เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 148 หิมะโปรยปรายคล้ายอันใดจวงปี้ผงะไป

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

การไปเมืองล่วนโต้วครั้งนี้ แม้จะเป็นระยะทางถึงแปดแสนลี้ แต่กับกลั่นดวงธาตุที่สามารถเคลื่อนย้ายข้ามมิติ นี่ย่อมไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรงเลย

แต่นี่อะไร เนื้อตัวขะมุกขะมอม เสื้อผ้ารุ่งริ่งเหมือนกระยาจก

สภาพของจวงเกาโฉ่วที่เหมือนไปเกลือกกลั้วในโรงเผาศพมารอบหนึ่งสร้างความสับสนงุนงงให้กับซุนไป๋และจวงปี้เป็นอย่างมาก

เมืองเทียนเอินฟ้าฝนเป็นใจ ปราศจากเถ้าภูเขาไฟ แล้วเจ้าไปคลุกเขม่าถ่านที่ไหนมา

จวงเกาโฉ่วตอนนี้กลายสภาพไปเป็นจวงตีโฉ่ว[1]ร่ำไห้กอดเข่าท่านประมุขร่ำร้องถึงประสบการณ์อันโหดร้ายที่ตนต้องประสบพบเจอมา ใครที่ได้เห็นเป็นต้องหดหู่ซึมเซา ใครที่ได้ฟังเป็นต้องหลั่งน้ำตาเห็นใจ

แต่ตอนนี้ สิ่งสำคัญที่สุดคือการควบรวมกับสมาพันธ์อู่ซิ่ง

ซุนไป๋กล่าว “อีกฝ่ายกำราบเจ้าในกระบวนท่าเดียว ถือว่าไว้มือมากแล้ว อย่างน้อยๆ หากไม่ถึงขั้นเจ็ดกลั่นดวงธาตุ อย่าได้ไปทวงบัญชีอีกเลย ฝ่ายนั้นก็แค่ศิษย์จากตระกูลเล็กๆ ไม่อาจก่อกวนคลื่นลมใหญ่โตอะไรได้หรอก”

กลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ด ถือว่าคู่ควรให้เมืองเทียนเอินพิจารณาอย่างจริงจังด้วยแล้ว ไม่อาจตอแยด้วยง่ายๆ

จวงปี้ไม่ได้โง่งมไร้สมอง คิดอยู่ครู่เดียว ก็ตั้งใจจะปล่อยผ่าน ขี้คร้านเกินกว่าจะไปใส่ใจเรื่องตระกูลซูขี้ปะติ๋วนั่นอีก

“ท่านประมุข” จวงเกาโฉ่วใบหน้าดำเป็นตอตะโก ยามอ้าปากจึงเห็นฟันขาวมาแต่ไกล แม้แต่ราตรีอันมืดมิดยังกลายเป็นสว่างไสวขึ้นมา “ประมุขน้อยที่พวกมันกล่าวถึง บอกว่าเป็นคนรู้จักของท่าน ยังคงยืนกรานให้ท่านไปเยี่ยมหามันที่เมืองล่วนโต้วสักรอบ”

“หือ? ” นี่เป็นครั้งที่สองแล้วที่จวงปี้ได้รับเทียบเชิญจากอีกฝ่าย จึงมิอาจไม่แบ่งความสนใจมากสักสามส่วน

ฝ่ายนั้นมียอดยุทธ์กลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดในสังกัด ตัวตนที่สามารถถอดแกนวิญญาณออกนอกกาย คู่ควรให้ใช้คำว่ามากอิทธิฤทธิ์ ส่วนผู้ที่คู่ควรให้อีกฝ่ายเรียกหาว่าประมุขน้อย การปฏิบัติขั้นนี้ ต่อให้เป็นหัวกะทิจากสี่พรรคใหญ่เผ่ามนุษย์เองก็ไม่แน่ว่าจะสามารถทำให้กลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดยอมก้มหัวให้เช่นนี้ได้

ผู้ฝึกตนเองก็มีความทระนงอยู่ในตัวเหมือนกันหมด จึงเป็นไปไม่ได้ที่จะยอมลดเกียรติให้ถูกลูบคม

ตระกูลจวงในฐานะที่เป็นพันธมิตรคนสำคัญกับเขาพิรุณเซียน ซุนไป๋จึงอดที่จะกังวลแทนอีกฝ่ายไม่ได้ “อีกฝ่ายไม่มีเจตนาดี ลำดับแรกพวกมันยั่วยุให้ตระกูลเล็กๆ ที่ไร้ชื่อเสียงเรียงนามมาตอแยพวกเราโดยเจตนา จากนั้นก็ส่งเทียบเชิญมาหาท่าน จึงมิอาจไม่ระวังให้ดี”

ฉินจิ่วเกอไม่ได้รู้เลยว่า การกระทำแบบไม่คิดอะไรของมันกลับถูกอีกฝ่ายมองว่าเป็นทฤษฎีสมคบคิดไปเสียฉิบ ซ้ำร้ายยังระแวงจนตัวแจ

จวงปี้ปักใจเชื่อไปแล้วว่าสถานการณ์ต้องเป็นอย่างที่ซุนไป๋ว่ามา “หรือเป้าหมายของพวกมันจะเป็นข้า? นี่เป็นฝีมือของค่ายพรรคเดชมาร หรือพรรคทรราชกันแน่? ”

กล้าลงมือกับยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุขั้นแปด เมืองเทียนเอิน จะมีก็แค่ไม่กี่ตระกูล

ซุนไป๋หัวเราะเสียงเหี้ยม ลูบเครากล่าว “ท่านอย่าได้กังวลไปเลย สหายคนนี้จะติดตามท่านไปเมืองล่วนโต้วเอง หากเป็นอุบายของค่ายพรรคเดชมารหรือพรรคทรราช ก็ทำให้แน่ใจว่าพวกมันจะได้รับผลจากการกระทำของตัวเอง”

“มีท่านร่วมเดินทางไปกับข้า นั่นย่อมประเสริฐสุด”

คาดไม่ถึงว่าในเมืองล่วนโต้วกระจ้อยร่อยนั้น กลับมีตัวตนอย่างกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดหรือกระทั่งสูงกว่าพำนักอยู่ และชัดเจนว่าไม่ใช่ตระกูลที่แยกย่อยมาจากเมืองเทียนเอินแน่

ซุนไป๋ตัดสินไปแล้วว่าฉินจิ่วเกอจะต้องเป็นคนชั่วช้าคนหนึ่งอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้หลังร่ำสุรากันเสร็จมันและจวงปี้จึงออกมุ่งหน้าไปยังเมืองล่วนโต้วทันที

จะเป็นคนหรือมาร เดี๋ยวก็จะได้รู้กันแล้ว

ในเมืองเทียนเอิน ภาพที่ตระกูลจวงส่งยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุไปๆ มาๆ ทั้งยังกลับมาในสภาพทุลักทุเลก็ได้ดึงดูดสายตาจากผู้อื่นนานแล้ว ภายในสมาพันธ์อู่ซิ่ง เงาร่างสีดำสายหนึ่งที่เนื้อตัวมีแต่ไอมรณะเข้มข้นรายล้อม หนาแน่นลูบไล้ไปถึงเหงือกและฟัน

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ ประมุขจวงและอาวุโสขั้นหนึ่งของเขาพิรุณเซียนได้ออกไปจากเมืองเทียนเอินแล้ว ก่อนหน้านี้ตระกูลจวงยังส่งกลั่นดวงธาตุออกไปสองคน แต่ก็ต้องหมดสารรูปกลับมา เกรงว่าคงมีเรื่องบางอย่าง”

“กลั่นดวงธาตุขั้นแปดสองคน ถือว่าไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อยที่ไหน” สุ้มเสียงใสกระจ่างเหนือโลกาดังขึ้น ในน้ำเสียงมีความผันแปรไม่รู้จบ

บ้างก็น่าตื่นตระหนกดุจฟ้าคำรน บ้างก็สงบนิ่งดั่งผิวน้ำ หรือจู่ๆ ก็แตกปะทุออกมาเหมือนเปลวเพลิง ไม่ก็เยียบเย็นเหมือนถูกแช่แข็ง

เต็มไปด้วยมนต์เสน่ห์ล่อลวงชวนพิศวง เพียงได้ฟังก็รู้ได้ทันที พันเปลี่ยนหมื่นแปรดังสำเนียงมารอสูร

นางมารดูดโลหิต ผ่าเปิดควักสมอง ชำแหละหัวใจมนุษย์ เย้ายวนล่อลวงใจ เป็นความยั่วยวนที่งดงามที่สุด แต่ก็เป็นไพ่สังหารที่เปี่ยมภยันตรายสูงสุดเช่นกัน ของที่ยิ่งสวย ก็ยิ่งยากจะครอบครอง ยิ่งคุกคามต่อชีวิต

“ฮิฮิ”

สายลมพัดผ่าน จันทราหลีกลี้

“ก็แค่ตาแก่กลั่นดวงธาตุขั้นแปดสองคน ไม่ต้องไปใส่ใจ แค่จับตาเมืองเทียนเอินไว้ให้ดีก็พอ พวกมันต้องกลับมาก่อนที่ข้าจะเลือกคู่ครองอยู่แล้ว”

“ทราบ! ”

เจ้าสมาพันธ์ เก้าดวงธาตุสูงสุดผู้เกรียงไกร บัดนี้กลับทำได้เพียงโขกศีรษะอยู่กับพื้น สยบราบคาบเหมือนสุนัขแสนเชื่องเชื่อตัวหนึ่ง

และเงาดำสกปรกสายนั้นก็คือมัน!

เจ้าสมาพันธ์ที่กำลังคุกเข่าศิโรราบอยู่กับพื้นแอบผงกหัวขึ้นเป็นพักๆ แต่ก็กล้าเพียงใช้หางตามองไปทางเงาร่างอันรุ่มร้อนเย้ายวนนั่น ทุกท่วงท่าของนางล้วนเปี่ยมไปด้วยสิเน่หา มากพอที่จะทำให้ผู้คนยินดีถวายชีวิต

“ข้างามหรือไม่? ”

เสียงที่เหมือนลมวสันต์พัดผ่าน นำพากลิ่นสุคนธ์ลอยล่อง กังวานไปทั่วทุกทาง

ปลายเท้าเยาะย่างไปตามพรมแดงฉานคล้ายกำลังก้าวเดินอยู่บนทะเลโลหิต เท้าที่ราวกับสลักขึ้นจากหยกหิมะขาวคู่นั้นมีกระพรวนกระจุ๋มกระจิ๋มรัดร้อยเอาไว้อย่างประณีต ยามก้าวเดินจึงเกิดเสียงใสกังวาน

เท้าขาวผ่องไร้มลทินยกขึ้นอย่างนิ่มนวล ข้อเท้าเพรียวบางแน่งน้อยจนกุมได้รอบ เล็บทั้งห้าราวกับกลีบบุปผาใสผลึกเชิดปลายคางของเจ้าสมาพันธ์อู่ซิ่งขึ้นมาน้อยๆ

“มีคนมากมายชมชอบข้า เป็นพวกดีแต่ปากไร้ซึ่งความจริงใจ ข้านิยมตัดลิ้นพวกมันออกมาทั้งยวง แล้วนำไปบ่มไว้ในหม้อ ดูว่าจะเน่าเฟะหรือไม่”

อุ้งมือน้อยขาวสะอาดตาขยับเบาๆ คราหนึ่ง เกิดเสียงปริแตกใสกังวานดังตามมา เป็นเหยือกโถใบใหญ่ที่กระแทกเข้ากับหน้าผากของเจ้าสมาพันธ์จนเลือดกลบ แลดูน่าขนลุก ผิวถูกบาดเฉือนจนกลายเป็นเหวอะหวะ ลึกจนเห็นถึงกระดูก

เลือดไหลโซมใบหน้า ก่อนหยาดหยดลงสู่ผืนพรมแดงที่เบื้องล่าง

ลิ้นนับร้อยๆ ก่ายกองจนสมองเลอะเลือน ถูกบ่มจนเป็นสีม่วงคล้ำ ส่งกลิ่นเหม็นสุดทานทน

เจ้าสมาพันธ์คุกเข่าลดศีรษะ ใบหน้าไร้สีเลือด วิงวอนขอชีวิต

เสียงมารร้ายพลันกลับกลายเป็นเสียงลมวสันต์ระรื่นอีกครั้ง “ล้อเล่นหรอก นี่ก็แค่ลิ้นหมู เจ้าเห็นด้วยหรือเปล่า? ”

“ขอรับ ขอรับ”

“เหอเหอ ถ้าไม่ใช่เป็นเพราะกฎสรรพสิ่งไม่อาจเผยตัวได้ตามใจละก็ มีหรือเจ้าจะมีโอกาสได้ถวายความภักดีต่อพรรคโลหิตจางข้า ไปซะ ไปทำงานของเจ้าให้ดี หากเจ้ายังกล้าคิดอกุศลอยู่อีก ฮึ่ม ต่อให้บรรพชนสุญญตามาเอง ยังไม่แน่ว่าจะปกป้องเจ้าได้เสมอไป”

และแล้วเจ้าสมาพันธ์อู่ซิ่งก็ตะเกียกตะกายจากไป ชายอาภรณ์แดงฉานตวัดม้วนทีหนึ่ง ที่เหลืออยู่มีเพียงม่านหมอก อาบย้อมให้แสงจันทร์และแสงเทียนกลายเป็นสีแดงฉานดั่งโลหิต

ร่างของนางอาบไล้อยู่กลางหมอกโลหิต เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ บ้างก็เผยให้เห็นสัดส่วนโค้งเว้าอันวิจิตร ท่วงท่าร่ายรำตระการตา ผิวพรรณเปลือยเปล่ากระตุ้นกามารมณ์ เหมือนผีเสื้อที่ร่ายรำฉวัดเฉวียน ดื่มด่ำอยู่ในโลกแห่งบุปผามาลา

ผ่านไปครู่หนึ่ง ลมดำทะมึนหอบหนึ่งก็กระโชกวูบ

พัดเอาแสงเทียนมอดดับ เรือนร่างอันสมบูรณ์ค่อยๆ พร่าเลือนไปในความมืด รอบด้านคืนสู่บรรยากาศชวนขนลุกดั่งขุมนรกอีกครั้ง

เมืองล่วนโต้วและเมืองเทียนเอินอยู่ห่างกันไม่ถึงหนึ่งล้านลี้ ทั้งจวงปี้และซุนไป๋ต่างก็เป็นกลั่นดวงธาตุขั้นแปดผู้เกรียงไกร ตัวตนเช่นนี้กับเมืองเทียนเอิน ต่อให้พวกมันเกิดอุตริอยากเลียนอย่างท่าเดินของปูขึ้นมาก็ยังไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวน

การเดินทางเที่ยวนี้ คนทั้งสองเพียงใช้เวลาแค่ครึ่งวัน ก็ข้ามมิติมาถึงนอกเมืองล่วนโต้วแล้ว เมื่อมาถึงนอกเมือง จวงปี้ผู้มีสัมผัสเฉียบคมก็รับรู้ได้ถึงอันตราย ราวกับว่าภายในเมืองมีพลังอันชั่วร้ายทรงพลังแอบแฝงอยู่

บนโลกนี้ คนดีมีน้อย คนชั่วมีมาก นี่คือสัจธรรมร้อยปีของชีวิตจวงปี้ โดยเฉพาะตัวตนอย่างเฒ่าเรืองปัญญา หน้าหนา อายุยืน ระดับฝีมือสูงล้ำ เรียกได้ว่าเป็นบรรพชนแห่งอำนาจมืดทั้งปวงในโลกเลยก็ว่าได้

จวงปี้ผู้ได้ทักษะหลบเลี่ยงยามมีภัยร้ายติดตัวมาก็ได้เดินทางมาถึงนอกเมืองในเวลานี้ ทันใดนั้นสัญญาณเตือนภัยภายในใจก็ส่งเสียงเตือนเต็มอัตรา บันดาลให้มันมิอาจไม่ระวังตัวจนเหงื่อซึม

ซุนไป๋ปิดด่านมาหลายสิบปี เพราะช่วงนี้มีเรื่องสมาพันธ์อู่ซิ่งจึงต้องออกด่านมา

และก็เพราะทัศนคติอย่างตะลุยฝ่าหิมะแม้ไม่เห็นทาง ออกท่องโลกหล้าโดยไม่นำพานี้เอง ยามกระทำการ จึงแตกต่างกับประมุขจวงผู้รอบคอบโดยสิ้นเชิง

“ไฉนถึงหยุดเอาดื้อๆ? ”

ซุนไป๋ลอยตัวอยู่เหนือน่านฟ้า เมืองล่วนโต้วเล็กๆ จุประชากรล้านคน ในสายตาของมัน ยังเล็กกว่าฝ่ามือของตัวมันเองเสียด้วยซ้ำ

ประมุขจวงเองก็ไม่ทราบว่าทำไมตนถึงได้กลัวขึ้นมาอย่างนี้ แต่กลิ่นอายมืดครึ้มและชั่วร้ายถึงขีดสุดที่มาจากภายในเมืองย่อมไม่ใช่ของปลอมแน่

กล่าว “พี่ซุน เอาเป็นว่าพวกเรารอดูเหตุการณ์อยู่นอกเมืองสักระยะดีหรือไม่ ข้าว่าในเมืองตอนนี้สถานการณ์ไม่ค่อยจะสงบสุขนัก”

ซุนไป๋ผู้มีทัศนคติยอดฝีมือเปลี่ยวเอกามีหรือจะฟังเข้าหู มันเอ่ยอย่างดูแคลน “จะกลัวอะไร เขาพิรุณเซียนของข้าผงาดเหนือเมืองเทียนเอินมาช้านาน ไม่ใช่สถานที่ที่ใครก็มาตอแยด้วยได้ ต่อให้เป็นเก้าดวงธาตุสูงสุดก็ไม่สามารถ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ยังต้องไว้หน้าข้าอยู่”

“มันก็จริง” จวงปี้ปาดเหงื่อ รู้สึกร้อนรุ่มยิ่งกว่าเดิม

ซุนไป๋คันไม้คันมืออยากขยับแข้งขยับขามาได้สักพักแล้ว เห็นภาพประมุขจวงเอาแต่รีๆ ขวางๆ ไม่กล้าเข้าไปในเมืองสักที มันก็ชิงเป็นฝ่ายเดินนำ มุ่งหน้าเข้าสู่อาณาเขตของตระกูลซู

ไม่ต้องมากความ ซุนไป๋ก็เหินตัวข้ามระยะ เงาร่างเปลี่ยนเป็นภาพติดตา เพียงพริบตาเดียว มันก็หายเข้าไปในตัวเมือง ไปโผล่อยู่บนหลังคาบ้านหลังหนึ่ง

ในเมืองล่วนโต้ว คิดตามหาที่ตั้งของตระกูลซูย่อมไม่ใช่เรื่องยาก ในเวลาไม่กี่อึดใจ ซุนไป๋ก็มาถึงหน้าประตูบ้านตระกูลซูเป็นที่เรียบร้อย ช่างน่าประทับใจเพียงไหน

ซุนไป๋คิ้วขาวผมขาว หนวดเคราหรือก็ขาว เส้นขนทั่วตัวก็ขาว เรียกได้ว่าเป็นยอดบุรุษคนขาว เคราขาวที่ยาวจรดหน้าอกแตกปลายเล็กน้อย ขนคิ้วเป็นแพดั่งขนพู่กัน ลมหายใจที่พ่นออกจากปลายจมูกแหลมคมดั่งหัวลูกศร

“คนของตระกูลซู ยังไม่รีบโผล่หัวออกมารับความตาย! ”

ตวาดอย่างเกรี้ยวกราด รัศมีพลังของซุนไป๋ก็ระเบิดถาโถม เพียงแค่พลังเสียง ก็สั่นกระแทกอาคารบ้านเรือนรอบด้านจนถล่มลงมาทั้งแถบ ผู้คนตะกายตัวออกจากซากสถาน ส่งเสียงกรีดร้องหนีตายกันจ้าละหวั่น

นี่ก็คือยอดฝีมือกลั่นดวงธาตุ บงการชีวิตผู้อ่อนแอ ซุนไป๋คุ้นเคยกับความสูงส่งเหนือโลกาเช่นนี้มานาน ทุกครั้งที่แผลงฤทธิ์ เป็นต้องเห็นตัวเองเป็นเหมือนเทพเทวาทอดตามองมดปลวกเบื้องล่าง ให้ความรู้สึกกระชุ่มกระชวยเป็นที่สุด

“เกิดอะไรขึ้น? ” ฉินจิ่วเกอโปะแตงกวาไว้บนหน้า จากนั้นแตงกวาที่อยู่ใกล้ปากก็ถูกลิ้นตวัดหายเข้าไป พอดีได้ยินความวุ่นวายมาจากข้างนอก เสียงกระหึ่มปานสายฟ้าถล่มลงจากสวรรค์

ประมุขน้อยบรรพตสละฟ้าที่กำลังเอนกายอย่างสบายอุราเป็นต้องวิ่งเท้าเปล่าออกมาดูสถานการณ์

สองมือป้องไว้เหนือศีรษะ แตงกวาฝานหล่นกระจายเต็มพื้น

“ประมุขหยาง พวกเจ้าไปตายโหงที่ไหนกันหมด” ฉินจิ่วเกอที่สะดุ้งจนขวัญหาย บัดนี้จึงอารมณ์ขุ่นมัวยิ่ง

ประมุขหยางขณะนี้กำลังอบรมแผนพัฒนาการห้องส้วมให้กับตระกูลซู พอได้ยินเสียงร่ำร้องของฉินจิ่วเกอ มันก็รีบถลาตัวออกจากห้องส้วม เกือบทำประมุขซูร่วงตกหลุมถ่ายไป

ซุนไป๋พอเห็นความวุ่นวายในบ้านตระกูลซู ทั้งไม่มีใครกล้าออกปากออกเสียงก็ยิ่งกระหยิ่มยิ้มย่อง ขณะเดียวกันก็เริ่มดูถูกประมุขจวงขึ้นมา จวงปี้เอ๋ย ตระกูลซูกระจิ๋วหลิวคู่ควรให้เราคิดหน้าคิดหลังด้วยหรือไง

ต่อให้พวกมันเชิญกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดมาได้จริง อีกฝ่ายจะกล้าแตกหักกับมันหรือ?

ซุนไป๋มือไพล่หลังยกเท้าเดินเข้าไป พร้อมให้อีกฝ่ายปรนนิบัติตนราวกับเจอจักรพรรดิสวรรค์เต็มที่

“ไม่ใช่พี่จวง” ฉินจิ่วเกอแคะหู ในใจไม่สบอารมณ์ยิ่ง “ไปสั่งสอนเจ้าบ้าห้าร้อยนั่นให้ข้า เอาให้เข็ดหลาบไปเลย! ”

“รับทราบ! ” สี่ประมุขรับคำแข็งขัน นำพาพลังแปลบปลาบวูบวาบครืนครนโอบตีซุนไป๋จากทุกทิศทาง

วีรชนซุนไป๋ที่กำลังหลับตาพริ้มเตรียมรับการแห่กราบจากปวงประชาเพิ่งจะก้าวเข้ามาถึง ด้านหน้าพลันปรากฏวัวดำตัวเท่าฝาบ้านวิ่งตะกุยเข้ามา

“กลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ด? ” ซุนไป๋ประหลาดใจอยู่บ้าง ตระกูลซูเล็กๆ ที่เก็บตัวอยู่ในเมืองล่วนโต้วแห่งนี้ถึงกับมีกลั่นดวงธาตุคอยให้ความคุ้มครองอยู่จริง!

แถมยังเป็นกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ด ไม่ว่าที่ไหนก็ถือว่าเป็นอาวุโสทรงสิทธิ์ ถือครองอำนาจยิ่งใหญ่ เกียรติยศสูงล้ำ

“ไม่ประมาณตน! ”

แต่มันที่เป็นถึงกลั่นดวงธาตุขั้นแปด คิดสยบอีกฝ่าย ย่อมไม่ใช่ปัญหา

ขณะที่ซุนไป๋กำลังจะสำแดงพลังอยู่นั้น ทางฝั่งขวากลับมีวานรตัวหนึ่งกระโจนเข้ามา

[1] จวงเกาโฉ่ว เกาโฉ่ว แปลว่า ยอดฝีมือ

จวงตีโฉ่ว ตีโฉ่ว แปลว่า ไร้ฝีมือ กาก

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท