เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 121 ช่วงเวลาพันปี

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

ไม่เพียงแค่หน้าเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงท่วงท่าและองคาพยพทั้งหลายอันโดดเด่นละลานตา

และชั่วขณะที่ฉินจิ่วเกอล้วงเอากระจกออกมาพินิจพิจารณาดวงหน้าอันงดงามของมันนั่นเอง คนก็ต้องเกิดการค้นพบอันใจสลาย การศึกกับภูติไม้เมื่อครู่ กลับสร้างความเสียหายแก่ใบหน้าของมันแล้ว!

“สวรรค์!” ฉินจิ่วเกอปล่อยกระจกร่วงหล่นพื้น สองมือกางยกชูขึ้นสู่ฟ้า ตะโกนตัดพ้อต่อสวรรค์เบื้องบน เสียงตะโกนใจสลายของมันกึกก้องจนนกหนูแมงราตรีทั้งหลายต้องแตกกระเจิง

ตรงหางตาด้านขวา ปรากฏรอยขีดข่วนเล็กๆ ขึ้นมาอย่างชัดเจน ทั้งยังมีเลือดไหลซิบๆ

ดูคล้ายเมล็ดงาดำสามสิบห้าเมล็ด เกาะติดอยู่ตรงหางตา ทำลายความงามของมันสิ้น

ก่อนหน้านี้ ยามที่มันยังไม่ถูกทำลายโฉม คนสามารถยกยอสรรเสริญใบหน้าของมันว่างดงามราวหยกสลัก สง่างามราวต้นไม้หยกต้านลมโชย ทว่ายามนี้ ดวงหน้าขาวสล้างราวหัวไชเท้าปอกของมันถูกกรีดเป็นแผล ปรากฏรอยขีดข่วน แม้จะเป็นรอยเล็กๆ หากก็เป็นมลทินที่มันไม่อาจยอมรับได้

“ไฉนจึงเป็นเช่นนี้!” ฉินจิ่วเกอแหกหางตาของมัน รอยจุดเล็กเหมือนงาดำสองสามจุดนั้น ยังไงก็ไม่สามารถลบออกไป

หากมองจากที่ไกล ผู้อื่นย่อมคิดว่าที่หางตาของมันมีไฝน้ำตางอกเงยสองสามเม็ด ดูมีศิลปะไม่น้อย

“บัดซบเอ๊ย เจ้าสี่ประมุขอย่าได้ตายเด็ดขาด รอนายน้อยไปคิดบัญชีกับเจ้าเถอะ!”

นั่นเป็นยิ่งกว่าความโกรธเกรี้ยวในจิตใจ ยิ่งกว่าความอัปยศใดๆ ในดวงวิญญาณ ฉินจิ่วเกอเลือดขึ้นหน้า วิ่งกลับไปยังบรรพตสละฟ้า พลิกแผ่นดินคว่ำแผ่นฟ้าตามหามือฆาตกร

ส่วนประมุขหยางเล่า หลังจากมองเห็นฉินจิ่วเกอถูกภูติไม้ลากไปจองจำ มันก็คร้านจะรอคอยดูผลลัพธ์ กลับสู่ห้องโถงใหญ่ของบรรพตสละฟ้าในทันที

ภายในนั้น มีสามประมุขขุนเขาที่รอคอยอย่างประหม่า วางแผนว่าจะต่อกรกับเฒ่าเสียเยว่อย่างไรดี

“เป็นอย่างไรบ้าง?” ประมุขหลิวรอยแผลเป็นสั่นกระตุก ถามออกมาอย่างเร่งรีบ

ประมุขหยางใบหน้าเคร่งขรึมลง สีหน้าเยียบเย็น “เรียบร้อยแล้ว พวกเราหารือวางแผนกันต่อ สมควรรับมือกับตาแก่นั่นยังไงดี”

“ค่ายกลผสานจู่โจมใหญ่ พลังของพวกเราทั้งสี่จะเพิ่มพูนขึ้นสามส่วน เพียงแต่ไม่ทราบตื้นลึกหนาบางของตาแก่นั่น หากมันมิได้บาดเจ็บสาหัสเท่าใด ล้วนสามารถสังหารพวกเราทิ้งได้ในหนึ่งลมหายใจ” ประมุขจูเอ่ย

กฎสรรพสิ่ง อ้าปากแปรกฎเกณฑ์ เหนี่ยวรั้งกฎธรรมชาติ

พลังของกฎเกณฑ์ ห่างไกลจากวิถีดวงธาตุทองคำจะเทียบได้ เฒ่าเสียเยว่ยามสมบูรณ์พร้อมเพรียงพริบตาก็สามารถกำจัดพวกมัน

” ไม่ว่าอย่างไร ศรพุ่งออกไปย่อมไม่หวนกลับ เสี่ยงกับมันเถอะ!” ประมุขโหวสะบัดขนคอทางด้านหลัง แยกเขี้ยวกล่าว

“โฮ่โฮ่ ดึกดื่นค่อนคืน ไชเท้าสุมหัวประชุม ช่างครึกครื้นดีแท้”

พอดีกับที่กำลังตกลงแผนโจมตีลับของพวกมัน ภายนอกห้องโถง ปรากฏเสียงถ่ายทอดมาจากความว่างเปล่า สะท้านใบหูยิ่ง

หลงเฟิงล้วนถูกมันทั้งสี่จัดแจงจากไปแล้ว ให้มันรับหน้าที่พาคนของบรรพตสละฟ้าอพยพหลบหนี

ทั่วทั้งบรรพตสละฟ้า ตอนนี้เพียงหลงเหลือพวกมันสี่ประมุข แล้วที่กล่าววาจาอยู่ด้านนอกนั่นเป็นใครกันเล่า?

สี่ประมุขใจสั่นสะท้าน ใบหน้าเคร่งขรึม เท้าย่อลงในท่าเตรียมพร้อม

ประมุขหลิวขณะกำลังเตรียมแผ่พุ่งกำปั้นเหล็กหลอมทลายฟ้าของมันออก ประมุขหยางก็เหนี่ยวรั้งอีกฝ่ายไว้ สั่นศีรษะ มันฟังออกแล้วว่าอีกฝ่ายเป็นใคร

“ปล่อยมัน” เงาร่างสูงอาบไล้ใต้แสงจันทร์ มีฉากหลังเป็นใบไม้แห้งปลิดปลิวลอยตามลม

“ยอดเยี่ยมยิ่ง มีทั้งไชเท้าขาว ไชเท้าเหลือง ไชเท้าเขียว ไชเท้าส้ม หัวไชเท้ามากมายต่างมะรุมมะตุ้มสุมศีรษะ ขอข้าร่วมด้วยคนได้หรือไม่?”

“เจ้าแครอทกระจอก ทำหลบๆ ซ่อนๆ ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!” ประมุขหลิวเตะโต๊ะพลิกคว่ำ คว้าจับขึ้นทุ่ม ประตูไม้แหลกลาญเป็นผุยผง

ด้านหลังประตู ฉินจิ่วเกอยืนถือกระจกที่แตกครึ่งหนึ่งอยู่ในมือ ยืนเต๊ะท่าอยู่ภายนอก

“เจ้ายังไม่ตาย?” ประมุขหยางถามด้วยเสียงประหลาดแปลกใจ ในแววตาสะท้อนประกายฆ่าฟันอันเยียบเย็น

ฉินจิ่วเกอยกแผ่นหยกอักขระขึ้นมาแผ่นหนึ่ง ก้าวเดินคล้ายไร้ผู้คนเข้าสู่ห้องโถง ส่ายโอนเอนนั่งลง “นี่คือแผ่นอักขระหยกที่เฒ่าเสียเยว่มอบให้แก่ข้า ผู้ใดกล้าขยับเขยื้อน?”

ยามเฒ่าเสียเยว่ไม่อยู่ สี่ประมุขขุนเขาล้วนสามารถขุดบรรพบุรุษมารดามันทั้งสิบแปดรุ่นของเฒ่าเสียเยว่ขึ้นมาถล่ม

แต่หากมีสิ่งของใดที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับเฒ่าเสียเยว่ปรากฏขึ้น พวกมันทั้งหลายล้วนไม่มีใครกล้าถอนหายใจ

กฎสรรพสิ่ง ในใจของพวกมัน นั่นคือตัวตนระดับเทพเทวา หยั่งรู้กฎเกณฑ์และหลักเหตุผลของโลกหล้า!

ประมุขหยางแยกเขี้ยวกัดฟัน กำปั้นซ่อนในแขนเสื้อ “เจ้าคิดทำอย่างไร? อย่าได้คิดว่าตาแก่เสียเยว่เป็นตัวดีอันใด เจ้าอยู่กับมันช้าเร็วต้องประสบเคราะห์ร้าย ผู้ฝึกวิชาปีศาจล้วนมีแต่ตัวสารเลว!”

” เจ้าหมายความว่าไง?” ฉินจิ่วเกอถลึงตาด้วยความโกรธ ตนเองนับเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจครึ่งหนึ่ง ตาแก่หยาง ทำอย่างนี้มันตีวัวกระทบคราดนี่หว่า

ฉินจิ่วเกอยกนิ้วชี้กราดไปยังสี่ประมุข ตวาดว่าอย่างไม่เกรงอกเกรงใจ “แม้แต่ไก่ยังมีไก่รักชาติ เจ้าอาศัยอะไรบอกว่าผู้ฝึกวิชาปีศาจล้วนเลวร้าย? พวกมันล้วนไม่อาจรับใช้ชาติส่งเสริมประชาราษฎร เป็นลูกผู้ชายยืนหยัดท้าฟ้าดินงั้นหรือ?”

คนพวกนี้ ตัดสินคนอย่างไม่รอบคอบเกินไปแล้ว

สมัยนี้แม้แต่ไก่ก็ออกลูกเป็นเป็ดได้ แล้วอาศัยอะไรกล่าวหาผู้ฝึกวิชาปีศาจไม่ใช่ตัวดี

เรื่องราวทั้งหลายล้วนมีข้อยกเว้น ยกตัวอย่างเช่นข้าเป็นต้น

สี่ประมุขขุนเขาสีหน้าวุ่นวายใจ ลังเลรีรอไม่กล้าลงมือ

หากฝึกฝีมือจนถึงระดับเดียวกับพวกมันแล้ว สิ่งที่ไม่อาจปล่อยวางมีอยู่ไม่น้อย ไม่มีผู้ใดยินยอมใช้ชีวิตอย่างเปล่าประโยชน์

ฉินจิ่วเกอยกชูแผ่นหยกอักขระในมือขึ้นสูง ประดุจดั่งดึงเชือกกิโยตีน

พวกมันล้วนไม่ทราบ นี่เป็นแผ่นหยกที่อาวุโสใหญ่มอบให้แก่ฉินจิ่วเกอ ไม่มีใดเกี่ยวข้องกับเฒ่าเสียเย่วเลยแม้แต่น้อย

“ทว่า” ฉินจิ่วเกอยกขาซ้ายไพล่ทบไปขาขวา “ข้าเองคิดว่า ผู้ฝึกวิชาปีศาจ นอกจากข้าแล้วล้วนมิใช่คนดี ดังนั้นข้าคิดร่วมมือกับพวกเจ้า อย่างน้อยพวกเรามีศัตรูคนเดียวกัน”

“อะไรนะ?” ประมุขหลิวนึกว่าตนเองหูฝาด ไม่กล้าเชื่ออย่างยิ่ง เด็กน้อยนี้กลับเอ่ยวาจาสะท้านใจผู้ฟังถึงปานนี้

กลับเป็นประมุขหยางเยือกเย็นกว่า เอ่ยถาม “เจ้าไฉนมีความคิดเช่นนี้?”

“บุญคุณกำเนิดแค้น แค้นกำเนิดบุญคุณ ข้าว่าเฒ่าเสียเยว่ไม่มีเจตนาดี ข้าเองก็ระแวดระวังต่อมันอย่างสูงเช่นกัน”

“เช่นนั้น…”

“พวกเราล้วนบอกกล่าวตามตรงเถอะ ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังต่อไป หากเฒ่าเสียเยว่มีพลังสามารถลงมือต่อพวกเจ้าจริง นั่นย่อมไม่ต่างจากการขยี้มดปลวก ทว่า มันในตอนนี้ย่อมไม่มีใจแบ่งไปสนใจเรื่องอื่น”

ฉินจิ่วเกอเผยให้เห็นเรียวฟันขาววาววับ ใบหน้าเคร่งขรึมเยือกเย็นภายใต้แสงจันทร์ คล้ายถูกฉาบทาไว้ด้วยประกายสีเงินยวงชั้นหนึ่ง

ภายนอกห้องโถง แมกไม้ในป่าสั่นสะท้าน ปักษาไม่กล้าออกเสียง ลมหยินยะเยือกไม่กล้าโชยพัด ห้วงอากาศบีบแน่นจนแทบเค้นน้ำออกมาได้

“ดี” ประมุขหยางมองประเมินฉินจิ่วเกอ นี่เป็นครั้งแรกที่มันได้พินิจดูเด็กน้อยเผ่ามนุษย์ผู้นี้ “ข้าอยากรู้ว่า ตาแก่นั่นหายไปหนึ่งพันปี ที่แท้เกิดจากสาเหตุอะไร?”

ฉินจิ่วเกอบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่มันรับรู้ต่ออีกฝ่าย ทว่าความเป็นมาทั้งหลายของบึงมารมรณา มันกลับไม่ได้บอกออกไปจนหมดสิ้น ด้านล่างของบึงมารมรณานี้ ย่อมต้องมีความลับหรือสมบัติสะท้านฟ้า มันเองคิดไว้ว่าจะลงไปเสี่ยงโชคหากมีโอกาส

ที่กล้าทำเช่นนี้ ฉินจิ่วเกอแน่นอนว่าย่อมมีความมั่นใจ แม้แต่กฎสรรพสิ่งอันเข้มแข็งยังตกลงไปในกับดักมาแล้ว และอย่าลืมว่าเฒ่าเสียเยว่คือผู้ฝึกวิชาปีศาจ ในประวัติศาสตร์ของทวีปฉงหลิง คล้ายมีความเป็นมาไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกวิชาบำเพ็ญเซียน สมควรมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับบรรพชนวิญญาณเมื่อล้านปีก่อน

ซึ่งอันที่จริง ถึงตอนนั้นขอเพียงมันอาศัยศิษย์น้องรองออกหน้า ในเมื่อมีพระเอกของเรื่องคุ้มครองป้องกันภัย นั่นน่ะร้ายกาจว่ากฎสรรพสิ่งตั้งเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่

“เจ้าบอกว่ามันบาดเจ็บสาหัส?” เมื่อรู้ว่ามีเรื่องเช่นนั้น ประมุขหลิวแสดงท่าทางยินดี ยัดหญ้าเขียวเข้าปากเคี้ยวเอื้องอย่างออกรส

ประมุขจูความจำเป็นเลิศ มันขบคิดพลางกล่าว “เจ็ดตะปูสะกดวิญญาณ เป็นค่ายกลเฉพาะไว้กำจัดผู้ฝึกวิชาปีศาจ สืบทอดมาตั้งแต่ยุคไท่หวง ต้องอาศัยนักปรุงยาระดับไม่น้อยกว่าขั้นแปดในการควบคุม เห็นว่านับแต่สมัยมหาสงครามบรรพกาล ค่ายกลนี้ก็สาบสูญจากการสืบทอด”

“เช่นนั้นก็หมายความว่า พลังของตาแก่นั่น สมควรกลวงว่างเปล่า ยามนี้มีแต่เปลือกแล้ว?”

“ประเสริฐยิ่ง ขอเพียงพลังควบคุมกฎเกณฑ์ของมันถูกสะกัดกั้นไว้ พวกเรามีความมั่นใจในการสังหารมัน”

ฉินจิ่วเกอคว้าเส้นผม ในใจยังไม่กระจ่าง

ไฉนคนทั้งสี่ ทุกคราที่เอ่ยถึงเฒ่าเสียเยว่ น้ำคำวาจาล้วนแฝงความคับแค้นอาฆาตไม่คลาย

อย่างน้อยหากดูจากตอนนี้ เฒ่าเสียเยว่คือผู้นำของบรรพตสละฟ้า สมควรเป็นศูนย์รวมจิตใจของผู้คนจึงจะถูก

รวบรวมเผ่าพิสดาร ปกป้องพวกมันมิให้ถูกสามเผ่ารุมรังแก ความทุ่มเทของตาเฒ่าเสียเยว่สมควรมีไม่น้อย

ในเมื่อต่างก็เปิดอกแล้ว สี่ประมุขขุนเขาเองก็ไม่เก็บงำ ประมุขหยางเอ่ยด้วยสายตาแฝงรังสีฆ่าฟันเข้มข้น “เด็กน้อย เจ้าใช่แปลกใจยิ่งหรือไม่ พวกเราไฉนเกลียดแค้นตาแก่นั่นปานนี้?”

ฉินจิ่วเกอแยกเขี้ยว ส่งเสียงหัวเราะฮิฮะ เพิ่มความขุ่นข้องในน้ำเสียง “หรือจะเป็นเพราะมันผลาญศิลาวิญญาณพวกเจ้าไปนับล้านก้อนแต่ไม่ยอมเอามาคืน?”

คนตายเพราะเงิน ไก่ตายเพราะแกลบ สุภาษิตนี้กล่าวไว้ไม่ผิด

ในใจฉินจิ่วเกอเกลียดชังเฒ่าเสียเยว่เข้ากระดูก เงินตั้งหลายหมื่นศิลาวิญญาณ มันเบียดบังเอาเงินเก็บออมที่ตนเองหลอกลวงผู้อื่นมาไปจนหมดสิ้น

“เอ๋?” สี่ประมุขตะลึงตาลาน หรือว่าความแค้นไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้าของเจ้าเด็กนี่ ที่จริงมาจากเรื่องเงินเล็กน้อยเพียงนี้หรอกหรือ?

สี่ประมุขมองหน้าซึ่งกันและกัน ต่างสื่อจิตใจถึงกัน เด็กน้อยนี้เป็นชนชั้นที่ไม่อาจตอแยได้โดยแท้ นอกจากนี้ ต่อจากนี้หัวเด็ดตีนขาดยังไง อย่าได้ไปยืมเงินมันเด็ดขาด

“ที่จริงข้าเองก็แปลกใจมาก บนทวีปฉงหลิง นอกจากผู้ฝึกวิชาปีศาจ มีเพียงเผ่าพิสดารที่เป็นเผ่าพันธุ์ผสมของมนุษย์และอสูรที่สถานะต่ำต้อยที่สุด เฒ่าเสียเยว่ตั้งบรรพตสละฟ้าขึ้นมา เพื่อปกป้องเผ่าพิสดาร ที่จริงไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”

ฉินจิ่วเกอประเมินอย่างสมเหตุผล อย่างน้อยเฒ่าเสียเยว่หลังบรรลุขอบเขตกฎสรรพสิ่ง กลับไม่ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงเท่าใด

เพียงแต่ความคิดของสามเผ่ามนุษย์มารอสูรต่อเผ่าพิสดารนั้น ย่อมไม่มีทางถูกเปลี่ยนแปลงไปได้ด้วยคนเพียงคนเดียว ต่อให้คนคนนั้นจะเป็นกฎสรรพสิ่งก็ตาม

“เผ่าพิสดาร นับว่ายังสามารถกล้ำกลืนดำรงอยู่ได้ ขอเพียงไม่ไปเหยียบเท้าหรือก้าวก่ายต่ออิทธิพลของขุมอำนาจต่างๆ แต่นับแต่มันตั้งบรรพตสละฟ้า ก่อตั้งเป็นพรรคสำนักหนึ่งขึ้นมา พวกเราก็กลายสภาพเป็นหนามตำตาตำเท้าของกองกำลังอื่น เพราะนี่เท่ากับว่าพวกเราได้ละเมิดขีดจำกัดล่างของพวกมันแล้ว!”

ประมุขโหวควงกำปั้น เสียงซ่าซ่า โต๊ะไม้แหลกสลายกลายสภาพเป็นผุยผงทันที นี่ก็คือสภาพการณ์ของเผ่าพิสดาร หากพวกมันกล้าก่อตั้งเป็นกองกำลังขึ้น ย่อมต้องถูกรุมกินโต๊ะจากชุมอำนาจอื่น

“เป็นเพราะเรื่องนี้?” ฉินจิ่วเกอโคลงศีรษะ มันเองก็รู้ว่าสถานะของเผ่าพิสดารไม่สูงส่ง แต่ยังคาดไม่ถึงว่าสภาพความเป็นอยู่จะยากลำเค็ญปานนี้

ประมุขหยางถอนใจยาว เอ่ยอย่างเศร้าโศก “ตาแก่นั่นหายไปพันปี พวกเราบรรพตสละฟ้าก็ถูกบีบคั้นจากทุกทางมาร่วมพันปี สี่ในแปดประมุขขุนเขาเองก็ถูกล้อมจับตาย มีเพียงพวกเราสี่คนที่พลังฝีมือค่อนข้างสูง จึงรักษาชีวิตรอดมาได้อย่างเฉียดฉิว”

“ล้อมฆ่ากลั่นดวงธาตุ?”

ฉินจิ่วเกอไม่เข้าใจ ในใจยิ่งทวีความพิศวง

ยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุ มิใช่หัวผักกาดที่ไหน เป็นถึงเสาหลักของกองกำลังทุกที่

หากคิดล้อมฆ่ายอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุอันเข้มแข็ง ที่จริงไม่ใช่เรื่องง่าย

ต่อให้สู้ไม่ได้ ก็ยังสามารถหนีได้ ไม่ใช่ปัญหา นอกจากนี้ สี่ประมุขขุนเขาที่สิ้นลมเองก็เป็นดวงธาตุขั้นห้าขั้นหก ไม่มีผู้ใดกล้ามองข้ามหรือคิดสังหารได้

“พวกมันถูกคุณไสยเล่นงาน” ประมุขหลิวน้ำตาริน รอยแผลตะขาบบนใบหน้ายิ่งเสียดแทง “เจ้ารู้จักกู่บงการเทพหรือไม่?”

ฉินจิ่วเกอสั่นศีรษะอย่างมึนงง มันไม่รู้จักโลกใบนี้ดีเท่าใด เรื่องเกี่ยวกับโลกผู้ฝึกตนก็รู้ไม่มาก

เมื่อเอ่ยถึงกู่บงการเทพ บนทวีปฉงหลิงถือเป็นเรื่องขึ้นชื่อ นี่นับเป็นหนึ่งในฝีมืออันชั่วร้ายของผู้ฝึกวิชาปีศาจ

กู่บงการเทพ สามารถควบคุมบังคับวิญญาณของเป้าหมาย ใช้วิธีการลับเฉพาะประทับอักขระลงบนดวงวิญญาณของอีกฝ่าย

หลังถูกกู่บงการเทพประทับใส่ จะสามารถควบคุมชีวิตของอีกฝ่ายได้ดังใจ มีเพียงผู้ฝึกวิชาปีศาจชั้นกฎสรรพสิ่งจึงมีลวดลายนี้

สำหรับอีกฝ่ายหนึ่ง กู่บงการเทพสามารถควบคุมเพิ่มระดับความเร็วในการฝึกของอีกฝ่าย

แต่ทันทีที่คิดต่อต้านอีกฝ่าย นั่นย่อมมีชีวิตไม่สู้ตกตายแล้ว

นอกจากตนเองจะสามารถทะลวงด่านกฎสรรพสิ่งได้ มิเช่นนั้นต่อให้เป็นนักปรุงยาเองยังไร้ทางช่วยเหลือ

ยังมีหนทางใดได้อีก?

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน