว้ด้วยสวนป่าภูเขาจำลอง
ที่ไกลออกไป ยังมีหอสูงอยู่หนึ่งหลัง เหลี่ยมมุมประดับประดาด้วยชายคาสีทองอร่าม
ภายในตัวเมือง ปรากฏผู้คนมากมายสุดคณานับกำลังใช้แรงงานแก่ผู้เฒ่าเรืองปัญญา
บ้างก็ทำความสะอาดห้องหับ บ้างตัดไม้ บ้างขัดถูโต๊ะเก้าอี้ ทั้งหมดล้วนหมกมุ่นดื่มด่ำกับความปีติในการใช้แรง ไม่อาจปลดปล่อยตนเอง
พวกมันทั้งหมดล้วนเคยเป็นยอดคนเลื่องชื่อลือนามในทวีปฉงหลิง ในบรรดาพวกมันมีชนชั้นกลั่นดวงธาตุมากที่สุด
อันที่จริง หากสัมผัสรัศมีพลังในบรรดาพวกมัน ขอบเขตขั้นของผู้รับใช้ ราวกับสายวิชชุที่ซ่อนแอบอยู่ภายในเมฆฝนลมพายุ ถึงกับมีบางคนที่เหนือกว่ากลั่นดวงธาตุขั้นสูงสุดอยู่ด้วย
เมื่อพบเห็นคนนอกเช่นฉินจิ่วเกอ เหล่าคนที่สาละวนทำงานอยู่ต่างไม่มีท่าทีแปลกประหลาดใจอันใด นานทีก็ยกศีรษะขึ้นปาดเช็ดเหงื่อไคล พร้อมใช้โอกาสนี้มองมาทางเด็กน้อยด้วยสายตาสมเพช หยา มีคนรนหาที่มาอีกแล้ว ส่งตัวเองมาเป็นข้าทาสทำงานให้ตาเฒ่าเรืองปัญญาหนึ่งร้อยปี
ไม่มีเงินเดือน ไม่มีการเลื่อนขั้น ห้ามขาดห้ามลา น่าเวทนาไร้ความเป็นคนสิ้นดี
เฒ่าเรืองปัญญานอกจากไอคิวสูงสุดแล้ว มันกับฉินจิ่วเกอกลับคล้ายคลึงกัน อีกฝ่ายเองก็เป็นจอมทรราชผู้เชี่ยวชาญการทรมาณคน ไม่ว่ากลั่นดวงธาตุหรือกฎสรรพสิ่ง ต่อหน้ามันล้วนเป็นเพียงเศษขยะโดยเท่าเทียม
เช่นเดียวกัน ฉินจิ่วเกอเองก็จองหองพองขนไปทั่ว ตีอกชกหัวไม่กลัวผู้ใด
ไม่ว่าหลอมวิญญาณหรือปราณสุริยัน มันล้วนมองไม่เห็นหัว
“เอาล่ะ ต่อหน้าทุกคน เจ้ามีอันใดก็จงถามมา หากถูกข้าทายถูก เจ้าต้องยินยอมรับใช้ข้าที่นี่หนึ่งร้อยปี พวกมันจะบอกเจ้าเองว่าต้องทำอะไรบ้าง”
“อะไรนะ?” ฉินจิ่วเกอตะลึงค้าง กฎบ้ากฎบออะไรกัน ไฉนตัวมันไม่รู้เรื่องแม้แต่น้อย?
เดิมคิดว่าตนเองถูกหมาอีกฝ่ายไล่งับนับเป็นชะตาอนาถาแล้ว แต่ยามนี้ดูไป ผ่านด่านมาได้ไม่ใช่เรื่องดี หนึ่งร้อยปี อา คนเราจะมีร้อยปีสักกี่ครั้ง กาลเวลาหมุนผ่านเร็วรี่ หากไม่อาจล้มเฒ่าเรืองปัญญาได้ ต้องหมกอยู่ในนาวานี้ไปอีกศตวรรษ
“ถ้าหาก ข้าถามว่าถ้าหาก” ฉินจิ่วเกอกางนิ้วมือทั้งสิบออกไขว้ประสาน คล้ายกำลังเล่นบุปผา “ถ้าหากว่าข้าไม่รู้ว่าการทดสอบนี่มีกฎเกณฑ์มากมาย สามารถปล่อยข้ากลับไปได้หรือไม่?”
ผู้เฒ่าเรืองปัญญาทำท่าเหมือนเจ็ดนางเซียนแมงมุมถ้ำผานซือ พ่นใยแมงมุมออกรัดพันพระถังซัมจั๋งพลางกล่าว “เข้ามาแล้ว ยังคิดออกไปทั้งตัวหรือ?”
ฉินจิ่วเกอก้มมองทรวงอกตนเองร่ำร้องว่า “คนดีอย่างข้า ขายศิลปะไม่ขายตัว!”
“วาจาไร้สาระ ถ้าไม่มีหัวข้อปริศนา ก็ไปหยิบไม้กวาดแล้วมาปัดกวาดตึกตะวันออกของข้าซะ” ประกายตาอันการุณย์ของผู้เฒ่าเรืองปัญญาอันตรธานหาย เพียงพริบตาก็เปลี่ยนท่าทีเป็นโจวปาผีจอมหน้าเลือด เริ่มกดขี่ข่มเหงใส่ชนชั้นแรงงาน
ฉินจิ่วเกอกระทืบเท้า เฮอะ เจ้าคิดว่าข้าเป็นมังสวิรัติหรือ ต่อให้ไม่ใช่พระเอก แต่ก็ข้ามภพมาหลายรอบ เก่งฉกาจอย่างยิ่ง!
มองดูจัตุรัสและเมืองที่ตั้งอยู่ ภายในอัดแน่นด้วยผู้คนนับไม่ถ้วนใช้แรงงานราวม้าลา หลั่งน้ำตาขื่นขมราวท้องธาร สำนึกเสียใจว่าไม่ควรมาแต่แรก ฉินจิ่วเกอเรียนรู้ในทันที ตาเหลือบมองเห็นสี่ธวัชพัดโบกโบยอยู่ไหวๆ ในใจก็ตกลงใจแม่นมั่น
“ไม่ว่าคำถามใดล้วนถามได้จริงๆ?” ฉินจิ่วเกอเบิกตาจ้อง ไม่กล้าถามคำถามน่าเบื่อประเภทว่าในทะเลทรายมีทรายกี่เม็ดอะไรเทือกนั้นเด็ดขาด
ผู้เฒ่าเรืองปัญญารับคำอืมออกมาคำหนึ่งอย่างตัดรำคาญ ฝ่ามือในชายแขนเสื้อของมันเริ่มดีดลูกคิดคาดคำนวณแล้ว
วันนี้การค้ารุ่งเรืองดี ธงแดงโบกสะบัดพัดไสว นำพาหน้าโง่มาตัวหนึ่ง สมควรแจกจ่ายงานประเภทไหนให้มันดี?
เช็ดถูโต๊ะกวาดพื้นเทกระโถนหรือขัดส้วม การงานมากมายตัวเลือกหลายหลาก สามารถหารือกันได้ในภายหลัง
ฉินจิ่วเกอเม้มปาก ในอกอัดแน่นด้วยความประหม่า ยืดเขย่งปลายเท้าโบกธงทิวปลิวไสวอย่างขันแข็ง “ลมโชยธงโบยโบก ผู้อาวุโสท่านว่า ที่แท้เป็นลมที่เคลื่อนไหว หรือเป็นธงที่กำลังเคลื่อนไหวกันแน่นะ?”
มองดูสี่ธงที่สะบัดปลิวกลางสายลม ผู้เฒ่าเรืองปัญญาผิดหวังอย่างยิ่งยวด ดูท่าแล้วมันประเมินเด็กน้อยสติไม่สมประกอบนี่สูงจนเกินไป คำถามที่ทายออกมาธรรมดาอย่างยิ่ง มิได้เจิดจ้าจนเกินคาดคำนวณ หรือลึกล้ำสุดหยั่งดั่งมหาสมุทร
“ย่อมเป็นธงที่เคลื่อนไหว” ผู้เฒ่าเรืองปัญญาอ้าปากเอ่ยคำ
ฉินจิ่วเกอสีหน้าเรียบสนิท เม้มปากส่ายศีรษะ ผู้เฒ่าเรืองปัญญาเคราขยับส่ายไหว อ้าปากตอบอีกครา “เป็นเราผู้เฒ่าตอบเร็วเกินไป สมควรเป็นธงที่เคลื่อนไหว นั่นก็ไม่ถูก สมควรเป็นทั้งธงทั้งสายลมที่เคลื่อนไหว”
ฉินจิ่วเกอยังคงสั่นศีรษะ ดูท่าแล้วผู้เฒ่าเรืองปัญญาอยู่มานานนับหมื่นๆ ปี เรื่องอื่นไม่ต้องกล่าว แต่หนังหน้าของมันท่าทางจะด้านหนายิ่งกว่าตนเอง
ปริศนาจิ๊บจ๊อยเช่นนี้ ชั่วเวลาแค่ไม่กี่สิบวินาที มันยังเปลี่ยนคำตอบไปสามรอบ มิน่าเล่าไม่มีใครเอาชนะมันได้
น่าเสียดายยิ่ง ฉินจิ่วเกอหัวร่ออย่างชั่วร้าย หากเป็นเรื่องอวดเก่งปากกล้า ไม่มีผู้ใดเหนือกว่าตนเอง
“ล้วนมิใช่”
ฉินจิ่วเกออ้าปากกว้างสี่สิบห้าองศา เผยให้เห็นไปถึงฟันกรามขาววาววับ ก่อนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มสดใส ยิ้มอย่างจริงจังจริงใจยิ่ง
ผู้เฒ่าเรืองปัญญากำหมัดแน่น ไฉนจู่ๆ ไม่อาจควบคุมตนเองได้ขึ้นมา คิดทุบตีคนสักครา
“ผิดอย่างไร?” มันไม่พอใจแล้ว วาจาเปลี่ยนเป็นดุดันขึ้น สายตาแผ่พุ่งข่มขู่ใส่ฉินจิ่วเกอ ไม่ว่าอย่างไรเจ้าต้องเอาไม้กวาดไปปัดกวาดตึกตะวันออกให้ข้า ส่วนงานอื่นๆ ที่เหลือค่อยหารือกัน
เชื่อว่าผู้ใดที่ออกจากนาวาเรืองปัญญาไป ประสบการณ์งานทั้งหลายที่ผ่านพ้น ล้วนสามารถเขียนออกมาเป็นหนังสือโดดเดี่ยวร้อยปีได้
“เป็นใจต่างหากที่เคลื่อนไหว” ฉินจิ่วเกอเอื้อนเอ่ยออกมาห้าคำ ในใจลอบสั่นสะท้าน กริ่งเกรงเฒ่าเรืองปัญญาเปลี่ยนคำพูดอีก
ดั่งความคาดหมาย บนโลกใบนี้ ยอดคนมีไม่มาก แต่ที่หนังหน้าด้านหนากลับมีไม่น้อย
ในนั้นมีหนึ่งคน เป็นตัวละครหลักของเรื่องราว ข้ามภพมาสองชาติ เป็นสินค้าทดลอง หนึ่งในหนุ่มหล่อของพรรคหลิงเซียวศิษย์พี่ใหญ่ฉินจิ่วเกอ
นอกจากนี้ ระดับความด้านหนาของหนังหน้าตาเฒ่าเรืองปัญญา คล้ายไม่ได้ด้อยไปกว่ากันเท่าใด “อา ข้าเฒ่าชราความจำถดถอย ที่แท้เป็นใจที่เคลื่อนไหว ไม้โพธิ์เดิมไร้ต้น มีเพียงจิตกระจ่างดั่งกระจกใส ยังมิใช่จิตภายในสะท้อนจิตภายนอกหรอกหรือ?”
ฉินจิ่วเกอหายใจติดขัด เอาเถอะ ตนเองดูถูกความหน้าหนาของมันจนเกินไป มิน่าเล่าไม่มีใครสามารถเอาชนะมันได้ นี่มันเรียกว่าอะไรกันแน่
แน่นอน ผู้เฒ่าเรืองปัญญายังนับว่ามีใจเมตตา
หากมันใจดำอีกสักเล็กน้อย เพียงแค่มันยืนกรานนอนถ่างขาบนพื้นหลอกลวงคน รับประกันว่าต่อให้ฉินจิ่วเกอทำงานช่วงใช้ไปสามพันปี ยังไม่อาจทำงานชดใช้หนี้ก้อนใหญ่จนหมดสิ้น
.
.
.