เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 106 ระหว่างทางกลับบ้าน

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ลองดูจอมทรราชนั่นสิ ตอนนี้กำลังโบยบินอยู่กลางฟ้า ทะลุผ่านเมฆก้อนนั้น กระเด็นไปเมฆก้อนนู้น

“น้องชายก็พูดไป ต่อจากนี้ถ้ามีใครกล้ามารังแกเจ้า ให้บอกกล่าวนามกรของเราทั้งสามออกไปได้เลย พวกเรารับปากว่าจะขุดหลุมบรรพชนของมันออกมาแล้วกระทืบซ้ำสักหลายเท้าให้เจ้า”

สองผู้นำที่เหลือตอบรับอย่างพร้อมเพรียง “กระทืบมัน กระทืบมัน! ”

“พูดจริงนะ? ”

“จริงแท้ยิ่งกว่าเม็ดมุก”

“แน่แท้ยิ่งกว่าทองคำ”

เจ้าสมาพันธ์และเจ้าสำนักพูดไล่เลี่ยกัน แสดงความจริงใจออกมาอย่างสุดตัว ส่วนประมุขพรรคเดชมารระดับการศึกษาด้อยกว่า พอจะพูดจาจึงติดขัดกระอักกระอ่วนไปหมด ทั้งเม็ดมุกทั้งทองคำพวกเจ้าก็เอาไปพูดหมดแล้ว แล้วนี่จะให้ข้าพูดอะไรอีก?

บรรยากาศพลันแข็งค้างทันควัน เป็นความเงียบชวนให้หายใจติดขัด ฉินจิ่วเกอยังคงเบิกตาจับจ้อง ดูไม่ออกเลยจริงๆ ว่าประมุขเดชมารจะเป็นพวกหัวแข็งแบบนี้ สองหัวหอกที่เหลือเองต่างก็ประหลาดใจไม่แพ้กัน ยามปกติพวกมันเข้ากันได้ดี ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะเป็นคนจริงเช่นนี้!

เค้นสมองอยู่ครึ่งค่อนวัน ประมุขเดชมารคิดแล้วคิดอีกจนหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง กว่าจะพ่นออกมาได้สักประโยคหนึ่ง “เทียบกับมุกแล้วยังใหญ่กว่า เทียบกับทองแล้วยังเหลืองกว่า! ”

เจ้าสำนักลอบปาดเหงื่อบนใบหน้า เจ้าไม่มีอะไรจะพูดแล้วใช่ไหม ถึงได้คิดจะพ่นอะไรก็พ่นออกมาแบบนี้

ภายใต้คำสรรเสริญเยินยอของเจ้าสำนักเขาพิรุณ ประมุขเดชมาร และเจ้าสมาพันธ์อู่ซิ่ง ฉินจิ่วเกอที่อวดโอ่ชื่อเสียงท่านอาจารย์ก็ออกจากเมืองเทียนเอินไปอย่างหน้าใหญ่ใจโต ส่วนอาวุโสใหญ่ที่ได้ซ้อมมือจนอิ่มหนำก็รู้สึกเบิกบานใจไม่น้อย จึงไม่ได้เปิดฉากลงมือกับสามหัวหอกที่เหลือต่อ

หลังออกจากเมือง อาวุโสใหญ่ก็พาฉินจิ่วเกอเหาะเหินไปทางเขตนอกของเมืองเทียนเอินอย่างเร็วรี่ ระยะทางหลายหมื่นลี้ อาวุโสใหญ่ใช้เวลาเพียงสองวันก็นำพาลูกศิษย์ที่สภาพร่อแร่มาถึงผืนแผ่นดินใหญ่ได้แล้ว

ฉินจิ่วเกอรู้สึกเมาอากาศขนานหนัก พอเห็นท้องฟ้าเมฆขาวและทุ่งหญ้าเขียวชอุ่มก็รู้สึกจะอาเจียน

“ท่านอาจารย์ นี่ก็ไม่มีอันตรายใดแล้ว ไฉนยังต้องรีบเดินทางขนาดนี้ด้วย? ” ฉินจิ่วเกอนวดหน้า รู้สึกเหมือนเครื่องหน้าเคลื่อนผิดที่ผิดทางไปหมด ความเร็วในการเหินบินของอาวุโสใหญ่ช่างเหมือนนางฟ้าเทวดาที่ไม่ได้กางปีกเลยแม้แต่น้อย

“เจ้าจะไปรู้อะไร เจ้าเสียเวลาอยู่ในนาวาเสียครึ่งเดือน ถึงไม่แน่ว่าจะไปกระตุ้นให้พวกสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งออกหน้าเอง แต่ในเมืองเทียนเอิน ใครจะรับประกันได้ว่าจะไม่มีปีศาจเฒ่าฝีมือฉกาจออกมาตามหาตัวเจ้า สรุปคือไม่อาจนิ่งนอนใจโดยเด็ดขาด”

“เป็นพวกกลั่นดวงธาตุหรือขอรับ? ” ฉินจิ่วเกอสงสัย แม้แต่สี่กลั่นดวงธาตุยังไม่นับเป็นอะไร แล้วท่านอาจารย์ยังต้องกลัวอันใดอีก

อาวุโสใหญ่ส่ายหน้า หลังตระหนักว่าเดินทางมาถึงอาณาเขตของเผ่ามนุษย์แล้วจึงค่อยลดความเร็วลง “กฎสรรพสิ่งไม่อยู่ กลั่นดวงธาตุย่อมไร้หวาดกลัว แต่ข้าขอถามเจ้าอย่าง ขอบเขตของผู้ฝึกตนอย่างพวกเรา แบ่งออกเป็นกี่ช่วงชั้น? ”

ฉินจิ่วเกอกล่าวตอบ “หลอมวิญญาณ ปราณสุริยัน พิสุทธิ์ไพศาล กลั่นดวงธาตุ แหวกชำระกายา กฎสรรพสิ่ง และสุญญตาเจ็ดช่วงชั้น เอ๋? ไฉนกลั่นดวงธาตุและกฎสรรพสิ่งล้วนฟังคุ้นหู มีแต่แหวกชำระกายาที่คล้ายจะไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยเล่า? ”

รู้ว่าศิษย์ตนไม่ได้โง่เง่าไร้สมอง อาวุโสใหญ่จึงอดทนอธิบายให้ฟัง “เจ้าอาจไม่รู้ แต่นับจากกลั่นดวงธาตุเป็นต้นไป แต่ละขอบเขตย่อยที่ทะลวงผ่าน จำต้องผ่านทัณฑ์สวรรค์อันร้ายกาจ กลั่นดวงธาตุเก้าขั้น จำต้องผ่านทัณฑ์สวรรค์ทั้งเก้า จึงจะบรรลุขอบเขตเก้าดวงธาตุขั้นสูงสุด”

“หลังมาถึงจุดสูงสุดของกลั่นดวงธาตุ ถือว่าได้หลอมกลั่นดวงธาตุทองคำและดวงจิตดั้งเดิมสำเร็จแล้ว หากคิดทะลวงด่านสืบต่อ ไม่อาจสำเร็จได้ด้วยไอวิญญาณบริสุทธิ์ที่บรรลุถึงขีดสุดอีกต่อไป ไม่เพียงต้องเผชิญกับภัยคุกคามของฟ้าวิบัติ แต่ยังต้องมีพรสวรรค์และการหยั่งรู้ในวิถีเต๋าอันเป็นธรรมชาติร่วมด้วย”

“ข้ารู้ หรือก็คือต้องทำความเข้าใจในกฎเกณฑ์ให้ได้ใช่ไหมล่า! ” ฉินจิ่วเกอกล่าว

อาวุโสใหญ่กล่าวสืบต่อ ในน้ำเสียง ฟังออกได้ไม่ยากว่ามันปรารถนาในขอบเขตกฎสรรพสิ่งเพียงไร “คิดทะลวงสู่ขอบเขตกฎสรรพสิ่ง ฟ้าวิบัติที่คุกคามถึงชีวิตนั้นเป็นเพียงแค่เรื่องรอง แต่ที่สำคัญคือการหยั่งรู้กฎเกณฑ์ต่างหาก ข้าถามหน่อย กฎเกณฑ์ที่ว่านี้อยู่ที่ใด? ฟ้าดินผันเปลี่ยนทุกคืนวัน แต่ละปีล้วนมีฤดูกาลที่แตกต่าง ถึงรับรู้ได้แต่ไม่อาจเสาะพบ เป็นความว่างเปล่าเลื่อนลอยที่ยากจะตามหาเบาะแสได้”

