เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ – ตอนที่ 158 หิมะเย็นโปรย

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

“เข้าครองเมืองเทียนเอิน สามารถบุกโจมตีพลางต้านรับยามถอยได้ เป็นหมากชิ้นสำคัญที่สุดของพรรคโลหิตจาง เพียงแต่ทางตะวันออกของเมืองเทียนเอิน เป็นเขตพรมแดนของมนุษย์อสูร คิดติดต่อข้ามโพ้นทะเล ดูจะไม่สะดวกอยู่บ้าง? ”

นางอสูรผู้เปี่ยมเสน่ห์กระตุ้นอารมณ์นอนเอนกายไปกับตั่งเตียงหรู ผ้าคลุมแดงผืนบางปกปิดส่วนซ่อนเร้นที่สุดในแต่ละจุดเอาไว้ กระตุ้นให้ผู้คนเกิดความปรารถนาอันดิบเถื่อนขึ้นมา

เลือดอันร้อนรุ่มเดือดระอุอยู่ในไขกระดูก

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ ผู้น้อยได้ข่าวมาอยู่เรื่อง” เจ้าสมาพันธ์คุกเข่ากล่าวรายงาน ไม่กล้ามีความคิดอื่นใดขึ้นมาสักชั่ววูบ

“โฮ่? ” มือขาวสล้างช้อนเอาเครื่องดีดผีผาขึ้นมาอย่างแช่มช้อย ใบหน้านางมารปกปิดไว้กึ่งหนึ่ง เพียงเผยประกายแววตาอันสูงศักดิ์ออกมา

เจ้าสมาพันธ์กล่าว “เมื่อสองเดือนก่อน บรรพตสละฟ้าที่อยู่ติดพรมแดนมนุษย์อสูรพลันเปิดประตูเมืองกว้างขวาง ดึงดูดให้หอกลืนตะวัน ตำหนักผนึกน้ำแข็งและวังสุนัขป่าสามกองกำลังบุกฝ่าเข้าไป”

ติง

เสียงดีดเปลี่ยวเหงาของผีผาดังสอดคล้องกับเสียงหยาดพิรุณ ลอยล่องอยู่กลางทะเลเมฆ หยาดมุกเม็ดใหญ่เม็ดเล็กร่วงกระทบกับแผ่นหยกจนเกิดเสียงใสกังวาน ช่วยให้ห้องใต้หลังคาแห่งนี้ไม่ดูอึมครึมจนเกินไป

“ที่แปลกก็คือ ยี่สิบกลั่นดวงธาตุของสามกองกำลัง หลังจากบุกเข้าเมืองอวี่เกอ กลับไม่มีใครรอดชีวิตกลับออกมา ลือกันว่า เย็นวันนั้นภายในเมืองพลันมีพลังแห่งกฎเกณฑ์ล้างโลการ่วงหล่นลง เพียงชั่วลัดนิ้วมือก็บดขยี้สามขุมกำลังไป บรรพตสละฟ้ายังประกาศมาอีกว่า บรรพชนเฒ่าของพวกมันกลับมาแล้ว และทางพรรคก็กำลังฟื้นคืนกลับมาอีกครั้ง”

นิ้วหยกชะงักอยู่ระหว่างสายดีดทั้งสอง คล้ายไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวสายดีหรือไม่ “เฒ่าเสียเยว่ คือหนึ่งในอาวุโสที่อุทิศตัวให้กับพรรคโลหิตจาง พันปีก่อนหายตัวไปอย่างลึกลับ หรือมันจะหวนคืนบรรพตสละฟ้าแล้วจริงๆ ? ”

“ผู้น้อยเองก็ไม่ทราบ เพียงแต่ผู้ที่สามารถบดขยี้กลั่นดวงธาตุของทั้งสามตระกูลได้ในเวลาชั่วพริบตา ต่อให้เป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่เก่งกาจสักเพียงไร หากไม่มีพลังแห่งกฎเกณฑ์ ก็ไม่อาจกระทำได้ เย็นวันนั้น เผ่ามนุษย์อสูรสั่นสะเทือนเลื่อนลั่น พิสูจน์แล้วว่าเป็นชนชั้นกฎสรรพสิ่งลงมือ”

“ช่างเถอะ” เล็บใสผลึกบนนิ้วมือขาวหยกเกี่ยวกระหวัดอ่อนช้อย “เฒ่าเสียเยว่คืออาวุโสพรรคโลหิตจางข้า หากมันปกครองพรมแดนมนุษย์อสูรอยู่ ตอนเรายึดกุมเมืองเทียนเอินไว้ได้ ภายหลังคิดกระทำการก็จะง่ายขึ้นอักโข”

“สตรีศักดิ์สิทธิ์มองการณ์ไกล พรรคโลหิตจางยืนยงชั่วกาล! ”

เจ้าสมาพันธ์ยังคงคุกเข่า ศีรษะโขกกับพื้นไม่หยุด จนพื้นที่เคยขาวสะอาดเริ่มมีสีแดงแปดเปื้อน

“เหอเหอ” นางอสูรนัยน์ตาดำขลับ ทรวงอกขาวสล้างเพียงมีผ้าแดงผูกเอาไว้อย่างหมิ่นเหม่ จนผลไม้กลมโตสองลูกแทบปลิ้นลงมากระทบพื้น

“เจ้าถวายตัวรับใช้พรรคโลหิตจางเราตั้งขนาดนี้ ข้าไหนเลยจะใจไม้ไส้ระกำกับเจ้าได้ อาวุโส ช่วยมันคลายกู่บงการเทพหน่อยเถอะ”

อาวุโส!

หน้าผากของเจ้าสมาพันธ์แทบปริแตก ปรากฏให้เห็นเส้นเลือดดำอยู่เป็นกระจุก

อาวุโสพรรคโลหิตจาง ล้วนแล้วแต่เป็นชนชั้นกฎสรรพสิ่ง

อย่าบอกนะว่า ภายในห้องอันมืดมิดแห่งนี้ ถึงกับมีบุคคลในตำนานเช่นนั้นอยู่จริงๆ ?

ต่อให้มีอยู่จริง มันไหนเลยจะกล้าเผยตัวออกสู่หล้า อีกสามเผ่าที่เหลือมีหรือจะอยู่เฉย?

เจ้าสมาพันธ์ผู้ปราดเปรื่องคาดคำนวณอยู่ในใจ เมืองเทียนเอินที่สงบสุขมาพันปี น่ากลัวว่ากำลังจะมีภัยร้ายทำลายล้างกรายใกล้

แล้วอยู่ๆ จิตใจก็รู้สึกเบาโหวงขึ้นไม่น้อย ฝันร้ายน่าพรั่นพรึงที่ผนึกอยู่ในหลิงไถเหมือนจะคลายออกเล็กน้อย บนหน้าผากของเจ้าสมาพันธ์เริ่มมีเหงื่อเย็นผุดซึม

เมื่อพันธนาการของกู่บงการเทพคลายตัวออก ขอบเขตพลังที่ชะงักมาหลายร้อยปี ในที่สุดก็เริ่มส่อแววขยับกระเตื้องขึ้นเล็กน้อย

กู่บงการเทพ ผู้คล้อยตามพลังฝีมือทะลวงบรรลุไกล ผู้ต่อต้านขัดขืนสังขารหายไร้กระดูก

“เจ้าไปเถอะ ยังเหลือเวลาอีกเจ็ดวันจึงจะถึงฤกษ์ยามหาคู่ครองของข้า เหอเหอ ข้าล่ะอยากเห็นจริงๆ ว่าชายหนุ่มในเมืองเทียนเอินจะเป็นหนุ่มรูปงามกันหมดหรือไม่”

“ขอรับขอรับ” เจ้าสมาพันธ์แนบศีรษะติดพื้น ขาทั้งสองขยับถอยหลัง แขนไม่มีการเปลี่ยนตำแหน่ง ดูไปคล้ายกบที่กำลังกระถดถอยหลัง จนลับหายไปจากสายตาในที่สุด

ติงติง

เสียงดีดของผีผายังคงก้องกังวาน เหมือนหยาดพิรุณพร่างพรม ทะลวงผ่านกาลเวลา แทรกซึมสู่รูขุมขนทั่วสรรพางค์กาย

แขนเลื้อยพันดั่งอสรพิษ เรือนร่างอ่อนนุ่มเหมือนผ้าไหม

นิ้วทั้งสิบขยับเคลื่อนไหวไม่หยุด เส้นสายที่สั่นกังวานก่อเสียงใสกระจ่าง เหมือนเสียงฝนบนขุนเขาที่เคลื่อนตัวเข้าใกล้

แล้วการบรรเลงก็สิ้นสุดลง นางอสูรปาดเหงื่อจรุงลวกๆ หลังได้ขับเหงื่อออกจากตัว ก็ยิ่งทรงเสน่ห์ดั่งนางงามกลางสายฝน ประดุจดั่งดอกบีโกเนียค้างผ่านราตรีกาล ชุ่มชื่นชุ่มฉ่ำจนแทบหยาดหยดลง

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ บรรพตสละฟ้า อยากให้สืบสำรวจหน่อยหรือไม่”

เสียงชืดชาไร้อารมณ์ดังขึ้น เหมือนเสียงของเครื่องจักร ปราศจากซึ่งระลอกทั้งปวง

“อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่นจะดีกว่า เฒ่าเสียเยว่ระแวดระวังลัทธิศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง ตอนนี้เราไม่มีเวลาเหลือเฟือขนาดนั้น เรื่องด่วนในตอนนี้คือการสับเปลี่ยนตำแหน่งเบื้องบนของเมืองเทียนเอิน”

“อืม ตราบใดที่เมืองเทียนเอินตกอยู่ในมือเรา อาณาเขตของทั้งสามเผ่าพันธุ์ พวกเราสามารถรุกถอยได้ตามใจ” สุ้มเสียงเย็นชาพลันเจือแวววาดหวังเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน ไม่ราบเรียบเหมือนเครื่องจักรอีก

ลูบไล้หยกงามล้ำค่าที่ฝังอยู่บนผีผา แต่ละเม็ดสะท้อนภาพดวงหน้าสวยสะคราญสุดเปรียบ ที่กลับกลายพันเปลี่ยนหมื่นแปร “อืม ลิทธิศักดิ์สิทธิ์รุ่งเรือง หากจัดหาเลือดเนื้อและดวงวิญญาณได้มากพอ จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ก็จะหวนคืนสู่หล้าได้อีกครั้ง ต่อให้ตอนนั้นบรรพชนวิญญาณฟื้นคืนกลับมา ไม่มีทางกู้สถานการณ์วิกฤติที่จะเกิดขึ้นได้”

“สตรีศักดิ์สิทธิ์ที่เคารพ ไยต้องลดเกียรติตัวเองตบแต่งให้กับเศษสวะพวกนั้นด้วย” ภายในความมืด คล้ายปรากฏความอนธการที่เทียบกับความมืดมิดแล้วยังเข้มข้นกว่า เงาร่างอันบิดเบี้ยวสายหนึ่งยืนอยู่ตรงหน้าต่าง

“เมืองเทียนเอินเงียบสงบมาหลายหมื่นปี พลังของพวกกลั่นดวงธาตุและกฎสรรพสิ่งก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะขาดไปไม่ได้ พวกเราจำต้องใช้เรื่องนี้ จัดการกับสัตว์ประหลาดเฒ่าพวกนั้นทั้งหมด การหล่อเลี้ยงสังเวยแก่องค์จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ยังขาดไปอยู่มาก”

“นับเป็นเกียรติของพวกมันแล้ว! ”

“ย่อมแน่นอน เพียงแต่กฎสรรพสิ่งไม่อาจเผยตัวออกมาได้ง่ายๆ ไม่อย่างนั้นคงถูกสัตว์ประหลาดเฒ่าของอีกสามเผ่ารับรู้ได้ อาวุโสมิอาจกระตุ้นใช้พลังแห่งกฎเกณฑ์ เชิญท่านนั่งชมความสนุก ให้ข้าได้หยั่งเชิงดูว่าเมืองเทียนเอินที่แท้จะลึกล้ำเพียงไร”

หยาดน้ำค้างอ้อยอิ่ง เสียงทุกข์ตรมระคนรัดรึงใจ เลื่อนม่านราตรีกาลให้แผ่ขยายปกคลุม

“หลายปีก่อน มีคนได้ผลอู๋เลี่ยงสดไปจากเมืองเทียนเอิน นับเป็นศึกอันน่าตกตะลึง ข้าล่ะอยากเห็นจริงๆ ว่าอัจฉริยะคนนั้นจะเป็นคนแบบไหน แต่ก็ไม่อาจสืบค้นประวัติความเป็นมาของคนผู้นี้ได้”

นางอสูรถอนใจบาง หลายปีมานี้ นางโลดแล่นไปทั่วมหาทวีป พบเจออัจฉริยะจากสามเผ่ามามากมาย

มีเพียงอัจฉริยะที่ได้ผลอู๋เลี่ยงสดไปครองคนนั้น ที่นับเป็นมังกรในหมู่คนโดยแท้จริง ควรค่าแก่การชมดู

อาวุโสใหญ่ไม่ใช่คนที่จะตอแยด้วยง่ายๆ คาดว่าคงไม่มีใครคาดคิดถึง ว่าบุคคลชั่วช้าผู้โดดเด่น ผู้มีสำนักอาจารย์ที่เก่งกล้า จะถึงกับพำนักอยู่ในที่อันทุรกันดารห่างไกลความเจริญไปได้

นี่ย่อมเป็นจุดมืดใต้แสงตะเกียง สุดที่จะคาดเดาอย่างไม่ต้องสงสัย

เจ็ดวันผ่านไป ฉินจิ่วเกอเจ็ดวันผ่านไปถึงค่อยฟื้นตื่นจากสภาพเลือดอาบ ขยับก้นลงจากเตียง

ผู้มีวาสนาไม่ต้องพึ่งพาแม่สื่อ คนโชคดีเดี๋ยวเดินไปเจอเนื้อคู่

วันนี้ เมืองเทียนเอินมีแต่สีแดงสดใส ผ้าไหมแพรพรรณแดงละลานตา บ้างก็แขวนประดับอยู่บนต้นไม้ ให้ความรู้สึกรื่นรมย์สดใส บนท้องฟ้ายังมีหิมะตกบางเบา เกล็ดหิมะสวยงามดั่งบุปผาลอยล่องอยู่กลางนภา โลกหล้าเหมือนผลึกน้ำแข็งงามงด

เพียงแต่ความหนาวเย็นนี้ ไม่ได้ดับความรุ่มร้อนในใจผู้เยาว์เมืองเทียนเอินเลยแม้แต่น้อย เพราะวันนี้ คือวันหาคู่ครองของสมาพันธ์อู่ซิ่ง ไม่ว่านายหญิงน้อยผู้นั้นจะเป็นสตรีหน้าตาอัปลักษณ์หรือเป็นโฉมงามล่มเมืองก็ตาม ตัวตนของนางก็ยังส่งผลให้ผู้เยาว์เมืองเทียนเอินแก่งแย่งแข่งขันกันอยู่ดี

ทุกคนต่างก็รู้ว่าทันทีที่พวกมันได้เป็นลูกเขยของสมาพันธ์อู่ซิ่ง ย่อมไม่ต่างจากมุสิกนั่งอยู่บนบัลลังก์ เปลี่ยมโฉมไปโดยสิ้นเชิง

หิมะโปรยปราย ถนนหนทางมีแต่สีขาวโพลน ฉินจิ่วเกอสวมชุดคลุมขนสัตว์ตัวใหญ่ พันผ้าพันคอไว้รอบคอ เหนือผ้าพันคอขึ้นไป มองเห็นเพียงนัยน์ตาดำขลับสองดวงที่ส่องแสงสุกสกาวพราวพราย

หมวกทองสายรัดเอวม่วง รองเท้าและกางเกงดำ ชุดคลุมขาว เข้ากันกับผิวพรรณขาวผ่อง งดงามสง่าหาใดเปรียบ

ประมุขหยางมองดูฉินจิ่วเกอพลางคิดในใจ ประมุขน้อยใช้เวลาอยู่หน้ากระจกร่วมครึ่งชั่วยาม

อากาศเย็นยะเยือก เบื้องนอกมีแต่หิมะหนา ปกคลุมไปทั่วทิศทาง แต่ก็ไม่อาจส่งผลกระทบต่อความกระตือรือร้นในตัวมันได้

ดูสิดู ใครกันหนอช่างหล่อเหลา หล่อแล้วหล่อเล่า หล่อหาใดเทียม

“ประมุขน้อย นี่ก็ใกล้จะถึงเวลาแล้ว เอาเป็นว่าท่านค่อยกลับมาส่งกระจกต่อภายหลังดีหรือไม่? ” ยอดฝีมือเมืองเทียนเอินกว่าครึ่งล้วนเดินทางมาถึงละแวกเมืองกันหมดแล้ว ถนนหนทางย่านโรงแรมจึงมีฝูงชนแน่นขนัด

ประมุขหยางจำต้องย้ำเตือนฉินจิ่วเกอ ไม่งั้นพอถึงเวลาพวกมันก็ต้องไปเบียดเสียดฝ่าฝูงชน ซึ่งคงจะน่าปวดเศียรเวียนเกล้าไม่น้อย

ฉินจิ่วเกอยกมือนวดหน้าขาวเนียนของตัวเองไปมา ยกเว้นหยาดน้ำตาทิพย์บริเวณหางตาข้างซ้ายนั้น

“วันนี้ข้าช่างหล่อเหลาอะไรขนาดนี้! หากหลงเข้าไปในงานแต่งผู้อื่น คงไม่วายถูกเจ้าสาวฝ่ายนั้นฉุดขาร่ำไห้ให้ข้าตบแต่งกับนางแทน ไหนจะยังพี่สะใภ้น้องสะใภ้อีกเป็นขบวน นี่ยังจะไม่ใช่เป็นการทำร้ายบุปผาบอบบางแสนบริสุทธิ์อย่างข้าผู้นี้อีกรึ? ”

“แสนบริสุทธิ์? ” ประมุขหยางตาซ้ายเบิกกว้าง “บุปผาบอบบาง? ”

จากนั้น ตาข้างขวาเองก็เบิกกว้าง อย่างกะอันธพาลเบิกตามองเม็ดถั่วเขียว

“ก็ใช่น่ะสิ! เกิดฝ่ายนั้นล้มเลิกงานแต่ง แล้วยืนกรานจะตบแต่งกับข้า ข้าไม่เขินแย่หรอกหรือ” ฉินจิ่วเกอยกมือปิดหน้าอย่างขวยอาย คางพาดกับชุดขนสัตว์นุ่มตรงคอ

“อ้อ โอ้” ประมุขหยางสำนึกว่าตนไม่น่ากินมื้อเช้ามาเลย

แล้วอีกอย่าง กลั่นดวงธาตุต่อให้ไม่กินไม่ดื่มนานหลายร้อยปีก็ยังไม่มีปัญหา มันหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ

“งั้นข้าก็ขอแสดงความยินดีกับประมุขน้อยเป็นการล่วงหน้าเลยแล้วกัน ขอให้ท่านประสบผลสำเร็จ” อีกสามประมุขที่แต่งกายจัดเต็มมาในวันนี้ต่างก็ออกมาแสดงความยินดีกับอย่างครึกครื้น

ฉินจิ่วเกอเปลี่ยนสีหน้าเป็นเคร่งเครียด มือยื่นออกไปคว้าเกล็ดหิมะนอกหน้าต่าง “อย่าเพิ่งด่วนสรุปกันไป ถ้าเกิดว่าสตรีนางนั้นหน้าตาอัปลักษณ์ดูไม่ได้ พวกเราค่อยส่งหลงเฟิงไปแต่งกับนางแทน ส่วนค่าสินเดิม ทุกคนแบ่งกันคนละครึ่ง”

“ประมุขน้อยกล่าวได้เยี่ยม! ” สี่ประมุขส่งเสียงชื่นชมสนับสนุน ถ้าหากว่าอีกฝ่ายหน้าเป็นหลุมเป็นบ่อ ขนจมูกยื่นยาว ขี้หูออกมาเต้นระบำข้างนอก และมีไส้กรอกยักษ์สองเส้นห้อยอยู่ตรงกลางจริงๆ ..

ให้หลงเฟิงไปแบกหม้อก้นดำแทน ย่อมเหมาะเจาะอย่างที่สุด นี่ยังช่วยให้บรรพตสละฟ้าได้กำไรเพิ่มขึ้นอีกต่างหาก

วันนี้ เจ้าเป้าเองก็แต่งตัวมาเต็มยศเช่นกัน

หิมะโพลนขาว ผู้ฝึกตนไม่มีทางหนาวตาย ดังนั้นมันจึงสวมอาภรณ์สีขาวบางๆ แขวนจี้หยกดูมีราคาประดับติดตัว มือสะบัดพัดไปมาท่าทางเหมือนคุณชายเจ้าสำอาง

ฉินจิ่วเกอทอดอาลัย “ข้าจำได้ว่าชาติที่แล้วของชาติที่แล้ว ข้าเองก็เป็นปุถุชนคนหนึ่ง หน้าหนาวสวมชุดแจ็คเก็ต หน้าร้อนสวมเสื้อแขนกุด มีอยู่ครั้งที่ข้าตัดสินใจสวมเสื้อแขนกุดในหน้าหนาว และสวมเสื้อแจ็คเก็ตในหน้าร้อน พวกเจ้าลองเดาดูสิว่าผลลัพธ์เป็นเช่นไร? ”

“่ไม่ทราบ” นี่เกินความเข้าใจของสี่ประมุขไปแล้ว ประมุขน้อยช่างสมกับที่เป็นประมุขน้อยจริงๆ แม้แต่ชาติก่อนของชาติก่อน ก็ยังอุตส่าห์จำได้

“แสดงพลังแห่งจินตนาการอันขาดแคลนของพวกเจ้าออกมาหน่อย”

ฉินจิ่วเกอไม่พอใจ บรรพตสละฟ้ายังขาดการสรรค์สร้างขุมกำลังแห่งปัญญา แน่นอนว่าต่อไปย่อมต้องสร้างคุณภาพมากกว่านี้

“พวกเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว? ” มิตรภาพก่อเกิดจากการแลกหมัด ดังนั้นภาพลักษณ์ของฉินจิ่วเกอในใจของเจ้าเป้าจึงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน

เจ้าสำนักเองก็ไม่ได้บอกกล่าวให้มันทราบถึงฐานะที่แท้จริงของฉินจิ่วเกอ

เพราะแม้แต่ตัวมันเองก็ยังไม่รู้ว่าเจ้าเด็กนี่ที่แท้เป็นลูกเต้าเหล่าใครกันแน่

“แน่นอน วันนี้ข้ากำชัยชนะไว้ในมือ ส่วนพวกเจ้าก็เป็นไม้ประดับของข้า จริงสิ ประมุขหยาง เจ้าว่าข้าควรสวมหน้ากากต่อไปดีหรือไม่ เพราะถึงยังไงคนที่ริษยาในความงามของข้าก็ยังมีอยู่อีกไม่น้อย”

เจ้าเป้าขี้คร้านเกินกว่าจะไปสนใจเจ้าคนที่มัวแต่หลงตัวเองอยู่หน้ากระจก ส่งกวาดตามองไปรอบๆ พลางถามว่า “แล้วหลงเฟิงเล่า? ”

ฉินจิ่วเกอสวมหน้ากากเงินไว้บนหน้า ปิดตาปิดจมูก “ข้าใช้ให้มันไปซื้อบัวลอยร้อนๆ มาให้ข้าสักชาม แถมหมอนั่นยังเป็นคนคุ้มกันส่วนตัวข้า แล้วเจ้าจะถามหามันทำไมไม่ทราบ? ”

“เจ้าถึงกับให้กลั่นดวงธาตุมาเป็นคนคุ้มกันส่วนตัว? ” เจ้าเป้าพิโรธ รู้สึกเห็นใจหลงเฟิงขึ้นมาทันที “มันทั้งมีพรสวรรค์และสติปัญญา ศักยภาพไร้ขีดจำกัด แล้วอาศัยอะไรมันถึงต้องฟังเจ้า? ”

“อาศัยอะไร? ” ฉินจิ่วเกอทอดตามองเจ้าเป้าอย่างดูแคลน คิ้วกระบี่เลิกขึ้น “ก็อาศัยที่มันติดเงินข้าอยู่น่ะสิ เจ้าจะทำไม? ”

“ติดอยู่เท่าใด ข้าจะใช้คืนแทนเอง” ในฐานะอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเขาพิรุณเซียน ทรัพยากรภายในพรรคจึงไม่เคยเป็นปัญหาสำหรับมัน เจ้าเป้าผู้นี้ไม่เคยขาดแคลนเงินทอง!

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

เกรียนแบบนี้ ก็ศิษย์พี่ใหญ่นี่แหละ

Status: Ongoing
หากศิษย์น้องรองที่่เป็นคู่แค้นกับมัน ต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเช่นนี้? แล้วเหตุใดข้าถึงต้องให้มันสร้างตำนานด้วยเล่า ตำนานศิษย์พี่ใหญ่ป่วนยุทธ์ภพสำแดงแล้วคนถือไม้กวาดอาจเป็นแฮร์รี่ คนโชคดีข้ามภพก็อาจเป็นแค่ตัวประกอบ ฉินจิ่วเกอที่ข้ามภพมาอีกครั้งพลันรู้แจ้งในสัจธรรมข้อนี้แต่ทำไมศิษย์น้องรองที่เป็นคู่แค้นกับมันต้องถูกกำหนดให้เป็นพระเอกเล่า? ไม่ได้การ ก่อนที่หมอนั่นจะสร้างตำนานก่อนที่เรื่องราวจะเริ่มต้น ความสัมพันธ์ที่แตกหักระหว่างศิษย์พี่ศิษย์น้อง มันต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว…

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท