” เอาล่ะเอาล่ะ เป็นความคิดเจ้านั่นล่ะ ประมุขหยางสมเป็นอาวุโสของบรรพตสละฟ้า ความคิดที่เสนอแนะออกมาช่างเป็นข้อวิพากษ์อันสร้างสรรค์แท้ๆ”
ฉินจิ่วเกอหัวเราะพลางลอบดูแคลนประมุขหยาง ตาเฒ่าหยาง เจ้าคิดให้ข้าแบกหม้อก้นดำ นอนไม่หลับไปตลอดงั้นหรือ
หากถูกคนสาดอุนจิปฏิกูลใส่ ไม่เชื่อว่าสามกองกำลังนั่นจะยอมหยุดสูดดมกลิ่นมาดามหอมชื่นใจแน่ๆ
เรื่องราวเมื่อแพร่ออกไป แน่นอนย่อมต้องเป็นประมุขหยางที่ชั่วร้ายไร้ยางอาย กลับสามารถเค้นความคิดชั่วช้าเลวทรามปานนี้ออกมาได้ ยังอำมหิตกว่าฆ่าคนตายอีก
ประมุขหยางลูบเคราแกะใต้คาง ดวงหน้าเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
คิดไม่ถึง อา ฉินจิ่วเกอภายนอกเป็นคนดูดีมีเมตตา แต่ภายในนั้น แท้ที่จริงคือจอมมารร้ายสุดขอบโลก
“เอาล่ะ เฒ่าหยางเสนอความคิดมาไม่เลว พวกเจ้ามีข้อชี้แนะอื่นอีกมั้ย?” ฉินจิ่วเกอยิ้มหยี
สามประมุขกลั้นรอยยิ้ม ก้มศีรษะกระซิบ “ความคิดนี้ดีเลิศยิ่ง พวกเราทั้งสามหนึ่งคนหนึ่งตระกูล ลงมือภายในวันนี้”
“อืม ประมุขหยางเข้าสู่บรรพตสละฟ้ามานานหลายปี ลงทุนลงแรงรับใช้ดุจม้าลา เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญ ข้าในฐานะประมุขบรรพตสละฟ้า วันนี้ขอแต่งตั้งประมุขหยางเป็นอาวุโสใหญ่บรรพตสละฟ้าเรา”
” นอกจากนี้” ฉินจิ่วเกอลุกยืน “ศึกวันนี้ เกี่ยวพันถึงชะตากรรมของบรรพตสละฟ้า ในวาระโอกาสแห่งความเป็นความตาย ประมุขหยางเสนอแผนการปาฏิหาริย์ ช่วยเหลือข้ากำจัดศัตรู เรื่องนี้ต้องบันทึกลงในประวัติศาสตร์บรรพตสละฟ้า ให้ชนรุ่นหลังได้บูชาและเล่าเรียน”
“หา?” ประมุขหยางใจแยกเป็นสองส่วน ส่วนแรกยินดีปรีดาจนแทบระเบิด ส่วนที่สองรู้สึกอยุติธรรมจนสังขารแยก
นี่ยังเป็นคนอยู่อีกหรือ?
นี่คือเรื่องที่คนสามารถกระทำออกมาได้อย่างงั้นหรือ?
ไม่ไม่ไม่ ประมุขหยางสั่นศีรษะ บางที มันอาจจะเป็นปีศาจจริงๆ ปีศาจสุดขอบโลก
ชนรุ่นหลังยามอ่านคัมภีร์ประวัติศาสตร์บรรพตสละฟ้า ก็จะรู้ว่า ฟ้าดินใต้หล้า ในบรรดาทิศทั้งหก มีเพียงประมุขบรรพตสละฟ้าที่เป็นรองแค่พระเอกผู้เป็นศิษย์น้องรอง ทั้งเปิดเผยห้าวหาญพิทักษ์ชน เปี่ยมความเป็นสุภาพบุรุษ มีธาตุแท้อันกล้าหาญชาญชัย
ส่วนอาวุโสใหญ่ของบรรพตสละฟ้านั้น คนผู้นี้ชั่วช้าสารเลว เสนอความคิดแก่ประมุขน้อย สาดมูลปฏิกูลอุนจิใส่สามตระกูลจนแตกพ่าย รับความดีความชอบมากมาย
” เอาล่ะ ทุกท่านไปเตรียมการเถอะ” เมื่อสรุปกลยุทธ์เรียบร้อยแล้ว ฉินจิ่วเกอจึงให้สามประมุขขุนเขาไปดำเนินการ
ส่วนอาวุโสใหญ่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้ง กลับอยู่ในที่พำนัก ขบคิดใคร่ครวญว่ายามตนเองแขวนคอจบชีวิตสมควรใช้ผ้าไหมสีใดจึงจะดี
เรื่องนี้ทันทีที่แพร่ออกไป ประมุขหยางรับประกันว่าไม่มีหน้าอยู่เป็นผู้เป็นคนได้อีกต่อไป
ความชั่วร้ายพรรค์นี้ คำว่าหน้าด้านไร้ยางอายยังไม่อาจเทียบได้แม้หนึ่งในหมื่น
สวรรค์ฝุ่นตลบ เด็กทารกตบมือหัวร่อ ประมุขหยางไปที่ชอบที่ชอบแล้ว
ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงต้องจารึกไว้ว่า
ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาสองชาติ ละโมบโลภมากไร้ความสัตย์ซื่อ ชั่วร้ายดั่งปีศาจ เป็นมารร้ายล่อลวงคน ฝึกวิชาปีศาจสังหาร ครั้งนี้ลงมืออย่างชั่วร้าย แสร้งปักดอกไม้ ทั้งยังใช้ปฏิกูลเอาชัยศัตรู เป็นสุดยอดจอมมารล้างโลก
ฮือออ มารปีศาจล้างโลกา สร้างความวิบัติแก่ภพมนุษย์ เวทนาฉงหลิง เจ็บปวดแทนทวีปฉงหลิงเหลือเกิน
ยามราตรี จันทราเคลื่อนคล้อย วิหคราตรีร่ำร้อง ไอหมอกยะเยียบปกคลุมทั่วม่านฟ้า ภายในเมืองดำมืดขมุกขมัว เปลี่ยวร้างไร้ผู้คน ในอากาศอวลด้วยกลิ่นอายฆ่าฟันเข้มข้น สามตระกูลล้วนไม่อาจสงบจิตใจ ไม่ทราบบรรพตสละฟ้ามีไพ่ตายอันใดเตรียมงัดออกมาใช้ ดังนั้นเก็บตัวเงียบ ไม่กล้าเคลื่อนไหวโดยพละการ
ฉินจิ่วเกอนั่งอยู่ในสวนหย่อม นอกจากมันแล้ว เบื้องนอกก็ไม่มีผู้ใดอีก ชายหนุ่มตักน้ำเย็นในบ่อมาหนึ่งถัง สาดลงบนพื้นทางเดิน ยกเก้าอี้ไม้ไผ่มาตัวหนึ่ง นั่งลงบนเก้าอี้ มือถือมีดเชือดสุกร บรรจงวางมีดลงบนหินลับมีดแล้วนั่งลับอย่างพิถีพิถัน
เคร้ง เคร้ง เคร้ง
ท่ามกลางค่ำคืนอันนิ่งสงัด เสียงลับมีดดังเคร้งเคร้งเสียดสีเข็ดฟัน คล้ายขูดลับลงบนหนังศีรษะ ฟังดูเหมือนเสียงสับกระดูกเฉือนเนื้อหนัง
ทุกที่ทาง ไม่มีสิ่งใดสามารถสร้างผลกระทบใดต่อฉินจิ่วเกอได้
สายตาของมัน กระจ่างสุกใส เหมาะเจาะพอดีกับประกายมีดคมปลาบเยียบเย็นกลางแสงจันทร์ เปล่งประกายยามสะบัดใบมีดถากเถือลงไปบนหินลับมีดอย่างชำนิชำนาญ คมมีดสุดท้ายที่ออกมา แหลมคมจนแทบกรีดผ่าห้วงอากาศออกเป็นสองส่วน
ความหนาที่ถูกฝนลับจนแทบไม่มีอีกต่อไป ในห้วงอากาศแทบไม่ปรากฏเงามีด บางเบาจนแทบโปร่งใส
ลับมีดเสร็จ ฉินจิ่วเกอราดน้ำบ่อเย็นเยียบชำระล้าง วางลงกลางแสงจันทร์ส่งประกายโดดเด่นจับตา
ฟ้าดินเข้าสู่ภาวะเงียบสงัดงัน สุริยันจันทราซึมซาบความนิ่งสงัดแห่งจักรวาล เฉียนคุนหยินหยางคลอเคลียผลักไสซึ่งกันและกัน
ท่ามกลางเมฆาซีดขาว ดวงจันทรามีขนาดเพียงฝักข้าวโพด ผืนดินไพศาล เมืองอวี่เกอเพียงมีขนาดเท่าใบไม้ใบหนึ่ง
ท้องถนนที่ไร้คนสัญจร พลันปรากฏกองกำลังสามกองวิ่งผ่าน ผู้นำขบวนไอพลังเข้มข้น ไม่อาจหยั่งถึงระดับพลังยุทธ์ของมันได้
เพื่อให้สามารถบรรลุถึงจุดหมายการโจมตีที่วางไว้ สามประมุขขุนเขาเคลื่อนไหวตามแผนการ
ฉินจิ่วเกอสวมอาภรณ์ขาวสะอาดรองเท้าหญ้าฟาง บนศีรษะก็สวมหมวกที่ถักทอจากด้ายหิมะอันขาวโพลนเช่นกัน
มีดคมกริบหนึ่งเล่ม สะท้อนประกายอันน่าแตกตื่นจากที่ไกลตา
ประมุขหลิวสวมผ้าคลุมหน้า เคลื่อนไหวท่ามกลางแสงจันทร์ยะเยือก รอยแผลตะขาบยักษ์ขนาดใหญ่สั่นไหวไม่หยุดนิ่ง คนผุดโผล่ขึ้นมาจากห้าธัญญะกลับสังสาร นำพาผู้คนแบกถังบางอย่างเจ็ดแปดถัง ตระเตรียมกำนัลแก่กลืนตะวันโดยไม่ทิ้งชื่อแซ่
เห็นได้ชัดว่า กิจการหลักของบรรพตสละฟ้านี้ มิใช่แค่ดีธรรมดาๆ
ประมุขขุนเขาอีกสองท่านก็สวมผ้าคลุมปิดบังใบหน้าปิดบังชื่อแซ่ นำพาเหล่าศิษย์บรรทุกถังวัตถุขนาดใหญ่เจ็ดแปดถัง ในปากอวลด้วยรสชาติหอมหวน มาถึงสถานที่ลอบพำนักในเมืองของตำหนักผนึกน้ำแข็งและวังสุนัขป่า
ความรุ่งโรจน์โชติช่วงของบรรพตสละฟ้า ได้เริ่มต้นขึ้นมาอย่างยิ่งใหญ่ในเวลานี้
ประมุขหลิวปลดผ้าคลุมใบหน้าออกด้วยความตื่นเต้น เผยให้เห็นรอยแผลเป็นตะขาบยาวอันดุดัน หากกลับไม่อาจบดบังรอยยิ้มบนใบหน้ามันไว้ได้
“ประมุขน้อยช่างมีกลยุทธ์อันยอดเยี่ยม วิธีการนี้ชั่วร้ายไปนิด พวกตาแก่ของสำนักกลืนตะวันไม่โมโหตายก็แปลกแล้ว”
ผู้นำของกลืนตะวันเป็นกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดขั้นแปดเช่นเดียวกับพวกมัน อาวุโสในสำนักล้วนมีพลังฝีมือมิใช่ชั่ว ในเมื่อเป็นยอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุ แน่นอนว่าย่อมกอปรไปด้วยขุมกำลังที่ยืนหยัดไม่เคลื่อนแม้ฟ้าดินถล่มทลาย
และแน่นอนว่า นั่นต้องขึ้นกับสถานการณ์ แต่หากเรื่องราวร่วงหล่นลงจากฟ้า ถูกคนสาดใส่จนเลอะเทอะเปรอะเปื้อนทั้งตัว รับประกันว่าไม่มีใครทนยืนหยัดไม่เคลื่อนอยู่ได้
พวกที่หนังหน้าบางหน่อย อาจถึงขั้นตามหาต้นไม้แขวนคอตายเลยก็ได้
ผู้ที่ได้รับประสบการณ์พลิกผันเช่นนี้ ย่อมไม่มีหน้าไม่มีหนังไปพบพานผู้คนได้อีกต่อไป มีเพียงหนทางเสี่ยงตายกับฉินปาเตาเท่านั้น
ฉินจิ่วเกอคือลูกผู้ชายอันอาจหาญ แน่นอนว่าเรื่องพรรค์นี้ตัวมันไม่อาจกระทำได้
“ไป!”
มหาดวงธาตุทองคำ ไอวิญญาณพลุ่งพล่านไหลทะลักทลายดั่งน้ำในมหานที ประมุขหลิวบังคับถังไม้ขนาดใหญ่เจ็ดแปดถังลอยสูงขึ้นบนอากาศ พร้อมกันนั้น ถังไม้ก็ระเบิดออก สิ่งของด้านในเมื่อรวมพลังหนุนส่งของมหาดวงธาตุทองคำเข้าไปด้วย ยังคมปลาบกว่าใบมีด ร่วงหล่นแตกกระจายลงบนอาณาเขตของกลืนตะวัน
“แค่กแค่ก นี่มันอะไร?”
“มาเร็ว ศัตรูโจมตี!”
“ผู้ใด ฝีมืออันชั่วร้ายนัก ข้าไม่ขออยู่ร่วมฟ้ากับเจ้า!” มีคนตะโกนโหวกเหวกด้วยความโกรธา เสียงซ่าคราหนึ่ง โดนไปหนึ่งดอก
หอกลืนตะวันอลหม่านสับสนทั้งแผ่นผืน ทุกผู้คนถูกสาดชโลมทั่วร่าง แม้แต่ประมุขสำนักยังไม่ละเว้น ความเจ็บปวดมีเพียงชั่ววินาทีเดียว ที่หนักหนาคือกลิ่นและเนื้อวัตถุที่ยากทานทนเหลือรับ
ประมุขกลืนตะวันคล้ายสิ้นสติสมประดีไปแล้ว คนแทบคิดตัดจมูกทิ้ง สาปแช่งคนร้ายที่วางแผนโจมตีอย่างชั่วช้านี้ให้สิ้นบุตรหลานสืบตระกูล
“ฮ่าฮ่าฮ่า บรรพตสละฟ้าเราส่งของขวัญชิ้นใหญ่แก่พวกเจ้า เป็นเจตนาดีจากอาวุโสใหญ่ที่เพิ่งได้รับแต่งตั้งของพวกเรา ลาล่ะ!” ประมุขหลิวรายงานที่มาที่ไป กล่าวจบก็พาคนถอนตัวออกทันที
ชั่วครู่หนึ่ง ทั่วทั้งสำนักกลืนตะวันเงียบงันราวความตาย ไม่มีใครกล้าออกไปคิดบัญชี
ประมุขสำนักกลืนตะวันยืนนิ่งค้างเหม่อตะลึงอยู่กับที่ บนศีรษะเน่าเหม็น น้ำมูตรไหลย้อยลงอาบใบหน้าที่ตาเบิกค้าง ไหลคดเคี้ยวลงเบื้องล่าง อาบชโลมจนสารรูปทั้งน่ากลัวทั้งน่าสะอิดสะเอียน
มันกำหมัดแนบแน่น เพลิงโทสะในอกลุกท่วมท้องฟ้า
ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ใคร่ครวญก่อนเคลื่อนไหว รอจังหวะโจมตีสวน หรือยินดีโกรธาไม่เปิดเผยสีหน้าอันใดทั้งหลายแหล่เหล่านั้น
ล้วนเป็นวาจาผายลมทั้งสิ้น! ใครพูดก็ลองเองแล้วกัน!
” ฆ่า! ฆ่าพวกบัดซบนั่นให้หมด! พวกเรากลืนตะวันไม่ลงมือฆ่าล้างบรรพตสละฟ้า กลับกล้ามาหาเรื่องถึงถิ่น ตามไปฆ่ามันให้หมด!”
ไอวิญญาณระเบิดออก รัศมีพลังกวาดกราด ประมุขกลืนตะวันระเบิดมวลปฏิกูลทั้งหลายบนร่างกระเด็นออกไปแปะบนใบหน้าของอาวุโสและศิษย์ทั้งหลายทางด้านข้าง เนื่องเพราะสีหน้าอันน่าหวาดหวั่นพรั่นสะพรึงของประมุข พวกมันจึงไม่มีใครกล้ายกมือปาดเช็ดออก
อุ๊บ!
มีบางคนร่วงหล่นลงกับพื้น มืออุดจมูกไว้เกือบขาดอากาศหายใจตาย
อย่างน้อยหลังจากค่ำคืนนี้ หญ้าวัชพืชนานาพรรณในที่นี้ ล้วนต้องเจริญงอกงามบานสะพรั่ง
อาวุโสท่านหนึ่งกระซิบถาม “ประมุข ใช่สมควรอาบน้ำล้างหน้ากันหน่อยหรือไม่ แล้วค่อยออกไปตามไล่ฆ่าพวกมัน”
ผัวะ!
ใบหน้าของอาวุโสพลันปรากฏรอบฝ่ามือเหลืองอ๋อยประทับ “ล้างกะผีน่ะสิ ตามไปเดี๋ยวนี้ ข้าจะสับสังหารบรรพตสละฟ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น โดยเฉพาะไอ้คนแซ่หยางนั่น ข้าจะต้องจองล้างจองผลาญมันพันปีหมื่นปี!”
“ใช่แล้ว ไอ้คนแซ่หยางนั่น ข้าจะแล่เนื้อมันมากินทั้งเป็น ถลกหนังมันออกมา!”
และในเวลาเดียวกันนี้เอง ณ ฐานที่มั่นของตำหนักผนึกน้ำแข็งและวังสุนัขป่า ก็ปรากฏคนร้ายเข้ารุกราน สถานการณ์ไม่ต่างกันเท่าใด
ชั่วระยะเวลาหนึ่ง เมืองอวี่เกออึงอลไปด้วยเสียงตวาดไล่ล่าฆ่าฟัน สามตระกูลนำมือดีทั้งหมดออกมาติดตามสังหาร เลือดลมโทสะพุ่งขึ้นศีรษะตลอดจนซากร่าง ผู้คนโมโหโกรธาด้วยความอับอายอัปยศ อับอายและโกรธแค้นจนแทบสิ้นลม
แต่ละคนต่างไม่ทันได้อาบน้ำล้างตัวชงชาสงบจิตใจอันใดก็ตะโกนโหวกเหวกโวยวาย หกหน้าหกหลังไปรวมตัวกันที่กลางเมือง
ผู้ฝึกตนบางคนถูกปลุกตื่นขึ้น เห็นภาพเหตุการณ์ด้านนอก กลิ่นเหม็นคละคลุ้งตลบอบอวลในอากาศ ต้องรีบปิดหน้าต่างอย่างรวดเร็ว คนพวกนั้น มีไม่น้อยที่มีระดับชั้นกลั่นดวงธาตุ รวมกันแล้วไม่ต่ำกว่ายี่สิบคน
“พวกมันเกิดเรื่องอันใดขึ้น ที่อยู่บนตัวพวกกลั่นดวงธาตุนั่นที่แท้คืออะไรกัน?”
“หรือว่าอากาศหนาวเย็น เลยเอาขี้ผึ้งมาชดลมกายคลายความหนาว”
“แล้วทำไมถึงได้เหลืองอร่ามขนาดนั้น ยังเหม็นติดจมูก ดูแล้วยังกับของเสียในห้องส้วมยังไงยังงั้น อา น่าเวทนานัก เป็นข้ากัดลิ้นตายไปแล้ว”
“พี่ท่านช่างสายตาแยบคายนัก ข้าดูแล้ว คาดว่าพวกมันอบอุจจาระคลายหนาว”
“ทั้งหมดวิ่งไปหาบรรพตสละฟ้า พวกเรารีบไป วันนี้ในเมืองคงต้องมีเรื่องใหญ่โตแล้ว”
ผู้ฝึกตนในเมืองทั้งหลายล้วนมุ่งออกนอกเมือง หากยังไม่หลบหนีก็โง่แล้ว ตอนนี้สามตระกูลเงื้อมีดเงื้อดาบ ต่อให้โพธิสัตว์มาห้ามญาติก็คงไม่มีผล ยิ่งรวมกับอาบอุจจาระคลายหนาวเข้าไป แม้แต่ผู้ฝึกวิชาปีศาจเห็นเข้ายังต้องถอยกายไปสามก้าว
“ใครที่คิดแผนนี้ออกมากันนะ ช่างชั่วช้าอย่างถึงที่สุด” ผู้ฝึกตนที่หลบหนีตะลึงลาน บนร่างมันเพียงมีกางเกงนอนมาชุดหนึ่ง ยืนสั่นสะท้านกลางสายลมราตรี
ผู้ฝึกตนอีกคนเอ่ยออกมา “หรือว่าจะเป็นเจ้าคนแซ่ฉินนั่น ที่เรียกว่าฉินจิ่วเกอฉินปาเตาอะไรสักอย่าง”
“ไม่ใช่ เมื่อครู่ข้าอยู่ไม่ไกลเท่าใด ได้ยินมาว่าอาวุโสใหญ่ที่เพิ่งขึ้นรับตำแหน่งของบรรพตสละฟ้าเป็นคนเสนอ”
“เรื่องเสื่อมทรามทางศีลธรรมเช่นนี้ ยังคิดออกมาได้!” มีคนเอ่ยออกมาอย่างเจ็บปวด
อีกคนที่ยืนท้าลมหนาวเอ่ยขึ้น “บรรพตสละฟ้าจะดีจะชั่ว จะเมตตาหรืออำมหิตข้าไม่รู้ แต่ที่รู้ สถานที่นั้นคือที่บ่มเพาะตัวบัดซบชั้นแนวหน้าของยุทธภพ!”
“มีเหตุผล ผ่านคืนนี้ไป เกรงว่าคงไม่มีบรรพตสละฟ้าต่อไปอีก เมื่อครู่มีกลั่นดวงธาตุร่วมยี่สิบ ทั้งหมดล้วนเป็นมือดีของสามตระกูล น่ากลัวเกินไปแล้ว”
สามประมุขอำพรางร่องรอย ชักนำสามตระกูลมายังสถานที่ตามเป้าหมาย
สามตระกูลไล่ล่าตามมาจากเหนือใต้ตะวันออก รวมกันเป็นขบวนเดียว เมื่อต่างพบหน้า ทางทิศตะวันตกตั้งไว้ด้วยสวนน้อยหลังหนึ่ง ตรงปากทางยืนไว้ด้วยบุรุษหนุ่มชุดขาวสะอาดสะอ้าน รอคอยอยู่พร้อมมีดเชือดสุกรที่ถูกลับจนคมกริบ
สวนหย่อมทางทิศตะวันตก ไม่ไกลจากปรโลก พอดีสามารถส่งเสริมพวกมันเดินไปกลับสู่แดนสนธยา!
สามตระกูลปะหน้า ต่างก็สมเพชเวทนาอีกฝ่าย สาแก่ใจที่ฝ่ายตรงข้ามล้วนถูกสาดของสกปรกเหนียวเหนอะกลิ่นเหม็นคลุ้ง แต่ก็ไม่มีคุณสมบัติจะไปตั้งท่ารังเกียจอีกฝ่าย
ทั้งหมดต่างมองหน้ากันและกัน ดวงตารื้นหยาดน้ำ หัวอกเดียวกัน ซาบซึ้งใจยิ่ง