ตอนที่ 44 รู้สึกว่าจะถูกจับไปสับเป็นชิ้นมันฝรั่งทอด
วินาทีต่อมา เหล่าสาวงามกลุ่มนี้ก็คุกเข่าลงหน้าห้องอ่านหนังสือ
“ท่านอ๋อง ได้โปรดปล่อยพระชายาไปเถิดเพคะ~~”
เสียงสตรีอันไพเราะและอ่อนหวานดังขึ้นพร้อมกันในสวนชิงอวี้ ฉินปู้เข่อคุกเข่าอยู่ข้างหน้าแล้วก้มศีรษะลง พลางซ่อนใบหน้าไว้ใต้ผ้าคลุมเพื่อปิดบังรอยยิ้มประหม่า
นางไม่มีทางเลือก คงจะดีหากนางค้นพบความลับของหมี่โม่หรู่ แต่ชายผู้นี้รอบคอบนัก เขาล่วงรู้ความลับของ ‘หน่อไม้วสันตฤดูเศร้าหมอง’ แล้วจริง ๆ
นี่เป็นสมัยโบราณ หากการกระทำอย่างการนำสิ่งของต่าง ๆ ออกมาจากระบบที่มองไม่เห็นถูกเปิดเผย นางจะถูกเผาตายทันทีในฐานะแม่มด
ระหว่างหนุ่มหล่อกับชีวิต นางย่อมต้องเลือกชีวิตของตนเอง
หมี่ฉงตกตะลึงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาเปิดหน้าต่างห้องอ่านหนังสือออก วางแขนเสื้อลงบนขอบหน้าต่างแล้วถอนหายใจ “น้องเจ็ด อย่าพูดอะไรอีกเลย เสน่ห์ของน้องสะใภ้ของข้านั้นช่างรุนแรงยิ่งนัก นี่เป็นครั้งแรกที่ข้าได้เห็นภาพของความสามัคคีกลมเกลียวกันระหว่างพระชายาและพระสนม”
เขาอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้น้องสะใภ้ของตน
แม้ว่าเขาจะทุกข์ใจมากที่ถูกหลอกให้ใช้เงินเดือนมากกว่าหนึ่งเดือนไปจนหมด แต่เดือนนี้ที่เขาอาศัยอยู่ในตำหนักของอ๋องหลี่ชินนั้นสนุกสนาน มีชีวิตชีวาและน่าสนใจจริง ๆ
น้องสะใภ้ของเขาคนนี้ช่างน่าทึ่งนัก นางไม่เพียงแต่มีความคิดที่แตกต่างจากคนทั่วไปเท่านั้น แต่นางยังมีความพากเพียรมากเป็นพิเศษอีกด้วย นางไม่ยอมเปลี่ยนความคิดที่แข็งกร้าวให้อ่อนลงและไม่เรียกให้คนอื่นช่วย
ไม่น่าแปลกใจหากน้องเจ็ดจะถูกสาวน้อยตัวแสบผู้นี้ยั่วยวนเมื่อนางถูกพาเข้ามาในตำหนัก
หืม?! หมี่ฉงเหลือบมองหมี่โม่หรู่ด้วยความรู้สึกผิด เขากำลังคิดอะไรอยู่?!
ความคิดแปลก ๆ ที่ผุดขึ้นมาในใจของเขาตอนนี้คืออะไร?!
หยุด! หยุด! หมี่ฉงหยิกมือตัวเองในแขนเสื้อ ในที่สุดก็ทำให้ตัวเองได้สติขึ้นมา
“อู๋เหิน เชิญพระชายาเข้ามา” หมี่โม่หรู่หน้าบึ้งตึง เป็นไปได้หรือไม่ว่าการข่มขู่ที่เขาทำไปเมื่อสองสามวันก่อนยังไม่เพียงพอ?!
“ท่านอ๋อง~” ฉินปู้เข่อโค้งคำนับพลางเผยให้เห็นน้ำตาที่เอ่อล้นในดวงตา
หมี่ฉงที่กำลังเตรียมชมการแสดงอยู่นั้นตกตะลึง
เมื่อวันก่อนนางยังหน้าขาว แก้มแดง ปากเป็นสีเลือดอยู่เลย ซึ่งการแต่งหน้าเช่นนั้นของนางทำให้เขาหงุดหงิด แต่บัดนี้เขารู้สึกว่าสตรีตรงหน้าของเขาช่างงดงามอย่างน่าตกตะลึง
วันนี้นางสวมชุดผ้าฝ้ายธรรมดาและไม่มีการประทินโฉมแต่อย่างใด ทว่ารูปลักษณ์ของนางช่างดูงามสง่ายิ่ง
หมี่ฉงส่ายหัว เขาอยากจะตบตัวเองเดี๋ยวนี้!
นั่นคือพระชายาของอ๋องเจ็ด ซึ่งอ๋องเจ็ดก็แสดงให้เห็นว่าเขาพึงใจสตรีผู้นี้อย่างชัดเจน!
“น้องเจ็ด เจ้ากำลังยุ่งอยู่ ดังนั้นข้าจะออกไปเดินเล่นก่อน” หมี่ฉงแตะจมูกของตนแล้วก้าวเท้าเดินออกไป
หมี่โม่หรู่จ้องฉินปู้เข่อตาไม่กะพริบแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ข้าขอรบกวนพี่ชายสามช่วยบอกเหล่าสตรีที่อยู่ด้านนอกด้วยว่า ผู้ใดก็ตามที่กล้าพูดถึงเรื่องของ ‘พระชายา’ จะถูกโยนออกจากตำหนักทันที”
หมี่ฉงคุ้นชินกับการเป็นคนไม่เคร่งครัดมาโดยตลอด ในสายตาของเขาแทบไม่มีความแตกต่างระหว่างชายหญิง และเขาก็ไม่สนใจเรื่องความเป็นสุภาพบุรุษด้วย
ไม่ว่านักฆ่าจะงดงามเพียงใด เขาก็จะต่อสู้อย่างไร้ความปรานี ไม่ว่าน้ำตาของสาวงามจะน่าเวทนาเพียงไหน มันก็มีแต่จะทำให้เขาอารมณ์เสีย จึงเป็นการดีที่สุดที่จะให้เขาช่วยจัดการกับกลุ่มหญิงสาวด้านนอกนั่น
“ท่านอ๋องเพคะ โปรดฟังเสียงของมวลชนด้วยเถิด พวกนางเป็นตัวแทนความคิดเห็นของส่วนรวม ดังนั้นท่านอ๋องโปรดเชื่อฟังความคิดเห็นของส่วนรวมแล้วปล่อยหม่อมฉันไปเถิดนะเพคะ”
หมี่โม่หรู่ค่อย ๆ ลุกขึ้นจากรถเข็นแล้วพูดอย่างเคร่งขรึม “ฟังเสียงด้านนอกสิ”
ชิ้ง
ดาบยาวถูกชักออกจากฝัก หมี่ฉงโบกมือแล้วใช้ดาบฟันต้นไม้ก่อนจะคำรามว่า “แม่นางทั้งหลาย ลองดูสิ ใครก็ตามที่ยังกล้าพูดอยู่ ข้าจะฟันทิ้งให้หมด!”
เขารู้สึกหงุดหงิดเพราะความคิดในจิตใจที่ไม่สามารถอธิบายได้ของตัวเอง เขาจึงกำลังมองหาใครสักคนเพื่อมาระบายความโมโห
จู่ ๆ ด้านนอกก็เงียบลง แม้ว่าพวกนางจะเป็นสตรีจากตระกูลชนชั้นสูงก็ตาม แต่หมี่ฉงก็เป็นอ๋อง พวกนางจึงไม่กล้าแม้แต่จะทำอะไร
ผู้หญิงไร้ประโยชน์พวกนี้นี่! ฉินปู้เข่อแอบสาปแช่งในใจ นางใช้เงิน 40 ถึง 50 ตำลึงเพื่อซื้อของกำนัลให้ ผลของการร้องไห้สองครั้ง! ไม่มีประโยชน์เลย!
นางเงยหน้าขึ้นมองตาหมี่โม่หรู่แล้วกลืนน้ำลายอย่างแรง
“ข้าจำได้ว่าข้าได้บอกไปแล้วว่าไม่ควรพูดถึงเรื่องการหย่าร้างอีก ดูเหมือนว่าพระชายาจะความจำเสื่อมจึงจำไม่ได้” หมี่โม่หรู่ขึ้นเสียงเล็กน้อยขณะมองดูนกกระทาตัวน้อยที่นั่งคุดคู้อยู่ตรงหน้าเขา
ฉินปู้เข่อตัวสั่นแล้วตอบเสียงเบาว่า “ครั้งนี้หม่อมฉันไม่ได้ต้องการหนังสือหย่า หม่อมฉันแค่ขอให้ท่านเอ่ยปากขับไล่หม่อมฉันออกจากตำหนัก”
“อย่ามาพูดจาเล่นลิ้นกับข้าผู้นี้!” หมี่โม่หรู่ไม่ได้พูดเสียงดัง แต่เจตนาคุกคามนั้นชัดเจน “จำไว้ว่าตั้งแต่เจ้าแต่งเข้ามาอยู่ในตำหนักของอ๋องหลี่ชิน เจ้าจะเป็นคนของข้าตลอดชีวิตจนกว่าข้าผู้นี้จะตาย! ข้าไม่ยอมให้พระชายาออกไปไหนทั้งสิ้น”
“โอ้” ฉินปู้เข่อก้มหน้าตอบอย่างไม่ใส่ใจ นางคอยเตือนตัวเองอยู่เสมอว่าตราบใดที่เขาไม่ได้สัมผัสตัวนาง เขาก็จะไม่ใช้กำลังภายในที่สามารถเผากระดาษได้เผาตัวนาง และเขามีสิทธิ์จะพูดอะไรก็ได้
ประเด็นคือนางฟังแบบเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา
เมื่อเห็นท่าทางไม่แยแสของนาง หมี่โม่หรู่ก็อดไม่ได้ที่จะเดินเข้าไปหานางก่อนจะคว้าข้อมือของนางแล้วพูดอย่างเฉียบขาดว่า “มองขึ้นมา! ตั้งใจฟังให้ดี!”
ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้นด้วยร่างกายอันสั่นเทา หน้าผากของนางแตะคางของหมี่โม่หรู่
พวกเขาอยู่ใกล้กันมาก ห่างกันไม่ถึงข้อนิ้ว…
หัวใจของฉินปู้เข่อเต้นแรง
เขาช่างหล่อเหลาและรูปร่างของเขาก็งามสง่ายิ่ง หากเขาเป็นเพียงอ๋องธรรมดาจริง ๆ นางก็จะอยู่เคียงข้างเขาเพราะใบหน้าของเขาอย่างแน่นอน
อย่า อย่านะ อารมณ์ของผู้ชายคนนี้ไม่แน่นอน และการอยู่เคียงข้างเขานั้นจะอายุสั้นง่ายมาก
นางถอนหายใจเบา ๆ แล้วก้าวถอยหลังตามสัญชาตญาณเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างคนทั้งสอง
“เอ๊ะ!?” ฉินปู้เข่อประหลาดใจเมื่อพบว่าเอวของนางถูกเขาโอบเอาไว้และนางไม่มีทางหนีได้เลย
ถัดมา คางเล็ก ๆ ของนางก็ถูกบีบเพื่อบังคับให้เงยหน้าขึ้น แล้วริมฝีปากของนางก็สัมผัสกับความเย็นเยียบ
เพียะ!
เมื่อนางกลับมารู้สึกตัวอีกครั้ง นางก็ยกฝ่ามือขึ้นตบชายที่อยู่ตรงหน้าตามสัญชาตญาณ
เวรเอ๊ย! เกิดอะไรขึ้น!
ฉินปู้เข่อมองมือตัวเองและรอยนิ้วมือสีแดงที่ประทับลงบนใบหน้าของชายผู้นี้
เทพบุตรที่นางเฝ้ารอมาตลอดจุมพิตนาง แต่นางกลับตบหน้าเขาอย่างนั้นหรือ?!
ให้ตายเถอะ!
เมื่อเห็นสายตาจ้องเขม็งของชายตรงหน้าแล้ว ฉินปู้เข่อก็รู้สึกเย็นวาบที่ฝ่าเท้าและหนาวไปถึงสันหลัง
นางคิดว่าตนจะต้องถูกจับไปสับเป็นชิ้นมันฝรั่งทอดแน่