ผู้ตรวจตราภายในกล่าวด้วยความเศร้าโศกว่า “ไม่รู้ว่าสองสามวันมานี้เกิดอะไรกับองค์หญิงเก้าพ่ะย่ะค่ะ ดูเหมือนท่านจะได้รับโรคติดต่อ พระสนมถึงกับต้องปิดตายตำหนักเหลียนหลีเอาไว้พ่ะย่ะค่ะ”
“โรคติดต่อ?” ความคิดแรกที่ผุดขึ้นในหัวของฉินปู้เข่อคือหมี่จิ่งหานทำกลอุบายอะไรอีก
ยกตัวอย่างเช่น นางจงใจมองหาชุดน้ำชาและเสื้อผ้าของผู้ป่วย เพื่อเอามาให้หมี่เสวี่ยหลีที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวใช้สิ่งของพวกนั้น จนก่อให้เกิดโรคติดต่อ ถ้าอย่างนั้นนางจะปล่อยให้ละครในวังดำเนินการต่อไปก็แล้วกัน
เมื่อพิจารณาจากความเฉยเมยของหมี่จิ่งหานหลังจากลอบวางเพลิงผู้คน นางก็ช่างมีความคิดโหดเหี้ยมและกล้าได้กล้าเสียยิ่งนัก
“ใช่แล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมได้ยินมาจากแม่หมอหญิงในตำหนักเหลียนหลีว่าผิวหนังขององค์หญิงเก้ากำลังเน่าเปื่อยพ่ะย่ะค่ะ นางกรีดร้องและเกาผิวทั้งวัน เฮ้อ น่าสงสารนักพ่ะย่ะค่ะ” เสียงถอนหายใจของผู้ตรวจตราภายในฟังดูน่าสลด “หมอหญิงลองรักษามาหลายวิธีทางแล้ว แต่ก็ยังไม่หาย”
ฉินปู้เข่อส่งผู้ตรวจตราชั้นในออกไป ก่อนจะเดินเอ้อระเหยกลับไปที่สวนเฉินอวี้ด้วยความคลางแคลงใจว่าโรคติดต่อของหมี่เสวี่ยหลีเกิดขึ้นอย่างกะทันหันเกินไป
โดยทั่วไป โรคติดต่อที่เกิดขึ้นในวังส่วนใหญ่จะเริ่มต้นจากบุคคลระดับล่าง อาทิ นางกำนัลผู้ต้อยต่ำ ขันที เป็นต้น คนเหล่านั้นต้องทำการติดต่อและสัมผัสกันทุกวัน และพวกเขามักจะเผลอไปสัมผัสเข้ากับสิ่งสกปรกโดยไม่รู้ตัว
หมี่เสวี่ยหลีจะได้รับเชื้อเพียงคนเดียวได้อย่างไร หรือหมี่จิ่งหานจะเป็นผู้อยู่เบื้องหลังจริง ๆ?
นางชื่นชอบหมี่เสวี่ยหลีเป็นอย่างยิ่ง สาวน้อยผู้นี้ช่างเฉลียวฉลาดและจิตใจงดงามนัก ทำให้ผู้คนทั้งหลายรู้สึกสบายใจเมื่อเชยชม
วันรุ่งขึ้น ฉินปู้เข่อที่รู้สึกวิตกกังวลและต้องการเข้าไปพบนางในวัง หมี่โม่หรู่รู้ดีว่านางกับหมี่เสวี่ยหลีมีมิตรภาพอันดีงานต่อกัน ครั้นเมื่ออยู่ที่ตำหนักเหลียนหลี เขาจึงไม่ได้ห้ามปรามอะไร
หลังจากเข้าไปในวังแล้ว ฉินปู้เข่อก็ไม่สามารถเข้าไปในตำหนักเหลียนหลีได้โดยตรง
บริเวณทางเข้าพระตำหนัก ผู้ตรวจตราหลายนายที่สวมเครื่องแบบสีเทาหม่นและพันผ้าธรรมดากำลังยืนเฝ้าอยู่หน้าทางเข้า
เมื่อมองจากประตูเข้าไป เหล่านางกำนัลในวังล้วนได้รับชุดเครื่องแบบเช่นกัน และสวมใส่เสื้อผ้าสีเทาหม่นเป็นชุดเครื่องแบบป้องกันตัว โดยมีผ้ายาวสีขาวปิดจมูกและปาก
แต่สิ่งที่น่าประหลาดใจนอกจากผู้ตรวจตราชั้นในที่เฝ้าประตูอยู่และนางกำนัลชั้นในที่ยังคงดูวุ่นวายและมีระเบียบแล้ว
ก็คืออุปกรณ์น่ากลัวเหล่านั้นที่ติดอยู่บนร่างกายของพวกเขา ทั้งนี้พวกเขาไม่ได้แสดงความวิตกกังวลหรือกลัวการติดเชื้อเลยสักนิด
“พระชายาหรือเพคะ”
ขณะที่ฉินปู้เข่อกำลังเดินไปมาอยู่ที่หน้าปากประตูทางเข้า นางกำนัลในตำหนักที่เดินผ่านก็เข้ามาทักทาย
“ใช่” ฉินปู้เข่อเดินไปอยู่ข้างธรณีประตู “ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงเก้ากำลังป่วยหนัก จึงแวะมาเยี่ยม ไม่คิดว่าจะได้เห็นที่เกิดเหตุเช่นนี้…”
“พระชายา รอประเดี๋ยวนะเพคะ” นางกำนัลในวังกล่าวทักทายฉินปู้เข่อ ก่อนจะหันหลังกลับ หลังจากนั้นไม่นานนางกำนัลก็กลับมาพร้อมกับชุดสีเทาหม่นทั้งสองชุดในมือ
ฉินปู้เข่อและซวงหวนสวมชุดสีเทาทับอยู่บริเวณหน้าประตู ก่อนจะใช้ผ้าสีขาวปิดจมูกและปาก และเดินตามนางกำนัลเข้าไปในวัง
ผู้ตรวจตราภายในที่ยืนอารักขาอยู่ด้านหลังมองหน้ากันและกันด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมาย
ตั้งแต่ตำหนักเหลียนหลีถูกปิด แม้แต่พระสนมชูกุ้ยเฟยผู้เป็นมารดาโดยกำเนิดขององค์หญิงเก้าก็ยังมาสอบถามถึงหน้าประตูทุกวัน ไม่น่าเชื่อว่าพระชายาจะหวาดกลัวความตายเช่นกัน
“ข้าน้อยชื่อจื่อซู เป็นนางกำนัลขององค์หญิงเก้าที่เคยพบพระชายามาก่อนเพคะ องค์หญิงบอกให้ข้าน้อยกำชับเมื่อพระชายาเสด็จมาถึง” นางกำนัลในวังแนะนำตนเองระหว่างทาง
ฉินปู้เข่อเอียงศีรษะและเหลือบมองนางที่ทำตัวเหมือนคุ้นเคย “เลือนรางยิ่งนัก หากองค์หญิงเก้ายืนอยู่กับนางกำนัลผู้นี้ ข้าก็ไม่อาจจำได้”
จื่อซูหัวเราะเล็กน้อย “ใครว่าจำไม่ได้เล่าเพคะ แต่องค์หญิงเคยกล่าวเอาไว้ว่ามีเพียงคนในวังเท่านั้นที่จะแต่งตัวจริงจังเช่นนี้ เพื่อให้คนนอกวังเชื่อถือพวกเรา”
แน่นอนว่าฉินปู้เข่อถอนหายใจอย่างโล่งอก ก่อนจะเดินตามจื่อซูเข้าไปในห้อง
ภายในห้อง หมี่เสวี่ยหลีกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ริมหน้าต่าง โดยผูกถุงเงินของนางเอาไว้ เมื่อเห็นว่าพระชายาเดินเข้ามา นางจึงรีบเก็บเครื่องเย็บปักถักร้อยในมือและลุกขึ้นเพื่อกล่าวทักทาย “พี่สะใภ้เจ็ด”
ฉินปู้เข่อขมวดคิ้ว ยกมือขึ้นและพยักหน้า “เจ้าตัวเล็กหัดโกหก เจ้าเป็นคนพูดปดได้แย่ยิ่งนัก ไม่มีอะไรจริงหรือ?”
หมี่เสวี่ยหลีสั่งนางกำนัลทั้งหลายให้ออกจากห้องไป รวมถึงจื่อซูก็ถูกนางไล่ออกไปเช่นกัน “หม่อมฉันไม่เป็นอะไรเพคะ แค่กินบ๊วยเค็มที่พี่สะใภ้เจ็ดมอบให้หม่อมฉันเท่านั้นเพคะ”
“เจ้าควรนำสิ่งนั้นให้ผู้อื่นมิใช่หรือ เหตุใดจึงกินมันเสียเองเล่า?”
หมี่เสวี่ยหลีมองดูเครื่องเย็บปักถักร้อยที่อยู่ตรงหน้า ก่อนจะกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาหลังจากเงียบไปนาน “หม่อมฉันแค่คิดว่าถ้าตัวเองใช้ของสิ่งนั้นกับนาง นางคงจะตื่นตระหนกและรีบไปหาหมอ ถ้าเกิดนางดื่มยาหม้อต้มมั่วซั่ว มันจะไม่ดีต่อร่างกายของนาง”
ฉินปู้เข่อแทบจะสำลักกับความเมตตาขององค์หญิงหมี่เสวี่ยหลี หากเป็นเช่นนี้ หญิงสาวใสซื่อบริสุทธิ์ที่มีจิตใจงดงามคงไม่สามารถเอาชีวิตรอดจากบทละครต่อสู้ในวังแห่งนี้ได้อย่างแน่นอน
“วันนั้นแดดออก หม่อมฉันจึงอยากออกไปเดินเล่นที่สวนหลวงเพคะ มันก็ผ่านมานานแล้วและท่านพี่แปดก็กำลังจะจากไป บางทีการลอบวางเพลิงในครั้งนั้นอาจจะไม่ได้ตั้งใจทำร้ายหม่อมฉันหรอกเพคะ เพราะหม่อมฉันรู้ว่าท่านพี่รู้สึกไม่สบายใจขนาดไหน หม่อมฉันไม่รู้จะทำอย่างไร จึงหยิบบ๊วยเค็มขึ้นมากิน จากนั้นผื่นก็ขึ้นทั้งหน้าและมือของหม่อมฉัน จนทำให้นางหวาดกลัวไปเลยเพคะ”
หมี่เสวี่ยหลีค่อย ๆ พูดออกมาราวกับเล่าเรื่องตลก นางหัวเราะเล็กน้อยและเล่าต่อ “หลังจากนั้นตำหนักเหลียนหลีก็ป่าวประกาศว่าหม่อมฉันได้รับโรคติดต่อ และหม่อมฉันได้ยินมาว่าท่านพี่แปดใช้เวลาชำระร่างกายอยู่ในห้องสรงทั้งวันเลยล่ะเพคะ แทบจะขัดล้างผิวของนางออกด้วยซ้ำ”
“มันก็ไม่ใช่เรื่องที่เลวร้ายมากนัก บางที ‘โรคติดต่อ’ ของหม่อมฉันอาจจะหายขาดได้ในอนาคต และตอนนี้นางคงไม่กล้าเข้ามาหาหม่อมฉันอีกสักพักหนึ่ง”
ฉินปู้เข่อลูบศีรษะของหมี่เสวี่ยหลีและกล่าวด้วยความทุกข์ใจ “เจ้าเป็นคนจิตใจดียิ่งนัก ถึงกับยอมทำร้ายตัวเองแทนผู้อื่น”
หมี่เสวี่ยหลีเม้มปากและยกยิ้ม “หม่อมฉันแค่คิดว่าพวกเราเป็นพี่น้องกันเพคะ บางอย่างละเว้นได้ก็ละเว้น”
ฉินปู้เข่อถึงกับรู้สึกละอายใจเล็กน้อยเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าหญิงสาวผู้มีจิตใจเมตตาอย่างหมี่เสวี่ยหลี อย่างน้อย นางก็เป็นหงส์ขาวในหมู่กา พยายามไม่ยุ่งเกี่ยวกับผู้อื่น แต่มันกลับเป็นไปไม่ได้เลยที่นางจะตอบโต้ทุกอย่างด้วยคุณธรรมอันดีงาม
สำหรับผู้คนที่จงใจทำร้ายนาง มันคงเป็นความเมตตาจากนางที่นางไม่สามารถเตะเสยคู่ต่อสู้จนตายหรือเหยียบซ้ำถึงสองสามก้าวได้
โชคดีที่ไม่มีผลข้างเคียงจากการใช้บ๊วยเค็มเป็นเวลานาน เพราะคนส่วนใหญ่มักจะได้รับผลข้างเคียงหลังจากกินมันเข้าไปแล้ว นั่นคือไม่สามารถมองเห็นแสงแดดได้
เมื่อนั่งพักอยู่ครู่หนึ่ง หมี่เสวี่ยหลีก็สั่งให้จื่อซูออกไปเอาสมุดเล่มเล็กออกมา
“พี่สะใภ้เจ็ด หม่อมฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าท่านกำลังจะไปวังน้ำพุร้อนเป็นครั้งแรก หม่อมฉันมีบัญชีรายชื่อด้วยนะเพคะ และเอาไว้ตรวจสอบสิ่งของที่จะนำติดตัวไปที่นั่นด้วย ท่านแค่เติมช่องว่างที่อยู่ด้านบน จะได้ไม่ลืมเอาสิ่งของและตื่นตระหนกจนทำอะไรไม่ถูกเพคะ”
ฉินปู้เข่อเหลือบมอง และรับสมุดเล่มมา ก่อนจะลุกขึ้นและเดินออกไป
อีกสองเดือนข้างหน้าคงจะไม่มีผู้ใดอยู่ในวังแห่งนี้ และมันค่อนข้างจะปลอดภัยสำหรับหมี่เสวี่ยหลีที่อยู่ที่นี่คนเดียว อย่างน้อยมันก็ย่อมดีกว่าจะต้องมาคอยระแวงหมี่จิ่งหาน
หลังจากออกมาจากตำหนักเหลียนหลีได้เพียงสองก้าว นางกำนัลที่ดูคุ้นเคยก็เดินผ่านนางไป
ฉินปู้เข่อลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะหยุดและนางกำนัลคนนั้น “ท่านอาฝูหลิง”
ฝูหลิงหยุดการเคลื่อนไหวและหันมามองนางที่อยู่ด้านข้างด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะย่อเข่าคำนับและยกยิ้ม “ถวายบังคมพระชายาเพคะ เหตุใดวันนี้พระชายาจึงเสด็จมาที่นี่เพคะ”
“ข้าได้ยินมาว่าองค์หญิงเก้ากำลังป่วยนัก จึงแวะมาเยี่ยมหน้าประเดี๋ยวน่ะเพคะ พอได้เห็นท่านอาฝูหลิง ก็นึกขึ้นได้ว่าข้าไม่ได้เข้าเฝ้าเสด็จแม่นานแล้ว” รอยยิ้มอันแสนอบอุ่นปรากฏขึ้นบนใบหน้าของฉินปู้เข่อ ขณะก้าวเข้าใกล้ฝูหลิงมากขึ้น
“ถ้าอย่างนั้นไปที่นั่นด้วยกันเลยสิเพคะ” ฝูหลิงนำหน้าออกครึ่งก้าว
เมื่อลมหนาวพัดผ่านมา ฝูหลิงก็รีบหยุดอยู่ตรงหน้าของฉินปู้เข่อทันที
การปฏิบัติที่แสนพิเศษ…
ฉินปู้เข่อก้มศีรษะและหลับตาลง “ขอบคุณท่านอาฝูหลิงเพคะ”