เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 152 อลเวง

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“เอาล่ะ” ฉินจิ่วเกอขึงขังจริงจัง จัดหมวกให้ตรง จัดปกเสื้อให้เรียบ สองนิ้วกรีดออกเป็นท่ากระบี่ ยืนอยู่บนแท่นพิธียกสูงในห้องโถงใหญ่ ท่วงท่าเคร่งขรึมจริงจัง น้ำเสียงตั้งมั่น

“อาวุโสใหญ่บรรพตสละฟ้าไปอยู่ไหน? ” ส่งเสียงถาม พลังบารมีชัดเจนในน้ำเสียง จนแม้แต่ประมุขจวงที่กำลังปิดตาทำสมาธิยังต้องปรายตามอง

“ผู้น้อยอยู่นี่! ”

ประมุขหยางปรากฏตัว ศีรษะลดต่ำ สองมือประสานอก ปราศจากท่าทีล้อเล่นไม่เคารพใดๆ

“เชิญเอาตราประทับบรรพตสละฟ้าออกมา”

ตราประทับคือหลักฐานบ่งบอกถึงอำนาจที่ขุมอำนาจต่างๆ ในทวีปฉงหลิงใช้กัน เล็กๆ ไม่ ใหญ่ๆ ทำ

ของสิ่งนี้ โดยปกติแล้วจะอยู่ในมือของผู้นำ เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกถึงฐานะและความมีเกียรติอันสูงส่ง

ซุนไป๋แค่นเสียงดูถูกทีหนึ่ง ขาไขว้กัน ท่าทางขาดๆ เกินๆ จะนั่งก็ไม่นั่ง จะยืนก็ไม่ยืน

บรรพตสละฟ้ากระจ้อยร่อย บรรพชนเฒ่าไม่เอาอ่าว ยามส่งมอบประทับบรรพต ยังต้องเล่นลวดลายกันขนาดนี้ แต่ก็เท่านั้น

“ตราบรรพตสละฟ้า ตราประทับบรรพตผนึกธาตุอยู่ที่นี่!”

ประมุขหยางคุกเข่าลงข้างหนึ่ง สองมือถวายตราขึ้นเหนือศีรษะ ส่งมอบให้ถึงมือฉินจิ่วเกอ

นี่คือตราประทับสูงสุดของบรรพตสละฟ้า เป็นเฒ่าเสียเยว่ไปขอให้ทางสมาคมช่วยทำขึ้นตอนที่ก่อตั้งบรรพตสละฟ้า

แต่เป็นเพราะฐานะผู้ฝึกวิชาปีศาจและเผ่าพิสดาร ทางสมาคมจึงปฏิเสธไม่รับงาน

ดังนั้น เฒ่าเสียเยว่ที่บันดาลโทสะจึงล้างสาขาของสมาคมนักจัดวางค่ายกลไปหนึ่ง ก่อนจะใช้พลังแห่งกฎเกณฑ์ของตนกลั่นสกัดธาตุดาวตกที่อีกฝ่ายเก็บเอาไว้

ก่อนอื่นก็ผ่านการชุบเลี้ยงจากพลังแห่งกฎเกณฑ์ เปลี่ยนจากของเน่าเฟะให้เป็นของวิเศษ จากนั้นก็ใช้แก่นโลหิตของสัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งชำระล้างอีกที

ประทับบรรพตผนึกธาตุ คุณภาพชิ้นงานเทียบได้กับศาสตราศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลาง เขาพิรุณเซียนยังมีเพียงแค่ชิ้นเดียว

และก็คือชิ้นที่ถูกอาวุโสใหญ่ริบไป

ภายใต้การกลุ้มรุมจากสามสุดยอดเมืองเทียนเอิน อาวุโสใหญ่ก็ระเบิดสี่ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ก่อนหลบหนีไป ทำให้ยามนี้สี่ขุมอำนาจสูงสุดไม่อาจนำศาสตราศักดิ์สิทธิ์ระดับกลางที่มีอยู่เพียงหนึ่งชิ้นออกมาได้อีก

ซุนไป๋ตาร้อนขึ้นมาโดยพลัน ตั้งแต่ตราประทับโผล่ออกมา มันก็ไม่เคยละสายตาไปไหน ในใจรู้สึกเหมือนมีอะไรมาข่วน

ปีศาจในศาลเจ้าย่อมแข็งแกร่ง น้ำลดตอจึงผุด บรรพตสละฟ้าเล็กๆ ที่มีคนอยู่เพียงหยิบมือกลับสามารถเอาวัตถุที่มีคุณภาพระดับศาสตราศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางออกมาได้ นี่มันหาเรื่องใส่ตัวแท้ๆ

สมบัติระดับนี้นอกจากมันใครจะสามารถถือครองได้อีก?

ซุนไป๋วางแผนไว้ว่าหลังกลับถึงพรรค มันจะช่วงชิงตราประทับนี้มาไว้ในมืออย่างอาจหาญ ตนเองทำคุณความดีขนาดนี้ไว้ สมบัติระดับนี้ ต่อให้เป็นเจ้าสำนักก็ยังทำได้แค่บีบจมูกแล้วตบรางวัลให้ตนเท่านั้น

ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ ต่อให้เป็นศาสตราศักดิ์สิทธิ์ที่แย่ที่สุด ก็ไม่ใช่สิ่งที่ศิลาวิญญาณระดับต่ำจะสามารถซื้อหามาได้

ในแต่ละปีเขาพิรุณเซียนมีค่าใช้จ่ายไม่น้อย ศาสตราศักดิ์สิทธิ์ต่อให้เป็นซุนไป๋เองก็ยังไม่มี แค่ศาสตราบรรพกาลชุดหนึ่งก็หืดขึ้นคอแล้ว

หลังจากได้ตราประทับมาไว้ในมือ ซุนไป๋ก็ไม่อาจถอนตัวได้อีก แทบจะหยดเลือดทำพิธียอมรับนายมันตรงนั้น

สี่ประมุขขุนเขายังวางหน้าเรียบเฉย แน่ใจได้เลยว่า หากเจ้ากล้าล่วงเกินเทพมารที่บงการชีวิตผู้คนอย่างประมุขน้อยเข้า หลังกลับไปแล้ว ชีวิตที่เคยชื่นมื่นของซุนไป๋ย่อมจบลงแต่เพียงเท่านี้

ประมุขจวงไม่ได้พูดอะไร แม้จะไม่ได้มีลางสังหรณ์รุนแรงเท่าสี่ประมุข แต่มันเองก็รู้ว่าซุนไป๋ชะตาขาดแล้ว

บรรพตสละฟ้า บรรพตสละฟ้า ที่แท้ตั้งอยู่ที่ไหนกันแน่ คล้ายเคยได้ยินมาก่อน

“เอาล่ะ เชิญอาวุโสซุนไป๋กลับเมืองก่อนเถอะ อีกสามวัน พวกเราพร้อมบรรพชนเฒ่าจะไปเยือนท่านถึงที่” ฉินจิ่วเกอมั่นใจเต็มเปี่ยม ไม่ว่าซุนไป๋จะเป็นตัวตนเช่นไรก็ตาม

“ดีๆๆ เจ้านี่เข้าใจเรื่องราวดีจริงๆ อย่าลืมเรียกบรรพชนเฒ่าของพวกเจ้ามาด้วยล่ะ ข้าพอจะมีเวลาให้คำชี้แนะกับมันอยู่ รับรองมันต้องทะลวงด่านกลั่นดวงธาตุได้แน่”

“ตกลง”

พวกที่กล้าเอาเปรียบตน นอกจากญาติมิตรคนสนิท จำต้องชดใช้ให้ข้าเป็นสิบเท่า!

ฉินจิ่วเกอมีคติประจำใจอยู่อย่าง: ยามที่มันบ้าขึ้นมา แม้แต่ตัวมันเองมันก็กล้ากัด ส่วนสิ่งที่เป็นชนวนจุดความบ้าของมัน โดยส่วนใหญ่ก็คือเงิน

สามารถคาดการณ์ได้ว่า เงินเพียงแดงเดียวสามารถบีบให้วีรชนคนกล้าต้องตายอนาถ ประโยคนี้ช่างเปี่ยมวิสัยทัศน์และเที่ยงตรงถึงเพียงไหน

ขนาดเฒ่าเสียเยว่ยังสูญหายไปจากพิภพ แม้แต่วัฏฏะสงสารก็ไม่ได้กลับเข้าไป

แล้วซุนไป๋ที่อยากจะจูงจมูกมัน หากระเบิดแกนวิญญาณตายไปตอนนี้ ก็คงจะตามเฒ่าเสียเยว่ไปได้ทันอยู่

ต่อจากนั้น ทุกคนก็กินดื่มกันสนุกสนาน เสร็จแล้วก็ส่งซุนไป๋ออกนอกเมืองด้วยรอยยิ้ม

พอรู้ว่าบรรพตของพวกมันกำลังจะควบรวมกับพรรคอื่น สี่ประมุขไม่เพียงไม่เศร้า แต่กลับยิ่งหัวร่อเบิกบานกว่าผู้ใด

ซุนไป๋เห็นดังนี้ก็ยิ่งเบาใจ ดูเหมือนว่าเจ้าเด็กนี่จะบริหารงานไม่เป็นเอาเสียเลย ที่ผ่านมาคงเพราะโชคช่วย แต่ที่จริงคือไม่เป็นโล้เป็นพาย รอจนบรรพตสละฟ้ามาเข้าร่วม ตนค่อยเผื่อแผ่ความเมตตาให้บ้างก็แล้วกัน ไม่แน่ อีกหน่อยตนอาจมีน้องเล็กเป็นสี่ประมุขขุนเขาก็ได้

ประมุขจวงผู้ยังคงภักดีต่อสหาย เตรียมที่จะตักเตือนซุนไป๋ว่าให้ระวังเอาไว้บ้าง

แต่ซุนไป๋ยามนี้สติสตางค์ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเพราะความโลภไปแล้ว โดยเฉพาะกับตราประทับชิ้นนั้น ที่ยิ่งทำให้ซุนไป๋มุ่งมั่นที่จะผนวกบรรพตสละฟ้ามาเป็นพวกเดียวกับตน เพื่อที่จะได้แทะเนื้อหนังของอีกฝ่ายจนไม่เหลือแม้แต่กระดูก

กับเรื่องนี้ จวงปี้ก็ได้แต่ถอนใจและไม่อาจพูดอะไรได้อีก ยุคสมัยนี้ คนที่จวงปี้ (เสแสร้ง) นั้นมีไม่มาก แต่คนที่โง่จริงนั้นมีไม่น้อย

โง่นั้นยังพอว่า แต่ประเด็นคือยังไร้นัยน์ตา ไม่ได้รู้ถึงฤทธิ์ความชั่วร้ายของปีศาจตัวนี้เสียบ้างเลย สิ่งเดียวที่จวงปี้พอจะทำให้อีกฝ่ายได้คือการไว้อาลัย

“พวกเจ้าหัวเราะอะไรไม่ทราบ? ” ฉินจิ่วเกอเบะปาก “ข้าทำด้วยความจริงใจหรอกนะ หวังจะให้ซุนไป๋นั่นเอาตราประทับไปให้ถึงมือเจ้าสำนักเขาพิรุณเซียน”

“แน่นอน แน่นอน”

แล้วสี่ประมุขขุนเขาก็ต้องระเบิดหัวร่อออกมาดังลั่น เมื่อนึกถึงจุดจบอันน่าสังเวชของซุนไป๋

ฉินจิ่วเกอพอเห็นทุกคนหัวเราะ ตัวเองก็ต้องหัวเราะตามจนต้องยกมือกุมท้อง หัวเราะจนหายใจหายคอไม่ทัน

นึกถึงตอนนั้นที่ท่านอาจารย์ใช้รองเท้าตบหน้าจอมทรราชจนกระเด็น จะเจ้าสำนักก็ดี เจ้าสมาพันธ์ก็ดี หรือประมุขพรรคไม่ว่าจะหน้าไหนทันทีที่เห็นมัน มีแต่ต้องทำตัวนอบน้อมกันทั้งนั้น จะมีก็แต่ซุนไป๋ที่ไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์ จึงหูหนวกตาบอดเช่นนี้

คิดดูแล้วก็ถูก ขอเพียงสี่หัวหอกไม่ได้ไร้สมอง ก็คงไม่แพร่งพรายเรื่องที่พวกมันถูกทุบตีจนทำอย่างไรไม่ได้ แถมยังต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยรอยยิ้มออกไปให้โลกรู้หรอก

แต่ครั้งนี้ ฉินจิ่วเกอไม่ได้วางแผนว่าจะใช้ชื่อพรรคหลิงเซียว

อย่างไรเสีย บรรพตสละฟ้าตั้งแต่สูงยันต่ำก็ล้วนแล้วแต่เป็นเผ่าพิสดาร เพื่อลดปัญหายุ่งยากและเลี่ยงปัญหาด้านเชื้อชาติเผ่าพันธุ์อันน่าปวดหัว ตนยังคงฉายเดี่ยวดีกว่า

วาสนานำพาได้ฤกษ์ตบแต่งหฤหรรษ์ จันทร์กลางปีเฉิดฉายเป็นพิเศษ จันทร์สกาวตกลงในบึงน้ำ ไร้ที่ทางใดให้โศกา

สรุปแบบรวบรัดได้ใจความก็คือ

ซุนไป๋เวลานี้มีความสุขยิ่ง สุขล้นอก สุขล้นใจ สุขจนร่างกายเบาโหวง

พกพาความสำเร็จตะลึงโลกกลับสู่ภูมิลำเนา พร้อมศาสตราศักดิ์สิทธิ์ขั้นกลางในกำมือ

เป็นความสุขปานซินเดอเรลล่าพบเจ้าชาย ดรุณีผู้อาภัพพบรักกับทรราชผู้จองหอง เป็นความสุขที่แทบทะลุออกนอกอก ไม่ว่าสิ่งใดก็ล้วนเปลี่ยนเป็นสีมรกตไปหมด

จะติดก็แค่ แหวนมิติที่ฉินจิ่วเกอให้มา ในนั้นกลับมีศิลาวิญญาณระดับต่ำอยู่เพียงหนึ่งก้อน แต่ซุนไป๋ในเวลานี้มีหรือจะเก็บมาใส่ใจ

“ศิษย์น้องจวง ไฉนกระหม่อมเจ้าถึงเปลี่ยนเป็นสีมรกตไปได้? ” ซุนไป๋เหมือนคนเมาขาดสติ สุขเสียจนเดินเป๋

อาเร๊ะ? เวลาเดินนี่ ปกติเขาเอาเท้าซ้ายนำก่อน หรือเอาเท้าขวานำก่อนกันแน่นะ?

จวงปี้หน้าผากมีแต่รอยดำ “ศิษย์พี่ซุน ข้าว่าท่านกำลังจะมีหายนะโชกเลือดตกใส่หัวมากกว่า”

ประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า พี่ชายของตัวเอก น้องชายของตัวเอก และน้องสาวของตัวเอก ทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นขุมอำนาจมืดที่ไม่อาจไปตอแยเด็ดขาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับศิษย์พี่ใหญ่ของตัวเอก นี่เป็นจอมมารลำดับหนึ่งที่ยิ่งไม่อาจไปยั่วยุตอแยด้วยได้

แต่ซุนไป๋ไม่ได้คิดเช่นนั้น มันรู้สึกว่าตัวเองได้เดินมาถึงจุดสูงสุดบนพิภพแล้วต่างหาก

พูดไปก็เหมือนเป่าปี่ให้ฟัง ประมุขจวงพอสบโอกาสก็เลยขอตัวจากมา ขืนยังร่วมทางไปกับเจ้าคนไร้สมองนี่ น่ากลัวว่าระดับสติปัญญาของตนจะลดลงตามไปด้วย

พอประมุขจวงที่คอยค่อนแคะจากไปแล้ว ซุนไป๋ก็กลับมาร้องรำทำเพลงตามเดิม สองวันผ่านไป มันก็กลับมาถึงเมืองเทียนเอินอย่างสุขี ตามที่ตกลงกันไว้ ช่วงบ่ายของวันพรุ่ง ฉินจิ่วเกอจะนำศิษย์ร่วมสำนักและบรรพชนเฒ่าบรรพตสละฟ้ามารับตำแหน่ง

ขณะที่ซุนไป๋ไม่อยู่ เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนก็ได้เรียกรวมเหล่าอาวุโสเพื่อทำการประชุมภายในเป็นการเฉพาะ

ช่วงนี้ เมืองเทียนเอินสงบราบรื่นไร้เมฆหมอก ทุกคนต่างใช้ชีวิตกันอย่างไร้เรื่องไร้ราว เรียกได้ว่าต่อให้เปิดประตูทิ้งไว้ตลอดคืนก็ยังไม่เป็นไร

ทั้งหมดนี้ต้องขอบคุณการปกครองอันชาญฉลาดของสี่ขุมอำนาจสูงสุด ธุรกิจการค้าจึงเป็นไปได้ด้วยดี ทั้งยังทำสถิติกำไรได้อีกด้วย

จากจุดนี้ เกิดเรื่องสำคัญอยู่สองเรื่อง

เรื่องแรก บรรพตสละฟ้าผงาดกลับมาอีกครั้ง สัตว์ประหลาดเฒ่ากฎสรรพสิ่งเฒ่าเสียเยว่หวนคืนกลับมาแล้ว

หอกลืนตะวัน ตำหนักผนึกน้ำแข็ง และวังสุนัขป่าสามกองกำลัง ภายใต้สายตาตื่นตะลึงของทุกคน ถูกพลังแห่งกฎเกณฑ์ฆ่าล้างในเสี้ยวพริบตาไปแล้วเมื่อเย็น สร้างความสะท้านสะเทือนให้กับเผ่ามนุษย์อสูร

หลังจบเรื่อง ทั้งสองเผ่าต่างก็ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา ผู้เยี่ยมยุทธ์กลั่นดวงธาตุจากสามกองกำลังเท่ากับตายเปล่า ตอนนี้ เขตพรมแดนเชื่อมต่อระหว่างทั้งสองเผ่า ต่างก็อยู่ภายใต้การปกครองของบรรพตสละฟ้า

นอกจากเขตเขาบางส่วนที่กั้นถนนอยู่ ทางตะวันออกของเมืองเทียนเอินก็ถือว่าใกล้กับอาณาเขตของบรรพตสละฟ้ายิ่ง มีคนบอกว่า หากไปยืนอยู่ตรงสุดขอบตะวันออกของเมืองเทียนเอิน ท่านสามารถมองเห็นทะเลที่ทอดไกลสุดลูกหูลูกตา แม้จะฟังดูเกินเลยไปบ้าง แต่ก็เป็นเรื่องจริง

เขตพรมแดนเชื่อมต่อเผ่ามนุษย์อสูรกินระยะความยาวหมื่นลี้ความกว้างนับหมื่นลี้ ตั้งอยู่กึ่งกลางระหว่างทะเลใหญ่และเมืองเทียนเอินทิศตะวันออก เป็นเส้นทางสายหลักที่ตั้งอยู่ตรงคอขวดอันสำคัญยิ่ง

กลั่นดวงธาตุอาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อสถานการณ์โดยรวมของทวีปฉงหลิง แต่กฎสรรพสิ่ง สำหรับกับยุคปัจจุบันถือว่าเพียงพอ บรรพตสละฟ้าที่เป็นกองกำลังเดียวที่มีผู้ฝึกวิชาชั้นกฎสรรพสิ่งได้ปรากฏสู่สาธารณะอีกครั้ง และด้วยมาตุภูมิที่อยู่ติดเมืองเทียนเอิน เขาพิรุณเซียนจึงมิอาจไม่เพิ่มความระแวดระวังขึ้นมาหลายส่วน จนนำไปสู่การประชุมลับในครั้งนี้

แต่เรื่องใหญ่เรื่องที่สองต่างหาก ที่นับว่าสำคัญที่สุด

นั่นก็คือ เจ้าสมาพันธ์อู่ซิ่งได้ออกมาประกาศอย่างเป็นทางการแล้วว่า ในอีกครึ่งเดือนให้หลัง มันจะเป็นผู้ทำการคัดเลือกคู่ครองให้กับศิษย์สตรีคนโปรดนี้ด้วยตัวเอง

อีกทั้งหลังงานวิวาห์ใหญ่ครั้งนี้ มันก็จะถอนตัวลงจากตำแหน่ง และยกให้ศิษย์สตรีคนโปรดผู้นี้ดำรงตำแหน่งแทน

ทางสมาพันธ์อู่ซิ่งเองไม่ได้มีท่าทีอะไรกับเรื่องนี้ ทำให้ผู้คนยิ่งลุ่มหลงถวิลหาในตัวเจ้าสาวผู้นี้มากขึ้นไปอีก

นี่ต่างหากจึงจะเป็นเรื่องด่วน กระทั่งเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สุดที่เคยมีมาของเมืองเทียนเอินในรอบร้อยพันปีมานี้ และจะส่งผลต่อภาพรวมของมหาทวีปอีกด้วย

ภูมิศาสตร์ของเมืองเทียนเอินนี้ สำคัญจนเกินไป สามารถเข้ารุกรานแทรกแซงทั้งสามเผ่า ทั้งยังสามารถล่าถอยตลบหลังทางทะเล

สิ่งที่ทั้งสามเผ่ามุ่งหวังมากที่สุดในเวลานี้ก็คือความสมดุล แต่สมาพันธ์อู่ซิ่งอันเป็นขุมอำนาจเจ้าถิ่นของเมืองเทียนเอินกลับเป็นพวกแรกที่ทำลายสมดุลนี้

อย่างไรก็ตาม การกระทำนี้ก็ได้ลากเอาทั้งสามเผ่ามาเข้าร่วมศึกชุลมุนในครั้งนี้อย่างช่วยไม่ได้ ไม่ว่าจะยินยอมหรือไม่ ไม่ว่าจะเป็นการสมคบคิดหรือไม่ ระหว่างสามเผ่าพันธุ์ก็ต้องตัดสินกันด้วยความเป็นและความตายอยู่ดี

ทวีปฉงหลิงสงบสุขมานานนับแสนปีแล้ว นับแต่มหาศึกสมัยปลายบรรพกาลเป็นต้นมา สมดุลความมั่นคงในที่สุดก็ค่อยๆ เอนเอียงอย่างช้าๆ เริ่มที่จะมีการเพิ่มน้ำหนักถ่วงสมดุล

“ซุนไป๋หายไปไหน?” หลายวันไม่เห็นตัว แถมการประชุมก็กำลังจะยุติ เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนจึงเอ่ยปากถาม

เจ้าสำนักย่อมตระหนักถึงความทะเยอทะยานของซุนไป๋ ในยามปกติ มันเองก็ต้องคอยระแวดระวังอยู่ตลอด ไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายได้มีโอกาสทำอะไร

“เห็นว่ากันว่าออกไปจัดการธุระนอกพรรค แต่ยังไม่กลับมา”

อาวุโสกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ดเอ่ยตอบ

“ฮึ่ม อาวุโสขั้นหนึ่งเขาพิรุณเซียน ผู้กุมอำนาจของพรรค ปิดด่านมาหลายสิบปียังพอว่า แต่นี่อะไร พอออกมาก็หายหัวไปเลย? ”

เจ้าสำนักเริ่มมีโทสะขึ้นมาแล้ว ซุนไป๋ออกไปจัดการเรื่องราว แต่กลับไม่รายงานให้มันทราบ

“เจ้าสำนัก เรื่องมงคล เรื่องมงคล ฮ่าฮ่า! ” ด้านนอก ซุนไป๋ที่เหาะกลับมาถึงเมืองเทียนเอินและกำลังจะเข้ามาพลันได้ยินเจ้าสำนักเอ่ยถึงมันเข้าพอดี

“เรื่องมงคล? ” เจ้าสำนักชะงักไป ที่แท้เหล่าซุนก็ออกไปหาข่าวมานี่เอง จึงรีบถาม “เจ้าทราบมางั้นหรือว่าเป้าหมายการหาคู่แต่งงานของสมาพันธ์อู่ซิ่งในอีกครึ่งเดือนให้หลังคืออะไร?”

สีหน้ายินดีชื่นมื่นของซุนไป๋ชะงักไป กล่าวอย่างหายใจไม่ค่อยจะทั่วท้องว่า “ระ.. เรื่องนี้ข้าไม่ทราบ”

“งั้นเจ้ามีเรื่องน่ายินดีอะไรของเจ้า?” เจ้าสำนักหมดความอดทน ถามอย่างหัวเสีย

ซุนไป๋นัยน์ตาทอประกายโทสะขึ้นวูบ แต่ก็เปลี่ยนเป็นสุขียินดีในลำดับต่อมา เจ้าเด็กน้อย รอให้ข้าจัดการกับเจ้าหมั่นโถวทองคำนั่นให้เรียบร้อยก่อนเถอะ ไม่แน่ เจ้าสำนักเขาพิรุณเซียนอาจเป็นข้าก็ได้ ส่วนเจ้าก็ไปเตรียมอ่างล้างเท้าไว้ให้ข้าก็แล้วกัน

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท