อาวุโสสี่พอจะเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เจ้าเด็กนั่น มันต้องสร้างศัตรูเอาไว้มากมายเกินไปแน่
พอปรากฏตัวอย่างเอิกเกริกเช่นนี้ เลยมีหายนะโชกเลือดตามมา
อาวุโสใหญ่ยังคงสงสัย ว่านี่อาจเป็นฝีมือของเทียนหมิงเสีย
แต่คนผู้นั้น นอกจากจะเป็นกฎสรรพสิ่ง มิเช่นนั้นต่อให้เป็นแหวกชำระกายา คิดวางอุบายทำร้ายศิษย์ภายใต้การจับตาของตัวเอง ย่อมเป็นไปไม่ได้
แปลกแท้ หรือจะเป็นสวรรค์พิโรธ?
ที่น่าประหลาดยิ่งกว่าก็คือ เหนือศีรษะของฉินจิ่วเกอกลับมีซาลาเปาสีดำเขียวปูดโปนออกมา ไม่ทราบเป็นอาวุธลับประเภทใด ถึงได้แหลมคมขนาดนั้น
สุดท้าย อาวุโสสี่ก็ช่วยฉินจิ่วเกอที่กำลังจะตายมิตายแหล่กลับมาได้ เนื้อตัวพันไว้ด้วยผ้าพันแผลจนเต็ม แลดูร่อแร่เต็มที
กินข้าวจำต้องป้อน กินน้ำจำต้องป้อน นอกจากกิจส่วนตัวบางอย่าง โดยรวมคือไม่ต้องขยับตัว
ศิษย์พรรคต่างก็ไม่ขอยุ่งเกี่ยว มีเพียงตงฟางฉิงอวี่ที่เฝ้าดูแลอย่างอดทน
ฝันรักงดงามหากกระชั้นสั้น ช่วงเวลาดีงามคงอยู่เพียงในนามเท่านั้น สัมพันธ์น้ำใจมีหลากหลายพันรูปแบบ ยิ่งไม่ขึ้นกับวาจาของผู้ใด
เจ็ดวันให้หลังแม้แต่ศิษย์น้องเล็กเองก็ทนไม่ไหว นางยื่นมือไปบิดหูฉินจิ่วเกอแล้วตะโกนกรอกหูว่า “เจ้าคนแซ่ฉิน ต่อให้เจ้าเจ็บป่วยยิ่งกว่านี้ มารดาก็จะจับเจ้ามาตอนเชื่อไม่เชื่อ? ”
“โอ๊ยๆ เบามือๆ อิสตรีอย่างพวกเจ้าไฉนถึงได้นิยมบิดหูผู้อื่นนัก ข้ากำลังป่วยอยู่นะ” ฉินจิ่วเกอร้องโอดโอยอยู่บนเตียง
“เลิกเล่นลิ้นได้แล้ว รีบๆ ลุกขึ้นมาพับผ้าห่มเก็บเตียงแล้วไปขัดห้องสวมซะ! ”
“บัดซบ ศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวไม่มีสิทธิมนุษยชนบ้างเลยหรือไง? ”
ศิษย์น้องเล็กเป็นคนมีเมตตา แต่คนที่ไร้เมตตา คืออาวุโสใหญ่พรรคหลิงเซียวต่างหาก
พอเห็นศิษย์รักแสร้งเจ็บป่วยมาได้เจ็ดวัน อาวุโสใหญ่ก็รู้สึกเหลืออด นำฉินจิ่วเกอให้ตื่นจากความฝันเป็นตาย ให้มันใช้แรงงาน เผชิญกับความยากลำบาก
คนหนุ่มคนสาว จำต้องผ่านการเคี่ยวกรำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เช่นนี้ จึงจะเป็นเหล็กกล้าอย่างแท้จริง!
สามารถจินตนาการได้ว่า อาวุโสใหญ่ตอนเยาว์วัย เส้นทางการฝึกปรือของมันจะต้องเต็มไปด้วยความยากลำบากขนาดไหน
อย่างตอนนี้ที่มันหาเรื่องให้ศิษย์รักทั้งที่ไม่มีอะไร ที่จริงในใจก็รู้สึกไม่สบายใจเหมือนกัน
ที่อาวุโสใหญ่เรียกตัวฉินจิ่วเกอ ก็เพราะไม่กี่วันก่อนมีคนมาที่พรรคหลิงเซียว
ผู้มาไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นอาวุโสใหญ่หุบเขาเพลิงราชันหนึ่งในสี่พรรคใหญ่เผ่ามนุษย์ หนันกงอู่จี๋
พูดไปก็ยาวเปล่าๆ เอาเป็นว่าตัวการสำคัญแห่งการขัดแย้ง ก็คือฉินจิ่วเกอ
รัศมีหลายหมื่นลี้รอบเมืองซวนอู่ ล้วนอยู่ใต้ความคุ้มครองของประตูหายนะ
ในฐานะสี่พรรคใหญ่เผ่ามนุษย์ ประตูหายนะย่อมกุมอำนาจสูงสุด เขตพื้นที่และอำนาจในการปกครองก็มากมายที่สุดด้วยเช่นกัน
สามพรรคที่เหลือเองก็ไม่ใช่มังสวิรัติ
โดยเฉพาะหุบเขาเพลิงราชัน ที่ปกครองเหนือพรมแดนมนุษย์อสูรเช่นเดียวกับประตูหายนะ เป็นปากทางเข้าสู่ตะวันออกเฉียงเหนือของเผ่ามนุษย์
บึงมารมรณา อยู่ทางฝั่งตะวันตกของเผ่ามนุษย์ ตรงรอยต่อพรมแดนของเผ่ามาร
ส่วนพรรคดาวตก ว่ากันว่าน้อยครั้งจะปรากฏตัวใจกลางเขตเผ่ามนุษย์
แต่ไม่ว่าประตูหายนะจะกุมอำนาจมากมายเพียงไร ก็ไม่ใช่ไร้เทียมทานในหมู่มวลเผ่ามนุษย์
ในละแวกเมืองซวนอู่ มีขุมกำลังใต้อาณัติของหุบเขาเพลิงราชันตั้งอยู่ ใช้สืบหาข่าวคราวและส่งบรรณาการไปยังที่ทำการหลัก
และกองกำลังที่ว่านี้ก็คือพรรคจอกประกายสิทธิ์นั่นเอง
ในวันวาน เกาฟู่ซือและอาวุโสใหญ่พรรคจอกประกายสิทธิ์เคยมาก่อกวนเรื่องราวกับพรรคหลิงเซียว ก่อนจะถูกฉินจิ่วเกอจัดการไปอย่างง่ายดาย
ด้วยเหตุนี้ จึงนำไปสู่สงครามขนาดย่อมภายในเมืองซวนอู่ ฉินจิ่วเกอและพรรคจอกประกายสิทธิ์เรียกได้ว่ามีความแค้นมิอาจอยู่ร่วม ไหนจะยังศิษย์ฝ่ายในประตูหายนะนามเฉียนหยุนผู้นั้นอีก
ประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์เดิมทีก็เป็นคนหัวรุนแรงอยู่แล้ว แต่หลังจากนั้นมันพอดีถูกพรรคโลหิตนภาลอบโจมตี ยอดฝีมือภายในพรรคกว่าแปดส่วนก็ร่วงหล่นตกตาย พวกที่เหลือจึงไม่อาจรักษาพรรคเอาไว้ได้
ไม่กี่เดือนก่อน ภายในป่าบรรพกาลเผ่ามนุษย์แถบใหญ่ ได้เกิดร่องรอยการเคลื่อนไหวของสัตว์อสูรขึ้น
หุบเขาเพลิงราชันจึงส่งคนออกมาสอบถามเรื่องราวกับพรรคจอกประกายสิทธิ์ เพราะป่าปีศาจสวรรค์กินรัศมีหลายหมื่นลี้ สัตว์อสูรที่ร้ายกาจเองก็มีอยู่ไม่น้อย
เกาฟู่ซือไม่ได้ถูกอุบายของพรรคโลหิตนภา แต่กำลังดิ้นรนรอความช่วยเหลืออยู่ในพรรค ผลก็คือทางหุบเขาเพลิงราชันส่งคนมาไถ่ถาม จึงล่วงรู้ว่ากองกำลังใต้อาณัติของพวกมันกลับถูกคนรังแก
แม้ผู้ที่เข่นฆ่าหัวกะทิของพรรคจะเป็นพรรคโลหิตนภา แต่คนที่กล้ากระตุกหนวดเสืออย่างพรรคจอกประกายสิทธิ์และสังหารอาวุโสใหญ่ของพวกมันก็คือฉินจิ่วเกอพรรคหลิงเซียว คนของหุบเขาเพลิงราชันที่มาในวันนั้นจึงพาเกาฟู่ซือกลับไปที่ทำการหลัก และเข้าพบอาวุโสทรงเกียรติของพรรคหนันกงอู่จี๋
ภายในหุบเขาเพลิงราชัน ยอดฝีมือมีอยู่มากมาย ต่างก็ล้วนมากลวดลายฝีมือ
ต่อให้เบาบางขนาดไหน แต่ปริมาณของไอวิญญาณก็ยังมากมายกว่าภายนอกมหาศาล
เขตในของพรรค ตบแต่งหรูหรา สิ่งปลูกสร้างสูงเด่นตระการตา
เมื่อผ่านเข้ามา จะพบพิสุทธิ์ไพศาลมากมาย นี่คือส่วนในของพรรค
รอบด้านคือตำหนักศาลาสูงร้อยจั้ง ทั้งหมดล้วนตั้งอยู่บนลานหยกยกสูงเก้าชั้นแปดสิบเมตร กินรัศมีหนึ่งพันจั้ง
ในฐานะอาวุโสทรงเกียรติของหุบเขาเพลิงราชัน หนันกงอู่จี๋ไม่มีเวลามากพอที่จะจัดการกับเรื่องยิบย่อยเหล่านี้
แต่เพราะช่วงนี้สัตว์อสูรในพื้นที่ของเผ่ามนุษย์แสดงพฤติการณ์ผิดวิสัยออกมาอย่างชัดแจ้ง ราวกับว่าเบื้องหลังมีผู้ฝึกวิชาปีศาจจากพรรคโลหิตนภาเหล่านั้นกำลังสุมไฟให้ลุกลาม
คิ้วยาวของหนันกงอู่จี๋สั่นเครือเล็กน้อย ใบหน้ารูปไข่ขาวบริสุทธิ์ บ่งบอกความทระนงทรงศักดิ์สมัยยังหนุ่มได้อย่างเด่นชัด
หลังนั่งลงบนเก้าอี้ประจำตำแหน่งที่สลักขึ้นจากหยกขาวชั้นดี หนันกงอู่จี๋พักมือไว้บนโต๊ะอ่านตำราที่แกะขึ้นจากผลึกสวรรค์กับศิลาเมฆา จากนั้นก็พ่นลมออกมาช้าๆ “ไปตามตัวผู้ดูแลเหวินมาให้ข้า ไม่ใช่ว่ามันไปสืบหาข้อมูลป่าปีศาจสวรรค์เมืองซวนอู่หรอกรึ? ”
เขตพื้นที่ใจกลางเผ่ามนุษย์ หนันกงอู่จี๋กลับไม่วิตกว่าพวกผู้ฝึกวิชาปีศาจเหล่านั้นจะก่อกวนคลื่นลมอันใดขึ้นมา
กลับเป็นเขตพื้นที่ห่างไกลจากทางใต้ ที่ง่ายต่อการเกิดเรื่องราวมากที่สุดไม่ต่างจากเขตพื้นที่อย่างเมืองซวนอู่
เมื่อถูกเรียกตัว ผู้ดูแลเหวินก็เก็บแหวนมิติของเกาฟู่ซือไว้ในชายเสื้อหลังจากขู่กรรโชกเล็กน้อย “ถือว่าเจ้าเข้าใจเรื่องราว ในเมื่อประมุขพรรคจอกประกายสิทธิ์ตายไปแล้ว เจ้าขึ้นรับตำแหน่งต่อก็นับว่าสมเหตุสมผล เรื่องนี้ข้าสนับสนุนเต็มที่”
เกาฟู่ซือยามนี้อิดโรยกว่ากันมากเมื่อเทียบกับเมื่อหลายปีก่อน รอยกระดำกระด่างเต็มใบหน้า “ขอบคุณผู้ดูแลเหวิน ฟู่ซือจะไม่มีวันลืมพระคุณอันยิ่งใหญ่ของท่านเด็ดขาด”
“เจ้าก็เดินทางเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปพบอาวุโสหนันกงอู่จี๋ อีกเดี๋ยว เจ้าก็แค่รายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับท่าน ในเมื่อหลายปีมานี้ต้องลำบากพรรคจอกประกายสิทธิ์เจ้ามากพอดู ย่อมต้องมีการจัดแจงจากส่วนอื่นมาชดเชยให้แก่พวกเจ้า”
พูดจบ มันก็เอามือไพล่หลังท่าทางหยิ่งทระนง ด้านหลังติดตามมาด้วยเกาฟู่ซือที่คอยแสดงความเคารพนบนอบ คนทั้งสองไต่ขั้นบันไดสามพันศิลาวิญญาณจนมาถึงนอกโถงใหญ่ประจำพรรคของหุบเขาเพลิงราชัน
ประตูไม้สีแดงเพลิง โอ่โถงยิ่งใหญ่ เลื่อมเงินเลื่อมทอง บุฝังด้วยศิลาวิญญาณระดับกลาง ไอวิญญาณที่แผ่ออกเปรียบเสมือนม่านหมอกเหนือผืนฝั่งทะเลอันเรืองรอง
ผู้ดูแลเหวินเป็นเพียงพิสุทธิ์ไพศาลขั้นสูงสุด ชาตินี้ถือว่าถูกลิขิตไว้เท่านี้
มันวางแผนไว้ว่าจะร่วมมือกับเกาฟู่ซือ ไปคิดบัญชีกับพรรคหลิงเซียว เพื่อเรียกหาเงินเข้ากระเป๋าซักกระบุง
เอาแค่ป้ายยี่ห้อสี่พรรคใหญ่ ภายในเผ่ามนุษย์แห่งนี้ก็สามารถข่มขู่ผู้คนจนสิ้นลมได้ไม่รู้ตั้งเท่าไร ยังจะต้องกลัวพรรคหลิงเซียวไม่ยอมลดศีรษะฟังวาจาอยู่อีก?
พอเห็นผู้ดูแลเหวินเดินเข้ามา หนันกงอู่จี๋ก็ลดของในมือลง ปลายนิ้วปราศจากรอยด้านลูบถ้วยชาอันปราณีต “เรื่องที่ให้เจ้าไปสืบข่าวจากป่าปีศาจสวรรค์ ได้เรื่องอย่างไรบ้าง? ”
ผู้ดูแลเหวินคุกเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้นหยกสูงมูลค่า คนอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยเมตร ก่อนกล่าวรายงานด้วยสีหน้าประหม่ากังวล “เรียนอาวุโสหนันกง พรรคจอกประกายสิทธิ์เกิดเรื่องขึ้น”
“หือ? ” บารมีแผ่ตัวออกเบาๆ พร้อมเสียงฮึ่มคราหนึ่ง แต่ในห้องโถงแห่งนี้กลับดังสะท้อนไปมาราวอสนีบาตฟาดผ่า
เกาฟู่ซือหน้าซีด หน้าผากผุดเหงื่อพราว หยดแหมะๆ แตกกระจายลงสู่พื้นหินอันเรียบลื่น
ผู้ดูแลเหวินระงับความกล้วในใจ เอ่ยตอบด้วยหนวดเคราสั่นเทิ้ม “เรื่องราวเป็นเช่นนี้ อาวุโสหนันกง พรรคจอกประกายสิทธิ์ที่พวกเราก่อตั้ง ถูกพรรคหลิงเซียวกองกำลังกระจอกรังแก ยามนี้หลงเหลือกำลังเพียงสามส่วน”
“ข้าจำได้ว่าในเมืองซวนอู่ ผู้ที่เข้มแข็งที่สุด สมควรเป็นมู่หยวนอาวุโสประตูหายนะ กระทั่งมันยังต้องเกรงอกเกรงใจต่อหุบเขาเพลิงราชันเรา ผู้ใดกล้าแตะต้องขุมกำลังของหุบเขา?”
ในฐานะอาวุโสทรงเกียรติ หนันกงอู่จี๋ยามจัดการสะสางเรื่องราวอย่างรอบคอบละเอียดลออ มันนิ่งครุ่นคิด พรรคหลิงเซียว? ไม่เคยได้ยินมา สงสัยไปกินดีหมีหัวใจเสือมา ถึงได้มารนหาที่ตาย
หนันกงอู่จี๋ยืนขึ้น เผยให้เห็นร่างสูงราวเก้าฉื่อ เรือนร่างทรงพลังสูงใหญ่ราวเทพสวรรค์ “พรรคหลิงเซียว นับว่ามีความหมาย เจ้าเป็นศิษย์พรรคจอกประกายสิทธิ์?”
“ขอรับ” เกาฟู่ซือเบญจางคบูชา มันนับเป็นอัจฉริยะวันวาน ต่อหน้ากลั่นดวงธาตุสูงสุด ล้วนไม่สามารถวาดลายได้
หนันกงอู่จี๋แน่นอนว่าย่อมไม่ให้ค่ามากไปต่อถ้อยวาจาของอีกฝ่าย ทว่าผู้ที่กล้าตอแยหุบเขาเพลิงราชัน ล้วนไม่มีผู้ใดในเผ่ามนุษย์เคยหลุดรอดไปทั้งมีชีวิต พอดีกับที่ผู้ดูแลเหวินทำงานไม่ได้เรื่อง หนันกงอู่จี๋จึงคิดว่ามันจะไปยังป่าปีศาจสวรรค์ด้วยตนเอง
เนื่องเพราะหุบเขาเพลิงราชัน ได้บันทึกแผ่นดินป่าปีศาจสวรรค์ไว้ เป็นเรื่องมีความหมาย
“เหวินจางเฮ่า ภารกิจเจ้ารอบนี้ไม่สำเร็จ ไปเป็นคนงานขุดเหมืองซะไป” น้ำเสียงทรงอำนาจของหนันกงอู่จี๋สะท้านก้องหูของผู้ดูแลเหวิน คนตวัดมือกลางอากาศ ดึงเอาแหวนมิติออกจากชายแขนเสื้อของมันไป
“เหอะ ยามกระทำเรื่องราวของหุบเขาเพลิงราชัน แม้จะใช้อารมณ์ แต่ก็มิใช่สามารถปากพล่อย หากยังมีครั้งหน้า ข้าจะทุบเจ้าให้พิการ!”
“ขอรับ!”
เสียงดังปัง ผู้ดูแลเหวินโขกศีรษะลงสู่พื้น เนื้อหนังที่กระแทกกับของแข็งปรากฏโลหิตสาดกระจาย สร้างความแตกตื่นแก่เกาฟู่ซือจนต้องผวาออกไปด้านข้าง
หนันกงอู่จี๋หมุนกายมา ยื่นมือออกคว้ามือของเกาฟู่ซือ “แม้พวกเจ้าจะพูดจาไม่ซื่อสัตย์ ทว่าพรรคเล็กกระจ้อยเช่นพรรคหลิงเซียวขวัญกล้าบังอาจหาเรื่องหุบเขาเพลิงราชันเรา ช่างเถอะ เราผู้เฒ่าจะไปเองสักรอบหนึ่ง”
เหวินจางเฮ่าสูดลมหายใจหนาวเข้าปอดหลายเฮือก เลือดบนหน้าผากค่อยหยุดไหล
หนันกงอู่จี๋เป็นถึงอาวุโสทรงเกียรติของหุบเขาเพลิงราชัน เป็นรองแค่เพียงประมุขพรรค บรรลุขอบเขตกลั่นดวงธาตุสูงสุด ป่าปีศาจสวรรค์และพรรคหลิงเซียวอันเป็นเสมือนเมล็ดเล็กๆ ถึงกับต้องให้ตัวตนอย่างมันเดินทางไปเยือนด้วยตัวเอง นี่นับเป็นเกียรติถึงเพียงไหน?
แม้ตนเองจะถูกส่งตัวไปทำงานอยู่ในเหมือง แต่มุมปากของเหวินจางเฮ่ากลับยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นฟันเหลืองชั่วร้ายหลายซี่ มันเชื่อว่า จุดจบของพรรคหลิงเซียวจะต้องน่าอนาถมากเป็นแน่
คนของหุบเขาเหลิงราชันส่วนใหญ่ล้วนฝึกปรือพลังธาตุอัคคี อารมณ์ดุดันรุนแรง โดยเฉพาะอันติงหลัน
พฤติการณ์ของหนันกงอู่จี๋ก็แฝงกลิ่นอายของธาตุอัคคีนี้เช่นกัน นั่นคือกระทำการอย่างเด็ดขาดฉับไว
คว้าร่างเกาฟู่ซือขึ้นมาเหมือนอุ้มไก่ จากนั้นเหินร่างออกจากหุบเขาเพลิงราชัน มุ่งหน้าไปทางใต้ของเผ่ามนุษย์
วันที่เกาฟู่ซือมาถึงหุบเขาเพลิงราชัน ก็เป็นวันเดียวกับที่ศิษย์พี่ใหญ่พรรคหลิงเซียวเดินทางกลับพรรคอย่างสุขอุรา
อาวุโสสามลอบทำร้ายศิษย์เอกได้สำเร็จ ในใจจึงแช่มชื่นเบิกบาน หลายวันมานี้จึงสบายอุราจนแทบล้นปอด
ฉินจิ่วเกอนอนพังพาบแกล้งตายอยู่บนเตียง ไม่สนใจเรื่องราวภายนอก ในใจมีเพียงศิษย์น้องเล็กของมันเท่านั้น
พวกมันสองคนร่วมกิจกรรมจับจูงมือจนนัยน์ตาสุนัขโสดทั้งหลายต้องบอดดับ ส่งผลให้ศิษย์ภายในสำนักต้องรับความเสียหายใหญ่หลวง
โดยเฉพาะเจ้าอ้วนน่าตาย สองตาของมันแดงก่ำดั่งเทียนไข ริมฝีปากยื่นออกเหมือนไส้กรอกอวบอ้วน
หลังจากที่ฉินจิ่วเกอแกล้งตายมาได้เจ็ดวัน หนันกงอู่จี๋ก็พาเกาฟู่ซือมาถึงปากทางเข้าพรรคหลิงเซียว
เพิ่งลดกายลงถึงพื้น เกาฟู่ซือก็ต้องนวดหน้าไปมา ขยับองคาพยพทั้งห้าที่เคลื่อนย้ายผิดตำแหน่งให้เข้าที่จากการถูกลมปะทะตลอดการเดินทาง