เสียงถอนใจดังขึ้นคราหนึ่ง มันเองก็ติดอยู่ในขอบเขตเก้าดวงธาตุขั้นสูงสุดมานานมากแล้ว “กลั่นดวงธาตุร้อยคน มีสามคนสามารถขึ้นสู่เก้าดวงธาตุสูงสุด เก้าดวงธาตุสูงสุดหนึ่งพันคน สิบคนจึงสามารถหยั่งรู้กฎสรรพสิ่ง ดังนั้น ระหว่างกลั่นดวงธาตุและกฎสรรพสิ่ง จึงเพิ่มเติมขอบเขตแหวกชำระกายาหนึ่งด่าน หากทว่าผู้คนล้วนไม่ต้องการก้าวเข้าไป”

แหวกชำระกายาแข็งแกร่งหรือไม่? แข็งแกร่งยิ่ง อย่างน้อยต่อให้สี่หัวหอกผนึกกำลังโจมตี ก็ยังไม่อาจคว้าชัยชนะมาได้ กล่าวอีกอย่างคือ หนึ่งแหวกชำระกายา เทียบได้กับเก้าดวงธาตุสูงสุดอย่างน้อยห้าท่าน

แต่ทว่า ทันทีที่เหยียบย่างเข้าสู่แหวกชำระกายา นั่นก็คือจุดสูงสุดของการฝึกพลังวิญญาณ รวมทั้งเป็นจุดสิ้นสุดของผู้ฝึกตนเช่นกัน ซึ่งก็หมายความว่า หากทะลวงสู่ด่านแหวกชำระกายา จะไม่สามารถหยั่งรู้ถึงกฎสรรพสิ่งได้อีก

ดังนั้นบนมหาทวีปแห่งนี้ ผู้ฝึกตนน้อยคนนักที่ยินยอมพร้อมใจในการก้าวสู่ขอบเขตแหวกชำระกายา นอกจากจะเป็นตัวประหลาดเฒ่าใกล้ตาย จึงถูกสถานการณ์บังคับให้ทะลวงด่านออกไป ผู้คนทั้งหลายจึงไขว่คว้าไล่ตามหากฎสรรพสิ่ง การผนึกปิดหนทางความก้าวหน้าของตนเองเช่นนี้ เทียบกับการเข่นฆ่ากันแล้วยังขมขื่นทรมานกว่า

นั่นคือขอบเขตการทำลายตนเอง ไม่มีผู้ใดยินดีที่จะก้าวเข้าไป

“ท่านอาจารย์ ท่านยามนี้ก็คือเก้าดวงธาตุสูงสุดใช่หรือไม่?” ฉินจิ่วเกอถามคำถามที่ตนเองลอบประเมินไว้ ตนเองไม่ช้าก็เร็วย่อมฝึกปรือจนถึงขั้นกลั่นดวงธาตุ ถึงตอนนั้นออกท่องมายังเมืองเทียนเอิน ฉายเดี่ยวกลับมายังถิ่นเก่า

“อืม เมื่อมีสิ่งของที่เจ้าให้มา บางทีข้าอาจได้ลิ้มรสการทลายกฎสรรพสิ่ง เพียงแต่กฎเกณฑ์ช่างพร่าเลือนไม่อาจสัมผัสจับต้อง หากคิดเกาะกุมควบคุมไว้ เกรงว่าไม่ใช่เรื่องง่าย”

ผลอู๋เลี่ยงสด เป็นแก่นธาตุผลิตผลแปดพันปีจากพฤกษาสวรรค์ เป็นสมบัติวิเศษที่กาลเวลาและห้วงมิติบ่มครรภ์จนสุกงอม ประโยชน์ประโยชน์โพดผลของมันมาหมายสุดคณานับ รับประทานเข้าไปหนึ่งผล หากสามารถสัมผัสได้ถึงกฎดำรงอันแฝงเร้นในธรรมชาติ ความเป็นไปได้ในการก้าวเข้าสู่กฎสรรพสิ่งยกระดับพลังฝีมือยิ่งเพิ่มพูน

“ท่านอาจารย์อายุยืนหมื่นปี หนึ่งผลพอหรือไม่ ต้องการอีกสักหน่อยมั้ย?” กับอาวุโสใหญ่ ฉินจิ่วเกอนับถือมันเป็นดั่งบิดาบังเกิดเกล้าจากก้นบึ้งในจิตใจ ผลอู๋เลี่ยงสดมีค่าถึงปานไหน ล้วนไม่อาจแลกได้กับน้ำใจระหว่างคนต่อคน

“พอแล้ว รู้ว่าเจ้ารวย แต่เก็บไว้เองบ้างเถอะ การฝึกปรือต้องอาศัยวาสนานำพา แต่หากไม่มีความสามารถ ต่อให้มีทรัพยากรมากมายกว่านี้ล้วนไม่มีประโยชน์” อาวุโสใหญ่ลูบไล้ศีรษะของศิษย์รักอย่างรักใคร่เอ็นดู ไอ้หยา เด็กน้อยนี้ไฉนยิ่งมายิ่งดูสบายตาถึงปานนี้

เมื่อเข้าสู่เขตเมืองมนุษย์ อาวุโสใหญ่ยังคงพาร่างฉินจิ่วเกอเหาะเหินบิน จวบกระทั่งผ่านเข้าสู่ทะเลทรายผืนใหญ่ ที่นี่คืออาณาเขตของป่าปีศาจสวรรค์ที่ละแวกเมืองซวนอู่ บ้านอยู่อีกไม่ไกลแล้ว

ซ่าซ่า

ทะเลทรายแห้งแล้งไร้สิ่งมีชีวิต มีเพียงเศษกระดองเปลือกเกลืออันแห้งผาก ไม้สักต้นหญ้าสักท่อนไม่ปรากฏ บางครั้งค่อยปรากฏกลุ่มก้อนดงหญ้าเหลืองกรอบงอกเงยเป็นช่วงๆ นับแต่โบราณกาล กางกั้นการเชื่อมต่อระหว่างผู้คนภายนอกกับเมืองซวนอู่เอาไว้

บางครั้งบางคราวล้วนปรากฏเศษโครงกระดูกขาวโพลนผุดโผล่ขึ้น นั่นคือเศษซากแห่งโชคร้ายที่ทะเลทรายสำรอกออกมา ไม่ทราบเป็นกระดูกมนุษย์หรือสัตว์อสูร

อาวุโสใหญ่สะกิดเท้าบนพื้นหินเกลือแห้งผาก สูดลมหายใจเฮือก ดื่มด่ำกับธรรมชาติอันโหดร้าย ฉินจิ่วเกออดไม่ได้ ต้องเลียนแบบท่าทางของอาวุโสใหญ่บ้าง

“เจ้าสูดดมอันใด?” อาวุโสใหญ่ถาม

ฉินจิ่วเกอเอ่ยตอบอย่างซื่อสัตย์ “ข้าดมออกเป็นกลิ่นอายน่าสมเพชอวดดี และยังมีกลิ่นตัวเหม็นเปรี้ยวอีกด้วย”

“อืม ข้าเองก็ได้กลิ่นเหมือนกัน” อาวุโสใหญ่ผงกศีรษะ ด่านสุดท้ายก่อนถึงบ้าน อย่างไรก็ไม่สงบราบเรียบจนเกินไปอยู่แล้ว

“ฮ่าฮ่า น่าสนใจ” ทะเลทรายเบื้องล่างห่างไปร้อยเมตร พลันปรากฏกลุ่มหนูสกปรกซุ่มซ่อนใต้พื้นทรายทลายออกมาอย่างฮึกเหิมห้าวหาญ

ทั้งสามซุ่มแอบอยู่ภายใต้พื้นทะเลทรายมาเนิ่นนานแล้ว รอคอยบนเส้นทางที่ทั้งสองศิษย์อาจารย์ต้องเดินทางผ่าน

ตั๊กแตนตำข้าวเฝ้ารอคอยจักจั่น หารู้ไม่ว่าเบื้องหลังมันยังมีปักษารองับเหยื่อ เบื้องหลังปักษารองับเหยื่อ ยังมีคนกำลังง้างหนังสติ๊กรออยู่

และบางทีคนที่ง้างหนังสติ๊กรอคอยอยู่ก็ไม่รู้ ว่าเบื้องหลังของมันเองก็มีคนรอมันเหนี่ยวไกยิงนก จากนั้นจะใช้กฎหมายอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสัตว์ป่า จับกุมมันเข้าตารางอีกที

สรรพชีวิตบนโลก ล้วนสัมพันธ์ซึ่งกันและกัน ทุกที่ทางล้วนเป็นเวที หากมองไม่ออกย่อมเดาไม่ถูก

“พวกเราสามสุดยอดแห่งเมืองเทียนเอิน ซุ่มซ่อนรอคอยมานานปานนี้ นับว่ายากลำบากแท้ๆ”

คนทั้งสามผิวหนังเป็นสีเทาด่าง จมูกบานตาเล็กจิ๋ว ยังแต่งแต้มด้วยหนวดเคราหร็อมแหร็ม การแต่งกายมอซอซอมซ่อ ดูเผินๆ ธรรมดาอย่างยิ่ง หากจะมีที่ใดที่ไม่ปกติ ก็คือพวกมันหน้าตาอัปลักษณ์ยิ่ง ไม่ต่างจากมุสิกจริงๆ

“ระวังด้วย” อาวุโสใหญ่ออกปากตักเตือน “คนทั้งสามนี้คือแหวกชำระกายา ต่างจากสี่สวะเมื่อก่อนหน้านี้”

ดวงธาตุขั้นเก้าสูงสุด หากเทียบพลังการต่อสู้กับแหวกชำระกายา นับว่าห่างไกลกันยิ่ง

เมื่อเรียกตนเองเป็นสามสุดยอดเมืองเทียนเอิน เป็นตัวประหลาดที่ก้าวสู่แหวกชำระกายา ชีวิตนี้ไร้ความหวังก้าวหน้าต่อไป ทำตัวเป็นทรราชอาละวาดในเมืองเทียนเอินมาพันปี สี่กองกำลังเองก็ไม่ใคร่ยุ่งเกี่ยวกับพวกมันเท่าใด

“ข้าผู้นี้ช่างใบหน้าใหญ่โตนัก สามแหวกชำระกายา ถึงกับต้องตาข้าขึ้นมา” เมื่อต้องเผชิญกับสามยอดคน อาวุโสใหญ่โบกสะบัดมือขวา ตวัดผ้าขวางกั้นสายตาของฉินจิ่วเกอไว้ คนก้าวเดินออกไปบดบังเบื้องหน้า

“ท่านอาจารย์ ต้องการให้ข้าช่วยแบ่งเบาหรือไม่?” ฉินจิ่วเกอกระซิบถาม สัมผัสได้ถึงความเคร่งเครียดจากอาจารย์ของมัน

“เจ้า?” อาวุโสใหญ่เหยียด “พยายามหายใจไว้อย่าหยุด อย่าหาเรื่องให้ข้าก็พอแล้ว แหวกชำระกายาสามคน ยังพอถูๆ ไถๆ ต้านทานไว้ได้บ้าง”

“ข้าช่วยเขียนวงกลมได้นะ” ฉินจิ่วเกอถูกอาจารย์หมิ่นความสามารถ รู้สึกไม่ยินยอม ข้าเองก็มีข้อดีบ้างล่ะน่า

อาวุโสใหญ่รวบชายเสื้อขมวดมัดไว้อย่างแน่นหนา ถามอย่างเฉยเมย “เจ้าวาดวงกลมทำอะไร?”

“วาดวงกลมสาปแช่งพวกมันไร้บุตรหลานสืบสกุลไงล่ะ!” ฉินจิ่วเกอด่าทอ ปากคอเราะร้าย

อาวุโสใหญ่ปรายตาคราหนึ่ง เอ่ยว่า “สามสวะแห่งโลกผู้ฝึกตน ที่จริงเข้าสู่บั้นปลายแล้ว รอสักครู่ข้าจะส่งพวกมันไปเอง เจ้ารีบกลับไปพรรคหลิงเซียว ข้าจะตามไปทีหลัง เรื่องอื่นอย่าได้ยุ่งเกี่ยว และอย่าหาเรื่อง”

“ต้องเรียกอาวุโสสองและท่านอื่นมาหรือไม่?” ฉินจิ่วเกอถาม

อาวุโสใหญ่ยิ่งดูแคลน “นอกจากเลี้ยงเสียข้าวสุกแล้ว เรียกมายังทำข้าเสียสมาธิ หาประโยชน์อันใดมิได้ ข้าจะส่งเจ้ารอบหนึ่ง หากเด็กน้อยเจ้าวิ่งอืดอาดถูกคนไล่ตามทันก็สมน้ำหน้าแล้ว”

สามยอดยุทธ์เมืองเทียนเอินตั้งขบวนฟ้าดินมนุษย์สามพรสวรรค์ออกเป็นรูปสามเหลี่ยม ผนึกล้อมทะเลทราย ตรึงกาลอากาศเอาไว้ อาวุโสใหญ่ไม่กล้าประมาทอีกฝ่าย คนยกชูกำปั้นน้อยๆ ขึ้นฟาดใส่กลางหลังศิษย์รักเต็มเหนี่ยว

“ไหนว่าจะส่งข้าอย่างนุ่มนวลไงเล่า?” ฉินจิ่วเกอถูกห่อหุ้มด้วยพลังวิญญาณมหาศาล ร่างลอยขึ้นสู่กลางอากาศ เลื่อนไหลไปตามทิศทางมิติที่ถูกควบคุมไว้ พุ่งหลาวจากไปราวกระสุนปืนใหญ่ หลงเหลือไว้เพียงเงาลากยาวเป็นทาง

“เด็กน้อยนั่นคิดหนี!” หนึ่งในสามคิดไล่ล่าตามติด ทว่าเพียงขยับออกไปได้ครึ่งเท้าก็ต้องตกตะลึง

สายตาแข็งทื่อ ห้วงสมองคล้ายถูกกระแทกรุนแรง มึนเวียนศีรษะเล็กน้อย

นั่นเป็นความรู้สึกดังรักแรกอันอบอุ่น แสงแดดอุ่นอาบไล้กลางหาดทรายขาว ประดุจดั่งโฉมสะคราญใต้ผ้าคลุมหน้าโปร่งบางลับล่อรำไร วิ่งพลางหัวเราะร่าอย่างปล่อยจิตปล่อยใจ ทอดทิ้งรอยเท้าเป็นทางยาว

“ผลอู๋เลี่ยงสด!” สามสุดยอดมองเห็นแล้ว บนฝ่ามือของอาวุโสใหญ่วางไว้ด้วยวัตถุล้ำค่าเหนือโลกหล้า

ผู้ที่สามารถชิงผลอู๋เลี่ยงสดมาได้ ในประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาแสนปี สามารถนับนิ้วได้ ผู้เปี่ยมพรสวรรค์และวัตถุล้ำค่า มีคนหนึ่งถึงกับสามารถผูกมิตรกับสมาคมนักปรุงยาได้

สามสุดยอดแห่งเทียนเอินคงคาดไม่ถึง ฉินจิ่วเกอที่ทะลวงวงล้อมออกไปตะกี้ มีผลอู๋เลี่ยงสดอยู่ตั้งเจ็ดผลเชียวนะ

คนยากไร้ย่อมไร้จินตนาการ พวกมันคิดว่าผลอู๋เลี่ยงเพียงมีหนึ่งเดียว และนั่นก็อยู่ในมือของอาวุโสใหญ่ตรงหน้านี้เอง

ส่วนฉินจิ่วเกอที่ถูกส่งทะลุฟ้าออกไป อาศัยอานุภาพแห่งดวงธาตุทองคำท่องผ่านท้องฟ้าด้วยความเร็วสูง หนึ่งเท้าย่างก้าวข้ามดวงดารา ทะยานข้ามผ่านขุนเขาสายธารพันลี้ บินผ่านยอดหญ้าริมฝั่ง เสียงโครมครามหนึ่งดังขึ้น พลังวิญญาณที่อาวุโสใหญ่ใช้ส่งร่างฉินจิ่วเกอเหินบินมาหมดสิ้นลง คนร่วงดิ่งลงมาเหมือนนกปีกหัก

ฉินจิ่วเกอร่วงหกคะเมนตีลังกาลงมายังป่าปีศาจสวรรค์ ใบหน้าหล่อเหลาขาวผ่องของมันยามนี้เกลื่อนไปด้วยรอยดั่งแมวข่วน สายรัดเอวติดค้างอยู่บนยอดกิ่งไม้ คนห้อยต่องแต่งแกว่งไปแกว่งมากลางสายลม

“แมลงบินผ่านหน้าดังหวี่หวี่ แขนขาทั้งสี่แขวนค้างกลางอากาศ คนสลบไสลยังไม่ได้สติ

.

.

.

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท