เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 115 ผจญภัยในสวนสัตว์

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

อีกด้านหนึ่ง ฉินจิ่วเกอยังคงวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุดปาก “ยอดเขาโดยแท้ มองไกลๆ เหมือนหน่อไม้ มองใกล้ๆ เหมือนต้นอ่อน เจ้าบอกว่าชายแดนติดทะเลใช่หรือไม่ ในเมื่อบนดินไม่อาจอาศัย เช่นนั้นทุกคนไม่สู้โดดลงน้ำทะเล ผ่านไปสักสิบปีร้อยปีก็คงวิวัฒนาการกลายเป็นมนุษย์เงือกไปเอง”

ขม่อมของมันรู้สึกเหมือนใกล้ระเบิด เฒ่าเสียเยว่รู้สึกเหมือนตัวเองจะทนไม่ไหวแล้วจริงๆ หากต้องการฆ่าหมกส้วมเจ้าเด็กนี่ ตอนนี้ก็คือโอกาสอันดี

ไม่ ไม่ได้ๆ อย่างน้อยรอให้มันบรรลุพิสุทธิ์ไพศาลก่อน ค่อยกำจัดมัน แบบนั้นจึงค่อยมีคุณค่าหน่อย

สะกดกลั้นโทสะในใจก่อนเอ่ยออกมาว่า “คงเป็นเพราะช่วงร้อยปีมานี้ ที่นี่อาจเกิดภัยแล้งหนัก เจ้าวางใจเถอะ เรือนสมบัติของบรรพตสละฟ้าข้า มีสมบัติกองพะเนินเป็นภูเขา รับรองว่าเจ้าเห็นแล้วต้องตะลึงจนลืมขาไว้ที่นั่น”

ฉินจิ่วเกอกึ่งร้องไห้กึ่งหัวร่อ บีบหน้ายู่ยี่ “ฮ่าๆ เอิ๊กๆ ”

คิ้วเปลี่ยนเป็นตึงเรียบดั่งคันศร เฒ่าเสียเยว่กำหมัดแน่นจนตัวสั่น ทนไว้ ทนไว้ให้ได้!

พกพาเพลิงโทสะดั่งภูเขาไฟเตรียมปะทุมาถึงที่ทำการหลักของบรรพตสละฟ้า

บนเขาแม้แต่สุนัขสักตัวยังไม่มี ศิษย์เฝ้าประตูเองก็ไม่รู้ไปอยู่ไหนกันหมดแล้ว

ทุกที่ทางมีแต่กำแพงทรุดโทรมสีกระดำกระด่าง ปกคลุมไปด้วยหยากไย่ บนพื้นมีแต่หญ้าแห้งกรอบกระจายตัวอยู่อย่างแน่นขนัด เวลาย่ำเดินส่งเสียงกรอบแกรบคล้ายมีใครทำถังน้ำตาลหกอยู่แถวนั้น

“ไอหยา ผู้ฝึกวิชาปีศาจเองก็ต้องมีความเป็นวิญญูชนบ้างสิ อัตลักษณ์น่ะ รู้จักไหม! ” ตอนนี้ ตัวมันเองก็นับเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจไปแล้วครึ่งตัว ฉินจิ่วเกอที่เพิ่งเข้าก๊วนผู้ฝึกวิชาปีศาจได้ไม่นานแต่อุทิศตนเป็นอย่างยิ่ง จึงเริ่มกล่าวเหน็บแนม

“ยกตัวอย่างเช่นที่นี่ เพียงเพราะว่าเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจไม่ได้หมายความว่าจะต้องทำให้ตัวเองมีสภาพเหมือนผีตามไปด้วย นั่นเขาเรียกว่าป่วยจิตต่างหาก เจ้าดู แค่แขวนกะโหลกไว้สองใบบนประตูหน้านั่นก็แปลว่าที่นี่ต้องโหดเหี้ยมไร้ใจเสมอไปหรือ? อ่อนหัดเกินไปแล้ว! ไม่ว่ายังไงที่นี่ก็ยังเป็นสถานที่ฝึกตนอยู่วันยังค่ำ เป็นเหมือนโรงเชือดหมูโรงหนึ่ง! ”

เฒ่าเสียเยว่สีหน้าไม่แสดงความรู้สึก ทนไว้ ข้าต้องทนไว้ก่อน!

“แล้วก็ ผู้ฝึกวิชาปีศาจเองก็รักสะอาดได้เหมือนกัน แต่เจ้าดูถุงเท้าเหม็นเน่าตรงนี้สิ สภาพอย่างกับกระดาษเงินกระดาษทองเตรียมเผาให้บรรพบุรุษ ใครไม่รู้อาจนึกว่าบรรพตสละฟ้าถูกปล้น หายนะแท้ๆ ”

องคาพยพบนหน้าบิดเบี้ยวจนเหยเก หน้าผากร้อนวูบวาบ แทบพ่นไฟออกจากปาก

เฒ่าเสียเยว่กล่าวกับตัวเองในใจ ทนไว้ ทนอีกนิด!

ขณะที่คิดก็เดินมาถึงขั้นบันไดศิลาเขียวที่สภาพดูไม่จืด เฒ่าเสียเยว่เดินนำหน้า ฉินจิ่วเกอเดินตามหลัง

มันกลัวว่าหากขืนต้องมองหน้าเหม็นๆ ของฉินจิ่วเกอไปมากกว่านี้ ตนอาจสูญเสียการควบคุมเข้าจริงๆ

ผจญกับมารตัวนี้ แม้แต่ตนที่เป็นถึงกฎสรรพสิ่งก็ยังหักห้ามใจตัวเองไม่อยู่

“ข้าว่า อาวุโสท่านช่วยกล่าวชี้แนะข้าสักหน่อยได้หรือไม่”

ฉินจิ่วเกอที่มองว่ากิจการบรรพตสละฟ้าเป็นของตนเองมาแต่ไหนแต่ไรก็เริ่มกล่าวเหน็บแนมสืบต่อ “บ้านหลังนี้ยิ่งอาการหนัก สภาพเหมือนหลุมศพอากงอาม่าที่ไหนถูกรื้อแล้วสร้างใหม่ แม้จะขัดพื้นจนเงาวับ แต่นั่นเป็นลางบอกถึงภัยร้าย กำแพงก็ไม่รู้จะโปรยเถ้ากระดูกไว้ทำไม ยังมีดอกไม้พวกนั้น ไหนจะ…..”

ผึง!

ทนไม่ไหวแล้ว มรรคาของกฎสรรพสิ่งหักสะบั้นแล้ว

เฒ่าเสียเยว่เป็นพวกอำมหิตถึงกระดูก หนึ่งคือไม่ทำ หากกระทำต้องทำให้ถึงที่สุด

มันหมุนกายกลับไป ไม่สนใจฉินจิ่วเกอพล่ามไร้สาระ ต้องสั่งสอนให้มันรู้จักเสียบ้าง

ปลายเท้าหวดออกเหมือนแส้ พุ่งเข้าหาฉินจิ่วเกอที่ยังคงจ้อไม่หยุด

ครั้นแล้วฉินจิ่วเกอก็กลายเป็นลูกปืนใหญ่พุ่งลอยออกไปไกลร้อยเมตร ทะลุผ่านเขตในของบรรพตสละฟ้า ไถลไปถึงอาคารหลักของสำนัก

ระหว่างทางยังโค่นเอากำแพงหักถล่มไปนับสิบ บ้านที่สร้างขึ้นหยาบๆ ถล่มไปมากกว่าครึ่ง สิ่งก่อสร้างทั้งหลายพังทลาย

จนท้ายที่สุด สุสานที่มืดหม่นอึมครึมแห่งนี้ก็เริ่มมีเสียงเคลื่อนไหวดังออกมาจากภายใน

ตอนแรกเป็นเสียงอึกทึกชุลมุน จากนั้นเสียงติงติงราวไข่มุกหล่นลงบนจานหยก ตามมาด้วยหลังคาบ้านเรือนที่ถล่มลงมา พร้อมกับร่างของชาวนาชาวเขาที่กลิ้งหลุนๆ ออกมานับสิบ

ใบหน้าของพวกมันมีแต่ฝุ่น กล่าวอย่างตื่นตระหนก “ใครมันช่างกล้ามาเล่นงานบรรพตสละฟ้าเรา!”

“คงจะมาปล้นยอดเขาเราไม่ผิดแน่ จับตัวเจ้าหมอนี่ไว้!”

“บัดซบ ใครเหยียบเท้าข้า”

“เลิกพล่ามไร้สาระได้แล้ว รีบไปแจ้งแปดประมุขแล้วจัดการเจ้าเด็กนี่ซะ”

คนนับร้อยกรูกันออกมา ต่างคนต่างถือกระบองท่อนไม้กันครบมือ

ผู้ฝึกวิชาปีศาจคือพวกที่ไม่กล้าเปิดเผยโฉมหน้าสู่สาธารณะ แน่นอน ตัวตนอย่างเฒ่าเสียเยว่ชนชั้นกฎสรรพสิ่งย่อมเป็นข้อละเว้น

ตลอดทั้งบรรพตสละฟ้า โดยส่วนใหญ่หาได้เป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจที่ไหน แต่เป็นเผ่าพิสดารที่ผู้คนพากันเรียกต่างหาก

สายเลือดที่รวมเอาทั้งของมนุษย์และอสูรเข้าด้วยกัน เป็นพวกนอกรีต

“เป็นข้า!” เฒ่าเสียเยว่ร่อนกายลงเหนือบรรพตสละฟ้า พลังกฎเกณฑ์ของมันทาบทับเข้าใส่ผู้คนทั้งหมด “เรียกแปดประมุขมาพบข้าที่ตำหนักหลวง!”

“คนผู้นั้นเป็นใคร?”

“นั่นมันพลังแห่งกฎเกณฑ์ไม่ใช่หรือ หรือจะเป็นบรรพชนท่านใดกลับมา?”

ผู้ก่อตั้งบรรพตสละฟ้า เฒ่าเสียเยว่ ชนชั้นกฎสรรพสิ่ง ทั้งยังไม่ใช่แรกย่างเข้ากฎสรรพสิ่งอีกด้วย

มีมันอยู่ ทั้งผู้ฝึกตนและขุมอำนาจที่เป็นศัตรูคู่แค้นกับเผ่าอสูรพวกนั้นย่อมไม่กล้าล่วงล้ำเข้ามา

ขอบเขตกฎสรรพสิ่ง นั่นคือตราอำนาจอันกึกก้อง เป็นสัญลักษณ์ที่ไม่มีวันโค่นล้ม

จากคำบอกเล่าของเฒ่าเสียเยว่ ฝีมือของแปดประมุขบรรพตสละฟ้าแม้แต่ในหมู่กลั่นดวงธาตุด้วยกันก็ไม่ต่ำทราม

ในนั้นมีหยางหลิวจูโหวสี่เจ้าบรรพตที่ตั้งแต่พันปีก่อนก็บรรลุเจ็ดดวงธาตุแล้ว เป็นยอดฝีมือที่ผนึกแกนวิญญาณ

“หยางหลิวจูโหว?” ฉินจิ่วเกอคาดคิดคำนวณ หรือว่างานเสริมของบรรพตสละฟ้าจะเป็นการเปิดโรงเชือด หรือตัวมันต้องตามหามือเชือดสุกรมาหัดวิชาเชือดหมู ถึงจะสมน้ำสมเนื้อกัน

เฒ่าเสียเยว่นั่งอยู่ในห้องโถงหลัก แค่นเสียงฮึ่มฮั่มอยู่เป็นพักๆ ไม่มีศิษย์คนไหนกล้าเข้าใกล้ไปกว่าร้อยเมตร

ไม่ต้องสงสัย แค่เห็นฉินจิ่วเกอยักคิ้วหลิ่วตาก็รู้ได้เลยว่าเจ้าเด็กนี่ย่อมไม่ได้กำลังคิดดีแน่ เฒ่าเสียเยว่จึงไม่เปิดปากถามให้ขายหน้าเสียเปล่า

เวลาผ่านไปครึ่งก้านธูปถึงค่อยมีเสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังมาจากภายนอก

ผ่านบานหน้าต่างกระดาษที่มีแต่รูโหว่ พบว่าผู้มามีด้วยกันสี่คน แต่ละคนมีรัศมีเอกลักษณ์ที่แตกต่างกันไป

อาภรณ์บนตัวค่อนไปทางเก่าโทรม หน้าตาอัปลักษณ์เท่าเทียมกัน

ฉินจิ่วเกอลอบยินดีอยู่ในใจ ท้ายที่สุดบรรพตสละฟ้านี้ก็มีคนที่เข้าตาข้าบ้างแล้ว

ดังนั้น มันจึงลากเก้าอี้มานั่งอยู่ข้างเฒ่าเสียเยว่ ขาข้างหนึ่งยกไขว้ขาอีกข้างหนึ่ง รอให้คนมาบูชากราบไหว้

ผู้ที่ผลักประตูเข้ามาก็คือหยางหลิวจูโหวสี่ประมุขขุนเขา

กลั่นดวงธาตุจากที่เคยมีกันแปดคน นับแต่เฒ่าเสียเยว่หายตัวไปเป็นเวลาพันปีพวกมันล้วนไม่อาจหนีพ้นกลายเป็นปุ๋ยคืนสู่ธรรมชาติ

เหลือแต่หยางหลิวจูโหวทั้งสี่ที่ผนึกแกนวิญญาณมาตั้งแต่ต้นจึงอยู่รอดมาถึงทุกวันนี้ได้ แต่ก็เหลือเวลาอยู่เพียงไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น

ในบรรพตสละฟ้า ผู้คนล้วนถือครองสายเลือดเผ่าอสูรอันเป็นปัจจัยช่วยยืดอายุขัย

ในระดับเดียวกัน เผ่าอสูรมีอายุขัยยาวนานกว่าเผ่ามนุษย์ ส่วนพวกที่ถือครองสองสายเลือด นอกจากจะสืบทอดมรดกสายเลือดของเผ่าอสูรแล้ว ยังครอบครองสติปัญญาและศักยภาพของมนุษย์มาด้วย

ฉินจิ่วเกอเพ่งพิจารณาคนทั้งสี่ ประมุขหยางคางแหลม หน้าผากแคบ รูปหน้าเหมือนแพะ แผ่นหลังงองุ้มเล็กน้อย

ประมุขหลิวรูปร่างบึกบึน ฝ่ามือเทียบกับชามข้าวแล้วยังใหญ่กว่า อาภรณ์ที่ใส่มีขนาดเทียบเท่าอาภรณ์สองตัว

ส่วนประมุขจู รูปพรรณไม่มีอะไรโดดเด่น ลักษณะเป็นคนซื่อตรง

คนสุดท้ายประมุขโหว คนผู้นี้แขนยาวจนฝ่ามือแตะจรดเข่า ศีรษะโน้มมาข้างหน้าเล็กน้อย

ทันทีที่เข้ามา ดูเหมือนคนทั้งสี่เองก็คาดไม่ถึงว่าเฒ่าเสียเยว่จะกลับมา

ต่างคนต่างมองกันไปมา แต่ไม่มีใครพูดอะไร บรรยากาศจึงกลายเป็นพิสดารอย่างบอกไม่ถูก

ไร้ซึ่งเสียงร่ำไห้ของการกลับมาพบหน้า ทั้งยังปราศจากน้ำตาแห่งความยินดีไหลอาบลงสองแก้ม

สุดท้าย ประมุขขุนเขาหยางที่สูงที่สุดกระแอมไอออกมาคราหนึ่ง ที่ประมุขขุนเขาคุกเข่าลงกับพื้น น้ำเสียงยังแฝงความไม่ยินยอม ถึงกับไม่ต้อนรับอีกด้วย “ขอแสดงความยินดีที่บรรพชนเฒ่าคืนกลับ สวรรค์อำนวยพรแก่บรรพตสละฟ้าเรา”

เฒ่าเสียเยว่ถูกขังไว้นานนับพันปี พลังฝีมือลดทอนลงกว่าครึ่ง แม้ยังสามารถบงการกฎเกณฑ์ ทว่าระดับพลังยามนี้เพียงเทียบเท่ากับหกดวงธาตุ

ดังนั้นมันมิได้เปลี่ยนสีหน้า แม้แต่ในน้ำเสียงยังแฝงแววอภัยให้ “ลุกขึ้นเถอะ”

เมื่อครู่ยามที่ประมุขทั้งสี่ไม่อยู่ เฒ่าเสียเยว่จงใจปลดปล่อยพลังแห่งกฎเกณฑ์เฮือกสุดท้ายที่กักเก็บไว้ออกมา จุดประสงค์เพื่อสร้างความแตกตื่นแก่พวกมัน ไม่ให้พวกมันจับจุดอ่อนได้ หากคิดฟื้นพลังสมบูรณ์ ต้องรอจนมันสามารถแย่งชิงร่างมาได้ก่อน

“พันปีผ่านไป บรรพตสละฟ้าของข้ายังแปรเปลี่ยนจนมีสภาพเช่นนี้ ที่แท้เกิดเรื่องอันใดขึ้น?” เห็นแววตาแทบรับประทานคนได้ของฉินจิ่วเกอที่เกือบจะลุกขึ้นมาวางเพลิงบรรพตสละฟ้าให้วอดวายแล้ว เฒ่าเสียเยว่ต้องรีบเอ่ยถามออกมาโดยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

ประมุขหยางร่างสะท้านเฮือก มันมีตำแหน่งสูงส่งที่สุด ดังนั้นรีบก้มศีรษะตอบคำ “นับแต่ท่านบรรพชนจากไป ขุมกำลังต่างๆ โดยรอบล้วนเริ่มรุกล้ำกินเขตแดนของพวกเราเข้ามา ตอนนี้ อาณาเขตของบรรพตสละฟ้าเราที่ดูแลอยู่ หลงเหลือเพียงหนึ่งยอดเขานี้เท่านั้น”

ฉินจิ่วเกอพองแก้ม นี่เรียกว่ายังปกครองดูแลอยู่หรอกหรือ ที่ทางมีแต่ความรกร้างว่างเปล่า คนมีหยิบมือ ขุดดินออกมายังยากจะมีน้ำสักหยด

สี่ประมุขต่างเป็นยอดคน ได้ยินเสียงแค่นเสียงดังเฮอะของฉินจิ่วเกอ ต้องก้มศีรษะลง ซุกซ่อนสายตาไม่เป็นมิตร แม้แต่กับบรรพชนของพวกมันเอง เพียงแต่ยังไม่กล้าฉีกหน้ามันเท่านั้น

ตลอดทั่วทั้งบรรพตสละฟ้า ยามนี้บรรยากาศประหลาดพิกลยิ่ง

“เจ้าพวกสวะ!” เฒ่าเสียเยว่คือผู้ฝึกวิชาปีศาจ อุปนิสัยมิใช่ดีเลิศเท่าใด เปิดปากออกก็ด่าทอผู้คน

ฉินจิ่วเกอเองก็มองออก เฒ่าเสียเยว่ไม่มีปัญญาควบคุมบริหารพรรคได้

เรื่องประดานี้ ก่อนที่มันจะจากไปเบื้องสูงเบื้องต่ำในพรรคล้วนไม่มีใครกล้าชี้ให้เห็น

แต่หลังจากมันจากไป ตอก็ผุดโผล่ออกมาจากน้ำ

“ถูกแล้ว เป็นพวกเราละเลย” สี่ประมุขก้มศีรษะยอมรับผิด แต่ในใจไหนเลยจะคิดเช่นนั้น

ยิ่งกับเฒ่าเสียเยว่แล้ว พวกมันยิ่งปราศจากความเคารพนอบน้อมใดๆ

ไม่มีปัญญาบริหารจัดการ กลับมานั่งเฉยเสวยสุขจนเรียบแปล้

ยิ่งเมื่อรวมกับข้อเท็จจริงที่ว่าบรรพตสละฟ้าคือที่รวมของบรรดาเผ่าพิสดารทั้งหมดบนทวีปฉิงหลิง พันปีที่ผ่านมา ที่ยังไม่ล่มสลายไป ล้วนเป็นเพราะพวกมันทั้งสี่ค้ำจุนไว้

พวกมันล้วนเป็นดวงธาตุขั้นเจ็ด ไม่มีกองกำลังไหนกล้ามองข้าม

“ข้าหายออกไปพันปี ยังนับว่ามีผลลัพธ์มาบ้าง รอจนข้าปิดด่านกักตน ถึงตอนนั้นพวกขุมกำลังที่รุกรานกลืนกินพวกเราพวกนั้น ข้าจะให้มันคายออกมาทั้งเนื้อทั้งกระดูก!”

แน่นอน เฒ่าเสียเยว่กำลังดีดพิณกลางเมืองว่าง

มันรู้ดี สี่ประมุขเกลียดชังมันเข้ากระดูก ตอนนี้หากรบรากันขึ้นมา ตนเองไม่แน่ว่าอาจเสียเปรียบ

ดังนั้นต้องแต่งเรื่องราว ป้องกันพวกมันมีความคิดเป็นอื่น

“บรรพชนอายุยืนหมื่นปี!” สี่ประมุขกิริยาราวหุ่นกระบอก เอ่ยตอบอย่างไร้ชีวิต

บางที อาจเพราะเฒ่าเสียเยว่คิดทดสอบพฤติการณ์ของสี่ประมุข หรืออาจเพราะต้องการควบคุมเจตนาของทั้งสี่ เฒ่าเสียเยว่ระหว่างกักด่านฝึกตน คิดผลักไสฉินจิ่วเกอออกหน้าบริหารบรรพตสละฟ้า

“มัน!” เฒ่าเสียเยว่ตวาดออกมา ชี้นิ้วไปทางฉินจิ่วเกอ

ฉินจิ่วเกอที่นั่งขัดสมาธิเอื่อยเฉื่อยอยู่ต้องรีบจัดแจงท่านั่ง ปีศาจเฒ่านี่ หรือมันคิดเล่นผีสางอันใดอีก?

“นี่คือศิษย์สายตรงของข้าที่รับมายามอยู่ภายนอก และจะเป็นผู้สืบทอดของข้า ข้าเริ่มกักตนฝึกปรือเพื่อทะลวงด่านเมื่อใด กิจการทั้งหมดในบรรพตสละฟ้ายกให้มันดูแล พวกเจ้าอย่าได้เห็นว่ามันพลังฝีมือต่ำต้อยก็จะรังแกคน”

ในวาจาแฝงน้ำเสียงตักเตือน พลังแห่งกฎเกณฑ์กวาดกราดรอบหนึ่ง สี่ประมุขสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว นัยน์ตาที่มองฉินจิ่วเกอยิ่งไม่เป็นมิตร

ฉินจิ่วเกอที่ถูกผลักไสออกไปล่อเป้าไม่มีหนทางอื่น ตอนนี้ตนเองไม่ต่างจากปลาบนเขียงตระเตรียมโดนเชือด หากไม่สามารถคลี่คลายปัญหาของเฒ่าเสียเยว่ได้ ต่อให้ตนเองหนีไปไกลเท่าใด มันก็ยังสามารถสัมผัสหาที่อยู่ของตนได้จากเคล็ดวิชาอยู่ดี

“ทุกท่านสบายดี ข้าชื่อฉินจิ่วเกอ” ฉินจิ่วเกอยืนขึ้นแนะนำตัวเอง

ประกายสายตาที่เสียดแทงมาจากด้านหลัง ฉินจิ่วเกอปั้นหน้าตึง ไม่แสดงอาการประหม่าหวาดหวั่นออกมา

เฒ่าเสียเยว่ยิ้มไม่เชิงเยิ้ม ด้วยบุคลิกของเด็กน้อยนี้ สามารถดึงความสนใจออกจากตัวมันไปได้กว่าครึ่ง

ประมุขหลิวนิสัยมุทะลุที่สุด เตะกีบเท้าด้วยเกลียดชังเด็กน้อยนี้จนแทบฆ่ามันตายคามือ เอ่ยปากถามอย่างไม่เป็นมิตร “จิ่วเกอ? เป็นนกแก้วนกขุนทองหรือไง นกแบบนี้ก็มีด้วย?”

* [T/L] หยางหลิวจูโหว แซ่ทั้งสี่ของประมุขขุนเขา พ้องเสียงกับสัตว์สี่ประเภท ยัง

หยาง แกะ

หลิว หมายถึงหนิว แปลว่าวัว

จู สุกร

โหว ลิง

ชื่อตอนเลยกลายเป็นผจญภัยในสวนสัตว์จ้า

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท