ตอนที่ 45 จุมพิตแรกอันน่ายำเกรง
“เจ้าเกลียดชังข้ามากเลยหรือ?”
หมี่โม่หรู่ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอะไรไป เดิมทีเขาต้องการจะสอนบทเรียนให้แก่นาง แต่บัดนี้เมื่อนางเงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตากลมโตเปล่งประกาย กลิ่นหอมอันเป็นเอกลักษณ์ก็ลอยเข้ามาในลมหายใจของเขา ทำให้เขาไม่อาจควบคุมตัวเองได้และริมฝีปากของเขาก็เผลอประกบริมฝีปากของนางไปแล้ว
แต่เขากลับถูกตบจริงหรือ?!
“ไม่เพคะ ท่านอ๋องโปรดฟังคำอธิบายของหม่อมฉัน…หม่อมฉันไม่ได้เจตนาจะตบท่าน…หม่อมฉัน…นั่นคือ นั่น…เป็นการตอบสนองต่อความเครียดตามสัญชาตญาณของร่างกายเพคะ…”
ใบหน้าของชายตรงหน้านางเริ่มบึ้งตึงมากขึ้นเรื่อย ๆ ฉินปู้เข่อกลืนน้ำลายหนึ่งอึกแล้วก้าวไปข้างหน้าก่อนจะเหยียดแขนโอบรอบคอของหมี่โม่หรู่ “หม่อมฉันชินแล้วเพคะ มาทำอีกครั้งเถิดเพคะ!”
เทพบุตรองค์นี้เป็นฝ่ายเริ่มก่อนเอง นางจึงทำได้เพียงจุมพิตตอบด้วยความยำเกรง
ตอนแรกหมี่โม่หรู่ตกตะลึง หลังจากฟื้นคืนสติแล้วเริ่มใช้ความคิด ลิ้นที่นุ่มนวลของเขาก็แหวกแนวป้องกันที่นุ่มนวลของหญิงสาวออกอย่างรวดเร็ว แล้วเขาก็จุมพิตนางอย่างดูดดื่มด้วยความต้องการจะลงโทษเล็กน้อย
“อืม…” ฉินปู้เข่อรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้จุมพิตกับใครบางคน
เดิมทีนางต้องการเพียงแค่แตะริมฝีปากเบา ๆ แต่เมื่อทำจริง เหตุใดตอนนี้จึงหายใจลำบากนัก?
เอวของนางถูกรัดแน่นขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย ชุดฤดูร้อนที่เนื้อผ้าบางถ่ายทอดอุณหภูมิร่างกายอันร้อนแรงของชายผู้นั้น หญิงสาวรู้สึกวิงเวียนจนแทบจะหายใจไม่ออก นางจึงพยายามผลักมือของบุรุษออกไปแต่ก็ถูกเขารั้งเอาไว้
ขณะที่ฉินปู้เข่อก้าวถอยหลัง หลังของนางก็กระแทกเข้ากับมุมโต๊ะ
ความเจ็บปวดจากความซุ่มซ่ามนี้ทำให้ฉินปู้เข่อได้สติ นางปล่อยมือแล้วผลักเขาออกไปทันทีก่อนจะลูบหน้าอกของตนพลางหายใจหอบ
หมี่โม่หรู่เดินเซไปสองสามก้าว เมื่อเขายืนมองนางได้อย่างมั่นคง ไฟในดวงตาของเขาก็ค่อย ๆ มอดดับลง
บรรยากาศเริ่มอึมครึมขึ้นมาทันที
ฉินปู้เข่อสัมผัสริมฝีปากที่บวมเบ่งและเริ่มเจ็บของตน พลันใดนั้นหัวใจของนางก็เต้นรัวราวกับเสียงกลองและหูของนางก็ร้อนฉ่า
“หม่อมฉันกำลังรีบเพคะ” ฉินปู้เข่อหลบหนีออกไปได้โดยอ้างว่าจะรีบไป ‘ปลดทุกข์’
หมี่โม่หรู่เม้มปากแล้วนั่งลงบนรถเข็น รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าอันหล่อเหลาของเขา
“เอ๊ะ ใบหน้าของเจ้าไปโดนอะไรมาหรือ?!” เมื่อเห็นฉินปู้เข่อก้มหน้าวิ่งออกไปอย่างรวดเร็ว หมี่ฉงก็เดินเข้ามาจากด้านนอก “ดูเหมือนว่าเจ้าจะถูกตบหน้า”
ทว่าเหตุใดสีหน้าของอ๋องเจ็ดถึงดูเหมือนไม่ได้ถูกตบ?! ดูราวกับว่าเขาจะพึงพอใจกับมัน
“อืม~” หมี่โม่หรู่ยกมือแตะใบหน้าของตนแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย สตรีผู้นี้ทำได้จริง ๆ!
หากไม่ใช่เพราะนางแก้ตัวแล้วกลับมาจุมพิตเขา เขาจะทำให้นางไม่ได้เห็นดวงตะวันในวันพรุ่งนี้อีก!
“มันเป็นรอยแมวข่วน” เขาก้มหน้าลงแล้วเลียริมฝีปากที่ยังคงชื้นอยู่เล็กน้อยและยังคงมีกลิ่นของแมวตัวนั้นอยู่
ณ สวนเฉินอวี้
ฉินปู้เข่อไม่สามารถนอนนิ่งบนเตียงได้
ความรู้สึกเช่นนี้แปลกประหลาดนัก นางต้องการทิ้งเรื่องของหมี่โม่หรู่ไว้ข้างหลังก่อน แต่เมื่อนางหลับตาลง ชายผู้นั้นก็ปรากฏขึ้นในใจของนาง
แม้แต่ตอนที่นางกำลังฝัน นางก็กำลังจุมพิตกับหมี่โม่หรู่
เอ๊ะ…ทางเดียวที่จะขจัดความทุกข์อันหนักหนานี้ได้ก็คือการกิน
นางแต่งตัวแล้วนั่งที่โต๊ะด้วยความขมขื่น
โปรตีนจากเนื้อสัตว์และผักเป็นอาหารหลักของนางในช่วงนี้
“พระชายา แม่นางเฉิงและแม่นางฮวาเดินผ่านมาเพคะ” ซวงหวนเข้ามาหยิบจานเปล่ากองหนึ่งแล้วรายงาน
“ข้ากำลังกินอยู่ ไม่เห็นหรือ”
ฉินปู้เข่อกัดอกไก่ด้วยความเกลียดชังพลางคิดว่ามันเป็นตัวแทนของหมี่โม่หรู่แล้วเคี้ยวมันอย่างแรง
“พระชายาเพคะ…”
“อะไรอีก! อย่ารบกวนคนกำลังกิน!” อกไก่ที่กินไปแล้วครึ่งหนึ่งลอยออกไป ซวงหวนรีบหลบอย่างรวดเร็ว
จากนั้นอกไก่ชิ้นนี้ก็ลอยไปกระทบหมี่ฉงเข้าเต็ม ๆ
“พระชายา อ๋องคังชินเสด็จแล้วเพคะ”
หมี่ฉงก้าวผ่านประตูเข้ามาก่อนจะมองไปยังจานเปล่าบนโต๊ะแล้วชะงักไปชั่วครู่ “น้องสะใภ้มีความอยากอาหารที่ดี”
“เหตุใดพี่ชายสามจึงมาที่นี่ มานั่งจิบชายามบ่ายด้วยกันเถิด เชิญเลยเพคะ” ฉินปู้เข่อยังคงโบกมือพลางเตะเก้าอี้ที่อยู่ใต้เท้าของนางไปให้หมี่ฉงเพื่อส่งสัญญาณให้เขานั่งลง
หมี่ฉงมองไปหญิงสาวที่ปากมันเยิ้มด้วยท่าทางที่ซับซ้อนพลางสูดหายใจยาวลึก ฉินปู้เข่อกำลังหมกมุ่นอยู่กับการกิน นางจึงถือชิ้นเนื้อด้วยมือทั้งสองข้าง
อืม เขาแน่ใจว่าตนไม่ได้ชอบหญิงตะกละผู้นี้ที่อยู่ตรงหน้าของเขาอย่างแน่นอน ความรู้สึกหวั่นไหวในวันนั้นเป็นเพียงภาพลวงตาชั่วคราว
“วันมะรืนนี้จะเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วง นี่คือคำเชิญไปงานเลี้ยงฉลองฤดูใบไม้ร่วงในพระราชวัง” หมี่ฉงหยิบบัตรเชิญสีแดงที่ปิดทองออกจากอ้อมแขนของเขา
“ว่าอย่างไรนะ?! พวกท่านมีงานเลี้ยงฉลองต้นฤดูใบไม้ร่วงที่นี่ด้วย” ฉินปู้เข่อเช็ดมือที่มันเยิ้มบนผ้าเช็ดหน้าไหมแล้วมองไปยังบัตรเชิญ “เหตุใดบนบัตรเชิญนี้ถึงมีเพียงแค่ชื่อของหม่อมฉันเท่านั้น?! แล้วท่านอ๋องเล่าเพคะ”
สถานะปัจจุบันของนางคือพระชายาหลี่ชิน การได้เข้าร่วมงานเลี้ยงในวังเป็นสิ่งเข้าใจได้ แต่เหตุใดนางจึงได้รับบัตรเชิญด้วยตัวเอง
“บัตรเชิญของท่านอ๋องถูกส่งไปแล้ว มีคนขอให้ข้าส่งบัตรเชิญมาให้พระชายาหลี่ชินด้วยตัวเอง”
หมี่ฉงเหลือบมองฉินปู้เข่อ แต่เมื่อเห็นว่านางโยนบัตรเชิญทิ้งไปจึงพูดว่า “เจ้าต้องไปเข้าร่วม”
ครั้งสุดท้ายที่นางเข้าไปในพระราชวัง นางเกือบถูกวางยาพิษด้วยสุราพิษหนึ่งแก้ว ดังนั้นสัญชาตญาณของฉินปู้เข่อจึงไม่ชอบสถานที่อย่างพระราชวัง
“อืม นี่คืองานเลี้ยงในพระราชวังและทุกคนที่ได้รับคำเชิญจะต้องเข้าร่วม”
“เอาละ ไปงานเลี้ยงในพระราชวังกันเถิด น่าจะมีของอร่อยเยอะพอ ๆ กับที่เคยกินครั้งก่อน”
ฉินปู้เข่อมองดูจานเปล่าบนโต๊ะแล้วยืนขึ้นยืดตัว หลังจากกินเข้าไปเยอะมาก นางก็รู้สึกดีขึ้นและไม่เผลอนึกถึงหมี่โม่หรู่อีกต่อไป
“เจ้า…ไม่อยากรู้หรือว่าใครเป็นคนส่งคำเชิญให้เจ้า?”
…………………………………………………………………………