บทที่ 77 พระชายาของเจ้ามองการณ์ไกล
เมื่อสักครู่นี้ชายผู้นี้แกะเมล็ดแตงโมให้นางเงียบ ๆ และบัดนี้เขาก็กำลังจะนวดขมับให้นางอีก เขากำลังจะทำอะไรกันแน่?
“ไม่ใช่” หมี่โม่หรู่กดนางลงบนเก้าอี้แล้วเริ่มนวดให้นางอย่างจริงจัง
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็กระซิบที่ข้างหูนางว่า “ความรุนแรงประเภทนี้ดีแล้วหรือ?”
กร๊อบ
มีเสียงปะทุดังขึ้นในหูของนาง ฉินปู้เข่อตัวแข็งทื่อทันทีและหูของนางก็ร้อนฉ่าโดยไม่รู้ตัว “เพคะ”
“พระชายายังคงคิดว่าจะช่วยชีวิตนาง ไม่ว่าวิธีใดก็ตามที่เจ้าคิด ข้าก็จะทำมัน”
“ฮ่า ฮ่า หม่อมฉันคิดว่าคืนนี้ก็คงจะยังคิดไม่ออก” ฉินปู้เข่ออดไม่ได้ทีจะกระตุกยิ้มมุมปากและเผยรอยยิ้มแห้ง
ดังคำกล่าวที่ว่า จะตีหมาก็ต้องดูเจ้าของ
บัดนี้เจ้าของได้เริ่มนวดแล้ว และหากนางต้องการจะลงโทษผู้อื่นนางก็จะรู้สึกผิดเล็กน้อยเพราะ ‘ยากที่จะปฏิเสธคนที่ทำบางสิ่งให้’
หมี่โม่หรู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “ไม่เป็นไร วันนี้เจ้ายังคิดไม่ออกก็ค่อยคิดพรุ่งนี้ อู๋เหิน ตัดเส้นเอ็นของนางก่อนแล้วค่อยโยนนางเข้าไปในคุกใต้ดิน”
มือของฉินปู้เข่อที่กำลังถือเมล็ดแตงโมอยู่สั่นสะท้าน เขาไม่ได้จะอ้อนวอนจริง ๆ
“ท่านอ๋อง!” อู๋เยว่คร่ำครวญอย่างเศร้าสร้อย
ก่อนที่หมี่โม่หรู่จะเอ่ยคำใด หมี่ฉงก็ก้าวเข้าไปบีบคางของนางทำให้นางไม่อาจพูดได้
จากนั้นอู๋เหินก็ก้าวเข้าไปตัดเส้นเอ็นของอู๋เยว่อย่างรวดเร็วและลากนางออกไป
เลือดไหลออกจากข้อมือและข้อเท้าของนางอย่างต่อเนื่อง แต่คราวนี้นางไม่มี ‘โซดาห้ามเลือดฉุกเฉิน’ ช่วยให้เลือดของนางหยุดไหล
เมื่ออู๋เยว่ถูกลากออกไปจากสวนเฉินอวี้แล้ว ซวงหวนก็กลับไปเตรียมการพักผ่อน
หมี่ฉงแทบรอไม่ไหวที่จะวิ่งไปหาฉินปู้เข่อแล้วพูดอย่างกังวลว่า “น้องสะใภ้รีบบอกข้ามาว่าเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าคืนนี้อู๋อวิ๋นและอู๋เยว่มีภารกิจ”
เพื่อทำภารกิจนี้ หมี่ฉงจึงรีบวิ่งไปรับผู้บาดเจ็บสองคนทันทีหลังจากรู้ว่าภารกิจล้มเหลว จู่ ๆ อู๋อวิ๋นและอู๋เยว่ก็ปีนข้ามกำแพงเข้ามา แล้วซวงหวนที่กำลังเฝ้าตอรอกระต่าย*อยู่ก็ทุบแล้วลากพวกนางเข้าไปในโรงเก็บฟืน
จากนั้นเขาก็เห็นฉินปู้เข่อออกมาจากห้องนั่งเล่น และก่อนที่เขาจะมีเวลาไปปลดกุญแจโรงเก็บฟืน เจ้าหน้าที่และทหารนอกประตูก็ล้อมพื้นที่ตำหนักทั้งหมดและสวนเฉินอวี้ด้วย
“พูดถึงเรื่องนี้…” ฉินปู้เข่อหันไปมองหมี่โม่หรู่ “หม่อมฉันก็มีคำถามจะถามท่านเช่นกันเพคะ ท่านอ๋องหลี่ชิน”
*เฝ้าตอรอกระต่าย หมายถึง การอยากได้ผลประโยชน์มาโดยไม่นึกไม่ฝัน โดยไม่ต้องอาศัยความพยายามของตนเอง
“อะไรนะ” หมี่โม่หรู่หัวเราะเบา ๆ แล้วนั่งลงแกะเปลือกเมล็ดแตงโมให้นางต่อ
“ท่านฝึกทหารอย่างไร อู๋อวิ๋นจึงสามารถอาศัยอยู่บนต้นไม้ได้โดยไม่ต้องกิน ดื่ม หรือนอนได้ทั้งวัน”
ในช่วงสามวันที่นางพูดไม่ได้ ฉินปู้เข่อจึงทำได้เพียงเพลิดเพลินอยู่ในสวนเฉินอวี้ เมื่อนางรู้สึกเบื่อ นางก็นึกถึงสิ่งที่หมี่โม่หรู่พูดในคืนนั้นได้ว่า อู๋อวิ๋นหมอบอยู่บนต้นไม้โค้งเพื่อคอยติดตามความเคลื่อนไหวรอบตำหนักตลอดทั้งวัน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็น นางจึงนั่งดูอู๋อวิ๋นที่หมอบอยู่บนต้นไม้ตั้งแต่เช้าตรู่ทุกวัน
หลังจากดูมาเป็นเวลาสามวันติด อู๋อวิ๋นก็ยังคงหมอบนิ่งอยู่ในใบไม้ที่หนาทึบราวกับหุ่นจำลอง
ฉินปู้เข่อเคยสงสัยว่าหมี่โม่หรู่อาจจะสกัดจุดนางไว้ก็ได้
จนกระทั่งเย็นวันนี้เมื่อนางพบว่านางพูดได้แล้ว นางก็เห็นอู๋อวิ๋นขยับตัวเล็กน้อยแล้วทะยานหนีไป
สัมผัสที่หกที่มีมนต์ขลังของหญิงสาวกระตุ้นให้นางมองดูใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นอื่น ๆ ในสนาม และแน่นอนว่าไม่มีคนอยู่บนต้นไม้ที่อู๋อวิ๋นเคยหมอบอยู่
หลังจากไตร่ตรองดูแล้วนางก็รู้สึกว่าจะต้องมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นในตำหนักคืนนี้ และอาจจะมีการนองเลือดเกิดขึ้น
สำหรับพยาน นางจึงขอให้ซวงหวนไปเรียกจานหานชิวมา
“มองการณ์ไกลเช่นนี้ช่างเก่งกาจนัก” หมี่ฉงอดไม่ได้ที่จะยกนิ้วให้
รอยยิ้มที่มุมปากของหมี่โม่หรู่พลันกว้างขึ้นเล็กน้อยเช่นกัน และเมื่อมองใกล้ ๆ ก็จะพบว่าดวงตาของเขาเป็นประกาย
“นี่ ใครไม่เคยดูละครโทรทัศน์บ้าง หม่อมฉันดูซีรีส์เรื่อง ‘พระราชวัง’ ที่มีเก้าองค์ชายชิงบัลลังก์กันมาหลายรอบแล้ว” ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้นด้วยท่าทีเคร่งขรึมแล้วพูดว่า “ไม่รู้เสียแล้วว่าข้าผู้นี้เป็นใคร” นางพูดเสียงแหลม
“ละ ละครโทรทัศน์อะไร?”
“โอ้ มันคือเรื่องเล่าจากหนังสือภาพน่ะเพคะ” ฉินปู้เข่อเปลี่ยนคำพูดอย่างใจเต้นแรง
หมี่ฉงกลอกตามองหมี่โม่หรู่แล้วถามฉินปู้เข่ออีกว่า “ข้าต้องการรู้ด้วยว่าเหตุใดอู๋อวิ๋นและคนอื่น ๆ ถึงไม่ได้รับบาดเจ็บ และเจ้าผ่านการตรวจสอบบาดแผลได้อย่างไร”
………………………………………………………………………..