บทที่ 16 พระสนมมาเข้าพบ
แต่หลังจากเวลาผ่านมาแล้วหนึ่งวันหนึ่งคืน เขากลับมองชายาผู้นี้ของตนเองไม่ออก
หากจะบอกว่านางเป็นหมากตัวหนึ่งที่จวนมหาเสนาบดีหรือผู้อื่นส่งมายังตำหนักอ๋องหลี่ชิน อีกฝ่ายจะต้องระแวงในตัวซวงหวนมากสิ เหตุใดถึงไม่แกล้งทำตัวเป็นคุณหนูตระกูลมั่งมีต่อหน้าซวงหวนต่อ
หรือนางไม่สงสัยในตัวซวงหวนเลยแม้แต่น้อย
เขาส่งคนออกไปจับตาดูนางอย่างโจ่งแจ้งถึงเพียงนี้ ท่าทางที่แสดงออกมาอย่างเป็นธรรมชาติก็มีความเป็นไปได้เพียงสองอย่าง
ประการแรกไม่มีสิ่งใดภายในใจ ไม่สนใจว่าผู้ใดจะทดลองหยั่งเชิงนางอย่างไร ประการสุดท้ายก็คือทักษะการแสดงของนางเก่งมาก จึงจงใจแสดงอีกด้านของตนออกมาต่อหน้าซวงหวน เพื่อลองใจเขาบ้าง
“พรุ่งนี้เช้าแจ้งเรื่องของชายาอ๋องหลี่ชินแก่ทุกคนในตำหนัก การที่ตำหนักอ๋องหลี่ชินมีนายหญิงถือเป็นเรื่องน่ายินดี” หมี่โม่หรู่วางถ้วยชาลง และกล่าวด้วยท่าทีสบาย ๆ
ซวงหวนหลุบตาลงต่ำ “เพคะ”
แสงแดดร้อนสาดส่องทะลุผ่านม่านตกกระทบลงบนเตียง ฉินปู้เข่อกำลังกอดผ้าห่มและกลิ้งไปมาพร้อมพึมพำเสียงเบา “กี่โมงแล้ว หิวจัง”
“หืม มือถือหายไปไหน…” ฉินปู้เข่อหลับตาคลำไปทั่วหัวเตียงและบ่นกับตนเอง
“พระชายา ตื่นแล้วหรือเพคะ”
ซวงหวนได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวจึงวิ่งเข้ามา และเลิกม่านเตียงผืนหนาขึ้น
ฉินปู้เข่อสะดุ้งผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะนึกขึ้นมาได้ “จริงสิ ตอนนี้ข้าไม่มีมือถือแล้ว”
“พนะชายา ท่านพูดอะไรอยู่หรือเพคะ” ซวงหวนหยิบเสื้อผ้าที่พาดอยู่บนแผงกั้นและเอ่ยถาม
“ไม่มีอะไร ตอนนี้ยามใดแล้วรึ ข้าหิวจัง” ฉินปู้เข่อลูบท้อง ชาติก่อนนางกินเก่งมาก ดูเหมือนทะลุมิติมาครานี้นางจะพกเอาคุณสมบัตินั้นติดตัวมาด้วย
“ยามซื่อ[1]แล้วเพคะ”
ซวงหวนเอ่ยตอบโดยงานในมือยังไม่ได้หยุดลง เพียงครู่เดียวนางก็สวมใส่เสื้อผ้าให้ฉินปู้เข่อเรียบร้อย จัดแต่งผมให้นาง พร้อมยกน้ำล้างหน้าเข้ามา
ฉินปู้เข่อจัดการล้างใบหน้าด้วยความรวดเร็ว และนั่งลงกินอาหารเช้าบนโต๊ะตัวเล็ก
“ซวงหวน เจ้ากินข้าวรึยัง เจ้ามายืนดูข้ากินข้าวเช่นนี้ข้าเขินนะ”
“ข้าน้อยกินเรียบร้อยแล้วเพคะ” ซวงหวนคลี่ยิ้มออกมาเบา ๆ และยืนอยู่ด้านข้างตามกฎระเบียบ
นางเริ่มคุ้นชินกับนิสัยฉินปู้เข่อที่ไม่แบ่งแยกเจ้านายและบ่าวแล้ว แต่นางไม่รู้ว่ามันเป็นนิสัยของพระชายาจริง ๆ หรือเป็นเพียงการลองใจของพระชายาเท่านั้น
ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบใดนางก็แค่ทำตามกฎระเบียบ และเชื่อฟังคำสั่งของเจ้านายตนเองเป็นพอ
เมื่อเห็นฉินปู้เข่อวางถ้วยลง ซวงหวนก็ก้าวไปข้างหน้าพร้อมกล่าว “พระชายาเพคะ พระสนมสองท่านในตำหนักมารออยู่ที่ห้องโถงนานแล้ว จะไปพบหรือไม่เพคะ”
“พระสนม? ใครกัน” ฉินปู้เข่อครุ่นคิดอย่างหนัก แต่ขอโทษที่นางคิดไม่ออก สิ่งที่เจ้าของร่างรู้เกี่ยวกับอ๋องหลี่ชินนั้นมีน้อยมาก นางจึงค้นหาไม่เจอ
“พระสนมเฉิงจือเซียงแห่งสวนหงอวี้ และพระสนมฮวาจิ่นชุนแห่งสวนชุ่ยอวี้เพคะ พวกนางเป็นพระสนมของท่านอ๋อง ทั้งคู่เข้าตำหนักมาได้สองสามปีแล้วเพคะ”
ดวงตาของฉินปู้เข่อเปล่งประกายฉายแววชั่วร้ายออกมาเล็กน้อย นางใช้ข้อศอกกระทุ้งซวงหวนอย่างแผ่วเบาและเอ่ยอ้างอย่างมีเลศนัยว่า “ข้าขอถามอะไรหน่อย ท่านอ๋องของเจ้าดูแล้ว เพียงถูกลมพัดก็ล้มลง ไอยังกระอักเลือดได้ เรื่องนั้นเขาไหวงั้นรึ สภาพเช่นนั้นกลับมีสนมได้ถึงสองคนเชียว?! ไม่กลัวว่าจะคึกเกินจนเฉียดตายหรืออย่างไร”
“หืม?!” ซวงหวนไม่เข้าใจว่าพระชายากำลังเอ่ยถึงใด
ฉินปู้เข่อมองซวงหวนที่มีสีหน้างุนงง จึงอดไม่ได้ที่จะยื่นมือบีบแก้มนาง “ช่างเป็นสาวที่ใสซื่อเสียจริง”
อื้อหือ ใบหน้าที่เต็มไปด้วยความรู้สึกตอนสัมผัสดีอย่าได้บอกใครเชียว
ฉินปู้เข่อลืมสนิทเลยว่าร่างกายนี้ของตนเองก็อายุแค่ 15 ปีเหมือนกัน เพิ่งจะบรรลุนิติภาวะ
ช่วยไม่ได้ ชาติก่อนนางเป็นผู้หญิงมาดแมนที่ไม่มีแรงต้านทานต่อสาวไร้เดียงสาและผู้หญิงที่พราวเสน่ห์เลยสักนิด
แก้มของซวงหวนขึ้นสีแดงระเรื่อ และถอยหลังไปหนึ่งก้าวด้วยความตื่นตระหนก “พระชายาโปรดระมัดระวังท่าทีด้วยเพคะ”
ซวงหวนอายุแค่ 16 ถึง 17 ปี นางตามฝึกฝนวรยุทธอยู่ข้างกายอู๋เยว่มาแต่เด็ก อู๋เยว่เป็นคนเย็นชาเข้าใกล้ได้ยาก นางเองก็ไม่เคยมีกิริยาสนิทชิดเชื้อเช่นนี้กับผู้อื่นมาก่อน
“ข้าหาใช่บุรุษที่คิดจะลวนลามเจ้าเสียหน่อย สงวนท่าทีอะไรกัน” ฉินปู้เข่อกอดอกเชิดคางขึ้นอย่างนึกขำ “ไปเร็ว คนสวยทั้งสอง ไม่สิ ป่านนี้ฮูหยินทั้งสองรอจนร้อนใจไปหมดแล้วกระมัง”
พูดแบบนี้ก็ไม่ผิด เครื่องหอมช่วยนอนหลับเมื่อคืนส่งผลให้นางหลับลึกมาก หลังจากตื่นแล้วซวงหวนก็จงใจยืดเวลาออกไปให้ฉินปู้เข่อต้องไปสาย
ภายในห้องโถง เฉิงจือเซียงและฮวาจิ่นชุนรอจนหงุดหงิดไปหมด ถ้วยชาในมือพลันหมดลงไปนานแล้ว
“ท่านพี่เฉิง พระชายาคงจะตั้งใจข่มเรากระมัง ไม่พูดอะไรเลยแต่ปล่อยให้เรารอมาหนึ่งชั่วยาม” ฮวาจิ่นชุนเลิกคิ้วเบ้ปากด้วยสีหน้าไม่พอใจ
เฉิงจือเซียงชำเลืองนางและแค่นเสียงทางจมูก “น้องมิต้องพยายามยุแยงข้าเสียหรอก เป้าหมายในวันนี้ของเราสองคนก็เหมือนกันนั่นแหละ”
ฮวาจิ่นชุนยิ้มแหย ๆ “ท่านพี่พูดเรื่องอันใดกัน น้องแค่บ่นไปเพียงเท่านั้น มีความหมายอื่นที่ไหนกันเล่า”
“พระชายามาถึงแล้ว” ซวงหวนเอ่ยขึ้นหน้าประตู
ฉินปู้เข่อกวาดสายตามองเข้าไปในโถง พลันตกตะลึง
ให้ตายเถอะ เจ้าสองคนนี้คือตัวอะไรกัน ไม่สิ เป็นคนงามจากแห่งหนใดกัน
คนงามในชุดกระโปรงยาวสีน้ำทะเลด้านซ้ายมีใบหน้าอันเย่อหยิ่ง รสนิยมการแต่งกายเลิศล้ำ กระโปรงยาวสมัยโบราณเมื่อนางสวมใส่ราวกับชุดแฟชั่น หน้าอกขาวเนียนดั่งกระต่ายเผยให้เห็นเพียงครึ่งมองแล้วดูเย้ายวน
หญิงสาวในชุดกระโปรงยาวสีเหลืองอ่อนด้านขวามีร่างกายผอมบางอ้อนแอ้น สัดส่วนร่างกายกำลังดี ดูไม่กระอักกระอ่วนแม้จะสูงเพียงร้อยห้าสิบ
“ถวายบังคมพระชายา” ทั้งสองลุกขึ้นถวายบังคมเมื่อเห็นฉินปู้เข่อเดินเข้ามา
ฉินปู้เข่อยิ้มเล็ก ๆ ด้วยท่าทีเป็นมิตร นางโบกมือ “รีบมาให้ข้าดูหน่อย”
[1] ยามซื่อ คือ 09.00 – 10.59 น.