ไป๋หลี่ชิงเฉิงคีบจับหมากเนื้อขาวนวลเนียนราวหยกประณีต แย้มยิ้มลวงตาดั่งภูติพราย
เม็ดหมากตัวน้อยถูกวางลงบนกลางกระดานอย่างเหมาะเหม็ง
จ้วนหลุนหวังขยับทางหมากที่เบื้องหน้าของตนออก “สตรีศักดิ์สิทธิ์ฝีมือเลิศล้ำ การโจมตีดั่งสายวิชชุพิโรธ ราวกับมหาสมุทรสายธารควบกลั่นเปล่งประกาย เราผู้เฒ่า ไม่มีทางเดินแล้ว”
“ผู้อาวุโสเกรงใจไปแล้ว ไม่อาจลงมือต่อชิงเฉิง หรือว่าจะใจไม่อยู่กับตัว”
ไป๋หลี่ชิงเฉิงหัวเราะคิก เร่งเก็บกวาดกระดานวางหมากใหม่อีกครา หมากขาวดำล้วนถูกรวบกำไว้ในฝ่ามือ
จ้วนหลุนหวังใช้สัมผัสเทวะของมันกวาดกราดไปทั่วบริเวณโดยรอบอย่างเคร่งเครียด คนลุกยืนขึ้น “ขอเพียงสามารถยึดครองเมืองเทียนเอิน สถานการณ์ใหญ่ของนิกายศักดิ์สิทธิ์เราล้วนสามารถวางใจได้แล้ว แต่ข้ายังคงมีลางสังหรณ์ไม่คลาย ว่าเราจะล้มเหลว”
“ล้มเหลว?” ไป๋หลี่ชิงเฉิงยังคงใช้นิ้วมือเรียวยาวขาวหยกของนางคีบจับเม็ดหมากไม่วาง
อย่างไรก็ตาม เมื่อเป็นมนุษย์ ต่างก็เป็นวัตถุท่ามกลางฟ้าดินและทิศหก ล้วนกอปรไปด้วยกิเลสสามโลภโกรธหลง สามพิษนี้คือต้นเหตุแห่งข้อบกพร่องในใจมนุษย์ ไป๋หลี่ชิงเฉิงคำนวณอย่างถี่ถ้วน ไม่คิดว่าตนเองจะพ่ายแพ้ได้
“อาวุโสเห็นว่าคนผู้นั้นเป็นอย่างไร” ไป๋หลี่ชิงเฉิงไขว้ขา วางมือลงบนกระดาน เสาะหาที่ว่างเรียงหมากขาวดำทีละตัวๆ
จ้วนหลุนหวังหันกายมา สีหน้าเหนือคาดหมายและเคร่งเครียด “เด็กนั่น เวลากล่าววาจาดูเหมือนคนบ้าๆ บอๆ ด่าทอฆ่าฟันไม่เลือก แท้ที่จริงทุกประโยคราวคัมภีร์มีค่า ยามกล่าวออกมาแม้แต่ข้ายังแทบไม่อาจเชื่อ ยังเกรงกลัวในบุคลิกภาพของเด็กนี่อยู่บ้าง”
ในฐานะตัวประหลาดกฎสรรพสิ่ง ฟ้าดินกว้างใหญ่ ไม่มีที่ใดที่มันไปไม่ถึง
ไม่ว่าเก้าสวรรค์หรือเก้านรก ไม่ว่าอเวจีหรือมหาสมุทร ล้วนไม่อาจหลบเลี่ยงอำนาจแห่งกฎเกณฑ์ไปได้
ร่างจริงของจ้วนหลุนหวังก็คือกฎสรรพสิ่งระดับกลาง ผู้ที่อยู่ระดับเดียวกับมัน สามารถสร้างความเกรงกลัวแก่มันได้มีแต่บรรดาตัวประหลาดแห่งเผ่าทั้งสามเท่านั้น
“ข้าเองก็มีความรู้สึกเช่นเดียวกัน น่าประหลาดนัก การดำรงอยู่ของคนผู้นี้ แม้จะถือกำเนิดเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ แต่ข้ากลับรู้สึกว่า มันจะทำลายล้างพวกเรา”
รอจนจ้วนหลุนหวังนั่งลงอีกครั้ง ปล่อยให้วางหมากก่อนสามตา ไป๋หลี่ชิงเฉิงเดินหมากต่อเนื่อง ไล่ตามติดไม่ลดละ
“ช่างเถอะ คอยดูกันไปก่อน ทางเขาเหมิงซานยังเหลืออีกสามวัน เรื่องราวย่อมต้องบอกออกมาเอง ช่วงนี้จักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ยิ่งมายิ่งต้องการเลือดเนื้อมากขึ้น ต้องหาทางฆ่าล้างบางพวกผู้ฝึกตนให้มากขึ้น”
ทางด้านนอก เมฆาหนักทึบบดบังจันทร์ ประกายดาราสลายหาย หลงเหลือเพียงความเงียบงันแห่งโลกหล้าเท่านั้น
ฉินจิ่วเกอนำหน้าหลงเฟิงมาถึงทางไปเขาเหมิงซานแล้ว ส่วนหลังจากนี้จะต้องเผชิญศัตรูเข้มแข็ง ตัวมันเองก็ไม่วางใจ เร่งฝึกฝีมือเพื่อทะลวงด่าน
เมื่อไล่เรียงวัตถุวิเศษติดตัว มีบรรทัดตารางนิ้วที่สามารถต่อกรกับพิสุทธิ์ไพศาลใต้กลั่นดวงธาตุได้
นอกจากนี้ยังมีวิชาปีศาจขั้นเจตจำนงสวรรค์ สามารถช่วยให้ฉินจิ่วเกอไม่ต้องวิตกกังวลการรับมือกับพลังด้านลบใดๆ ไม่ว่านรกอเวจีหรือทะเลโลหิต ล้วนไม่อาจสร้างผลกระทบต่อมันได้
เคล็ดฝ่ามือกิเลนครองฟ้า นั่นก็เป็นทักษะยุทธ์เจตจำนงสวรรค์ที่ไม่อ่อนด้อย นอกจากนี้ยังมีหมื่นบรรพตค้ำสมุทร เคล็ดท่าร่างมารมายา
ฉินจิ่วเกอยามนี้รู้สึกเหมือนตัวเองปากใหญ่กว่ากระเพาะ วิชาฝีมือที่ตนเองมียังเหลือเฟือยิ่งกว่าเหลือเฟือ
เพียงฝ่ามือกิเลนครองฟ้า หากตัวมันทะลวงสู่กลั่นดวงธาตุได้เมื่อใด จึงจะสามารถแตะสัมผัสถึงขอบเขตพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินของทักษะยุทธ์นี้ได้อย่างแท้จริง
เมื่อดูไปแล้ว ด้านทักษะยุทธ์และอาวุธวิเศษของมันยามนี้ คล้ายบรรลุถึงช่วงคอขวด
ส่วนพฤกษาสวรรค์ภายในหลิงไถ ยามนี้ยังคงอยู่ในระยะเวลาการเติบโต รากไม้ชอนไชไปทั่วทุกมุมในหลิงไถ แข็งแกร่งมั่นคงราวทองคำเหล็กกล้า
ฉินจิ่วเกอหลับตาใคร่ครวญ ตนเองยามนี้สมควรสามารถทะลวงจากพิสุทธิ์ไพศาลขั้นต้น สู่ขั้นกลางได้แล้ว
นี่เป็นวิธีการเดียวในตอนนี้ที่สามารถยกระดับความสามารถในการต่อสู้ขึ้นอย่างกะทันหัน ส่วนเรื่องอื่นล้วนแต่ต้องพึ่งพาวาสนา ส่วนเคล็ดวิชากำลังภายใน คือส่วนช่วยผู้ฝึกตนในการเข้าสู่มหามรรคา ทะลวงด่านรับประทานโอสถเทือกนั้น
เคล็ดกำลังภายในสุวรรณกายาราชันแสงไร้เคลื่อนไหวเทพมังกรผลึกม่วงปลอดโปร่งสบายนั้น แม้ไม่อาจช่วยฉินจิ่วเกอเจาะจงธาตุในตัวของมันออกมาได้ ทว่ายามฝึกวิชาปีศาจ ช่วยให้ไม่ถูกจิตมารแทรกแซง ไร้พันธนาการ ทั้งยังลึกล้ำลึกซึ้งยิ่งกว่าเคล็ดหมื่นมารทมิฬอีก
ราวกับยืนอยู่บนโลกหนึ่ง แม้มีมหาวิถีอันใหญ่โตทะลวงสี่ทิศ หากคิดเดินเหินตลอดทั้งโลกนี้ ยังต้องใช้เวลาชั่วชีวิต
ในทางกลับกัน อีกด้านคือทางทุรกันดารบนขุนเขา แม้หนทางก้าวเดินไปอย่างยากลำบาก หากแต่ระยะทางแสนสั้นนัก
เคล็ดกำลังภายในแห่งเทวะ แน่นอนย่อมเป็นหนทางชั่วชีวิต
เคล็ดวิชาปีศาจเจตจำนงสวรรค์ ย่อมเป็นหนทางทุรกันดารอันลัดสั้น ทั้งสองเส้นทางแตกต่างราวฟ้าดิน ขอบเขตระดับชั้นยิ่งไม่อาจนำมาเทียบเคียง
ฉินจิ่วเกอรังเกียจชิงชังวิชาปีศาจจากก้นบึ้ง แน่นอนว่าย่อมไม่มีทางใช้เคล็ดวิชาหมื่นมารทมิฬออกมาเองด้วยจงใจ สายตาของมันย่อมเพ่งไปยังเคล็ดกำลังภายในแห่งเทวะ โคจรเคล็ดวิชาไหลเวียนทั่วชีพจร ตั้งมั่นยึดจับไอพลังสีม่วงแห่งเทวะอันลี้ลับ ชักนำไหลเวียนไปทั่วทั้งซอกมุมรูขุมขนบนร่าง
ผสานไอวิญญาณ สร้างตันเถียน เปิดหลิงไถ บ่มทารกแกนวิญญาณ
นี่คือเงื่อนไขของปราณสุริยันและพิสุทธิ์ไพศาล ดวงตาภายในของฉินจิ่วเกอมองดูลักษณ์ขนาดเท่าหัวแม่มือภายในร่างนั้น ดูดซับไอพลัง สื่อสารกับยอดนภาไพศาลเหนือศีรษะอย่างแจ่มกระจ่างสงัดงัน
ประกายดาราสันโดษสะท้อนผืนแผ่นดินกว้างไกลไร้ร้าง ในใจเงียบนิ่ง สรรพสิ่งนิ่งงัน ปราศจากระลอกผันผวนอีกต่อไป มีเพียงประกายนัยน์ตาอันกระจ่างสุกใสคู่นั้น เคลื่อนโยกย้ายระหว่างระยะทางของห้วงเวลาอันประจวบเหมาะ
จักรวาลเก่าแก่จวบปัจจุสมัย กาลเวลาบนล่างสี่ทิศทาง
ความกว้างใหญ่ไพศาลของจักรวาลและเวลา ทั้งแนวตั้งและแนวนอนอันปราศจากอุดรทักษิณ ยืดขยายนับล้านล้านปีแสงอันไร้ซึ่งบูรพาประจิม
ฉินจิ่วเกอมาถึงจักรวาลอันเวิ้งว้าง โลกที่ยิ่งใหญ่สุดคณานับยิ่งกว่าทวีปฉงหลิงไม่รู้กี่เท่าต่อกี่เท่า เปรียบกับห้วงจักรวาลอันไพศาลล้วนไม่ต่างจากเมล็ดงาเมล็ดหนึ่ง หรืออาจยังเล็กกว่าธุลี
ขอบเขตแห่งการฝึกตน ไร้ซึ่งจุดสิ้นสุด
ก้าวย่างตามวิถีธรรมชาติ ไล่ล่าไขว่คว้ามหาวิถี สัมผัสรับรู้อันมีคล้ายไม่มี อัศจรรย์พิสดารหากจริงแท้อย่างยิ่ง เสียดทะลวงเข้าถึงต้นกำเนิดแห้งพลังอำนาจของมนุษย์ รูขุมขนสิบแปดหมื่นเปิดขยาย
เพียงรับรู้ถึงกายาที่ดูดซับไอพลังอันสดใหม่ ประดุจดั่งคนในแสงอาทิตย์อันแรงร้อนกลางคิมหันต์ พบพานบ่อน้ำใสเย็นอันชุ่มฉ่ำแล้วพลัดหล่นลงไป
ผลอู่เลี่ยงสดที่เคยรับประทานลงไป พลังฤทธิ์โอสถที่ยังคงอยู่ในชีพจรและตันเถียน ในที่สุดก็ปะทุขึ้น
หลงเฟิงปรายตามอง ประกายเคร่งขรึมในแววตาหยุดลงที่เงาร่างพร่าเลือนชั่วพริบตานั้น
วูบ!
มันเคลื่อนร่างประชิดฉินจิ่วเกอในพริบตา คนยืนหยัดท่ามกลางความป่าเถื่อนอย่างโดดเดี่ยว ประสาทหูเปิดถึงขีดสุด ดวงตาเบิกกว้าง อารักขาข้างกาย
ยามที่จักรวาลว่างเปล่า ล้วนปราศจากขาวและดำ มีเพียงประกายแสงสีม่วงและสีทอง ล่องลอยเลื่อนลับในห้วงแห่งความเวิ้งว้าง
ผ่านครรภ์บ่มเพาะแห่งห้วงโกลาหล หยินหยางควบกลั่น ก่อนกำเนิดชำระล้าง กายาของแสงสีม่วงและทองทั้งสองเริ่มก่อเกิด นั่นก็คือสายฟ้าอันน่าหวาดเกรงจากสรรพชีวิต กาลครั้งเมื่อคนเบิกฟ้า สองมือสองเท้าพร้อมขวานยักษ์ยันฟ้าดิน เหนือศีรษะคืออสนีบาตม่วงทองอันศักดิ์สิทธิ์ กายาครอบคลุมไว้ด้วยห้วงความขมุกขมัว
ครืนนนน!
การระเบิดครั้งใหญ่ กวาดม้วนเข้าใส่ทั่วทั้งหลิงไถของฉินจิ่วเกอ
ฉินจิ่วเกอที่ยืนหยัดอยู่ตรงกลาง สายตามองเห็นก้อนกรวดที่เล็กที่สุดที่ปลิวปรายไปมา แม้แต่ก้อนที่เล็กที่สุด ตัวมันวิ่งสุดกำลังนับสิบปียังไม่อาจวิ่งพ้น
การระเบิดครั้งยิ่งใหญ่อันไร้เค้าลาง จักรวาลเวิ้งว้างอันเงียบเหงาก็ราวมรณะก็เกิดการเคลื่อนไหว
การเริ่มต้นแห่งการทำลายล้าง ก่อกำเนิดชีวิตใหม่สืบเนื่อง จักรวาลก็ถือกำเนิดเกิดขึ้น
ปฐมจักรวาลระเบิดสะท้าน ทลายพลังมหาศาลธรรมชาติ นอกเหนือจากมนุษย์ยักษ์นั้น ล้วนไม่มีผู้ใดต้านทานไว้ได้ ฉินจิ่วเกอตกอยู่ท่ามกลางห้วงมหันตภัย ไม่อาจหลบหลีก ต้องเบิกตาดูศิลาก้อนหนึ่งปลิวเข้ามาหวังบดขยี้มันเป็นผุยผง
อ๊ากกก!
ฉินจิ่วเกอที่ปิดตาสัมผัสโลกร้องออกมา เปิดตาขึ้น กวาดตามองโดยรอบยังคงเป็นห้วงจักรวาลอันไพศาล ประกายแสงหม่นมัวยังคงลอยเหนือศีรษะ เบื้องล่างสังขารคือทวีปอันเปล่งประกาย ทุกที่ทางปรากฏเงาหยิน
สองตามองดูฝ่ามือชื้นเหงื่อทั้งคู่ ฉินจิ่วเกอกำมือเป็นกำปั้น ส่งเสียงราวเม็ดถั่วที่ถูกบดอัดดังแคร่กแคร่ก
ฉินจิ่วเกอเค้นหยาดเหงื่อชุ่มโชกได้ร่วมสามจิน สูบกลืนไอน้ำค้างจากห้วงอากาศอย่างกระหาย ไอวิญญาณแห่งยุคโฮ่วเทียนอันบริสุทธิ์หลั่งไหลเข้าสู่ภายในสี่ชีพจรอย่างไม่ขาดสาย ถั่งโถมแพร่กระจายเข้าใส่ทุกซอกมุม
พิสุทธิ์ไพศาลขั้นกลาง!
“ประเสริฐ พวกเราไปต่อเถอะ” ฉินจิ่วเกอที่เพิ่งทะลวงด่านเบิกบานสำราญยิ่ง ครุ่นคิดว่าหากมันพบเจอติงหลันอีก ก็ไม่ต้องกลัวถูกนางรังแกถ่ายเดียวแล้ว
หลงเฟิงลอบกลอกตาขาว “รู้เวลาหรือไม่?”
ฉินจิ่วเกอเงยหน้าขึ้น มองดูอีกฝ่ายกลอกตาใส่ “ข้าสงบไปสองสามชั่วยามได้กระมัง?”
หลงเฟิงขมวดมุ่นคิ้ว เชิดมุมปากกล่าว “เจ้าเข้าภวังค์ฝึกปรือไปสามวันสองคืน”
“อะไรนะ?” ฉินจิ่วเกอหลั่งเหงื่อชุ่มโชก “เจ้าทำไมไม่เรียกปลุกข้า สมควรตาย เจ้าโง่พวกนั้นเกรงว่าคงไปรวมกันที่เขาเหมิงซานหมดแล้ว เจ้าคิดรอให้พรรคโลหิตนภาประคองส่งมื้ออาหารเลือดแก่พวกมันให้หมดสิ้นก่อนหรือไง?”
หลงเฟิงนิ่งเงียบ ยังไงซะคนตายก็ไม่ใช่ข้านี่นา “เจ้าวางใจเถอะ หลายวันนี้ คนไปมาไม่หยุด ยังมีบรรดาผู้ฝึกตนไล่ฆ่าผู้ฝึกวิชาปีศาจ ข้าว่า สามเผ่าคงจับความผิดปกติของเมืองเทียนเอินได้แล้ว”
หากไม่ถึงที่สุดจริงๆ ล้วนไม่มีใครต้องการเป็นผู้ฝึกวิชาปีศาจ
ยิ่งไม่ต้องกล่าวว่า ผู้ฝึกวิชาปีศาจล้วนเป็นหนึ่งในองค์กรลี้ลับของพรรคโลหิตนภาอันกล้าแข็ง
พรรคปีศาจอื่น อย่างมากก็ปล้นชิงอาหารและสตรี
แต่พรรคโลหิตนภา ไม่ว่าด้านโครงสร้างการจัดการหรือความเชื่อ แตกต่างจากพวกพรรคเล็กพรรคน้อยพวกนั้นคนละโยชน์
พวกมันถือเอาการทำลายล้างฟ้าดินเป็นภารกิจ ถือเอาการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์เป็นความหรรษา นั่นย่อมเป็นมาตรฐานของเหล่าอันธพาลแน่แท้ ส่วนฉินจิ่วเกอ ย่อมต้องเป็นพระผู้ช่วยของโลกนี้ เป็นเทวดาน้อยบนโลกมนุษย์ที่มีปีกงอกออกมาประดานั้น
“ก็หวังว่างั้น เจ้านี่มากเรื่องจริง แค่เรียกปลุกก่อนนิดหน่อยก็ได้มั้ง” ในฐานะเด็กน้อยในโลกแห่งผู้ฝึกเซียน ฉินจิ่วเกอไม่ทราบว่าการเข้าแทรกกลางระหว่างการฝึกของผู้อื่น อาจทำให้ธาตุไฟเข้าแทรกได้
แน่นอน หลังจากมันได้ฝึกปรือเคล็ดสุวรรณกายาราชันแสงไร้เคลื่อนไหวเทพมังกรผลึกม่วงปลอดโปร่งสบายแล้ว ยกเรื่องอื่นไว้ไม่กล่าวถึง อย่างน้อยความจุปอดของมันเพิ่มขึ้นอย่างมาก
หลงเฟิงคร้านจะสนใจพฤติการณ์น่ากลอกตาบนของฉินจิ่วเกอ ต้องเงียบงันราวมรณะ ชาติก่อนสงสัยมันจะแซ่หลี่ว์ (ลา) ไม่งั้นคงไม่ไปตอแยความยุ่งยากอันชั่วร้ายตัวนี้มาได้ กรรมตามสนองซะจริง
ฉินจิ่วเกอคาดคิดมิถึง ทางตะวันออกของเหมิงซาน เรื่องการค้นพบสุสานโบราณของชนชั้นสุญญตา ยามนี้ถูกพรรคโลหิตนภาเติมเชื้อไฟ แพร่กระจายออกไปในเมืองเทียนเอินแล้ว
ใจคนล้วนละโมบ และสุสานตัวประหลาดสุญญาตา แน่นอนว่าเป็นเนื้อชิ้นโต
เมืองเทียนเอินมีขุมกำลังหลายตระกูล ขณะเร่งรีบมายังเหมิงซาน ก็สืบข่าวสารไปพลาง
สามเผ่ามนุษย์มารอสูร แน่นอนว่าไม่ทราบความเปลี่ยนแปลงภายในเมืองเทียนเอิน
ส่วนพวกที่สามารถมาเมืองเทียนเอินจากทั่วสี่ทิศแปดทางนี้ได้ในสองสามวัน เข้าร่วมการแข่งขันนี้ หากมิใช่พวกที่ส่วนใหญ่ฝังตัวอยู่ อย่างน้อยก็ต้องเป็นยอดยุทธ์ชั้นพิสุทธิ์ไพศาล ยังมีกลั่นดวงธาตุที่ปิดด่านกักตนไม่น้อยที่ออกด่านมา
พรรคโลหิตนภามองดูยอดยุทธ์ระลอกแล้วระลอกเล่ามาถึงยังเหมิงซาน คงไม่ต้องบอกว่าพวกมันเบิกบานปานไหน
โลกหล้าหมุนมาด้วยผลประโยชน์ ก็หมุนไปด้วยผลประโยชน์เช่นกัน
เมื่อฉินจิ่วเกอนำหลงเฟิงมาถึงทางตะวันออกของเขาเหมิงซาน ยอดยุทธ์ส่วนใหญ่ในเมืองเทียนเอนก็มาถึงสถานที่ไม่น้อยกว่าแปดเก้าส่วนแล้ว ขุมกำลังนี้ กอปรไปด้วยพิสุทธิ์ไพศาลเกลื่อนกลาดยันกลั่นดวงธาตุขั้นเจ็ด
ยังมีที่สูงกล่าวเจ็ดดวงธาตุ หากนับพวกมันรวมกันแล้วมีหลายสิบคน อาจมากถึงห้าสิบ สมกับเป็นศูนย์กลางของทวีปที่ครึกครื้นที่สุด ยอดยุทธ์ที่เดินไปมาล้วนมีไม่น้อยเลย
กล่าวได้ว่า หากรวมกำลังทั้งหมดนี้ไว้ จะกวาดล้างสี่พรรคใหญ่เผ่ามนุษย์ ล้วนเป็นเรื่องง่ายดาย
ฉินจิ่วเกอปะปนในกลุ่มของผู้ฝึกตน เมื่อครู่พวกที่เหาะขวักไขว่ไปมาทำอิฐร่วงทั้งหลายล้วนเป็นพิสุทธิ์ไพศาลที่สามารถเหินฟ้าได้ทั้งนั้น
เมื่อเสาะพบพวกเขาพิรุณเซียนและตระกูลจวง จวงฟานและเจ้าเป้ากำลังเบื่อหน่าย กำลังไร้เรื่องราวกระทำ
สมาพันธ์อู่ซิ่งเองก็ไม่ยอมเผยโฉมหน้ากองกำลัง มีคนคาดเดาว่า ตรงปากทางเข้าสุสาน สมควรมีปราการผนึกใดกั้นไว้