เป็นวันที่สองที่ฉินปู้เข่อตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล โดยไม่มีอะไรอยู่เคียงข้างกาย
นางนอนอยู่บนเตียงด้วยอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น ขณะที่ยกมือขึ้นมาเกาแก้ม “อืม ที่กล้าโกรธเคืองกันข้ามวันข้ามคืน ไม่ใช่เพราะจะเปรียบเทียบความแข็งแกร่งหรอกหรือ แล้วมารอดูกันว่าใครจะชนะ!”
และนั่นคือสิ่งที่นางกล่าวขึ้น แม้ว่าจิตใจจะยังรู้สึกหดหู่ถึงขีดสุด ฉินปู้เข่อก็อดไม่ได้ที่จะยกส้นเท้าขึ้นมากระแทกเข้ากับเตียงนอนเพื่อระบายอารมณ์อย่างเมามัน
นางยังคงไม่หยุดนิ่งจนกระทั่งได้ยินเสียงท้องร้องดังออกมา
ฉินปู้เข่อจะพยายามใช้ชีวิตในอีกสาม สี่ ห้าวันข้างหน้าให้ได้อย่างเต็มที่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ ระหว่างวันนางได้จัดเตรียมสิ่งของที่จะนำเอาไปวังน้ำพุร้อนตามสมุดที่หมี่เสวี่ยหลีได้ให้ไว้
นางไม่ต้องการให้ใครมาช่วยนาง ดังนั้นนางจึงจัดเตรียมทุกอย่างเพียงลำพัง พยายามทำตัวเองให้ยุ่งอยู่เสมอ และไม่เว้นช่องว่างให้ตัวเองแม้แต่เสี้ยววินาทีเดียว
พอตกดึก นางก็เริ่มปรับกิจวัตรประจำวันของตนเอง โดยการเข้านอนเร็วขึ้น หากไม่ผล็อยหลับไปทันที นางก็จะนอนนับแกะทีละตัวอยู่บนเตียง
โดยสรุปได้ว่านางจะไม่ปล่อยให้ตนเองเป็นคนหน้าซื่อใจคด ไม่ปล่อยเวลาให้ไปนึกถึงหมี่โม่หรู่
นอกหน้าต่างมืดมิด เสียงกลองดังก้องลอยละล่องมาจากถนน
ฉินปู้เข่อลืมตาขึ้นมา และถอนหายใจ “แกะตัวที่สามพันแปดร้อยสี่สิบห้า แกะตัวที่สามพันเก้าร้อยห้าสิบห้า โอ้ นับผิดนี่น่า เอาใหม่ แกะตัวที่หนึ่ง แกะตัวที่สอง…”
มันช่างน่าเสียดายที่นางไม่ได้มีความสัมพันธ์อันดีงามในชาติที่แล้ว ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ต้องมากลุ้มใจเช่นนี้ทั้งวัน ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ ฉินปู้เข่อคลุมศีรษะและสำนึกผิดกับตนเอง
น่าอารมณ์เสียชะมัด กลางวันก็ยุ่งมาก แต่พอตกกลางคืนก็นอนไม่หลับ คนริเริ่มกลับทำตัวเหมือนคนอื่นเข้าไปทุกวัน ทั้งที่เกี่ยวกับของตัวเขาแท้ ๆ แต่เหตุใดนางถึงเป็นกังวลอยู่เพียงฝ่ายเดียว
“ไม่ ข้าไม่นับแล้ว หมี่โม่หรู่เจ้าบ้า ไอ้เจ้าลูกหมา ไอ้คนไม่ดี!”
น้ำเสียงของฉินปู้เข่อแผ่วเบาลง ราวกับว่านางกำลังผล็อยหลับไป
บรรยากาศในห้องเงียบสนิท และไม่รู้ว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหนก่อนที่ม่านผืนหนาจะถูกเปิดอีกครั้ง หมี่โม่หรู่ยื่นมือออกไปหาอีกคนเหมือนเช่นเคย และจากนั้นก็ดึงผ้าห่มที่ถูกเตะออกขึ้นมาห่อหุ้มร่างกายของฉินปู้เข่อเอาไว้
“อ๊ะ หม่อมฉันจับท่านได้แล้วเพคะ” ทันใดนั้นฉินปู้เข่อก็ลืมตาขึ้น ขณะที่รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ปรากฏขึ้นอยู่ริมฝีปาก
“อืม เจ้ารู้แล้วหรือ” ดวงตาของหมี่โม่หรู่สว่างไสวขึ้นในความมืด ทว่ากลับไร้ร่องรอยของความตื่นตระหนก ราวกับว่าเขากำลังรอให้ฉินปู้เข่อจับตัวเขาได้
น้ำเสียงของเขายังคงอ่อนโยนเหมือนเดิม แต่กลับสัมผัสได้ถึงร่องรอยแห่งความโศกเศร้าและโดดเดี่ยว
ฉินปู้เข่อรู้สึกถึงความผิดปกติและขมวดคิ้วเล็กน้อย “เกิดอะไรขึ้นกับท่านหรือเพคะ”
หมี่โม่หรู่นอนลงเคียงข้างนางท่ามกลางความมืดมิด ก่อนจะหันไปมองฉินปู้เข่อ “เจ้ารู้ตั้งแต่เมื่อไร”
“ตั้งแต่วันแรกแล้วเพคะ ตอนที่ท่านขยับตัวของหม่อมฉัน หม่อมฉันรู้สึกได้ถึงสัมผัสบางอย่าง แต่ตอนนั้นหม่อมฉันรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าจะลืมตาขึ้น หลังจากนั้นหม่อมฉันจึงจงใจนอนกลิ้งไปมา รอคอยจนถึงเช้าว่าจะมีผู้ใดเข้ามาดูแลหม่อมฉันหรือไม่” ฉินปู้เข่อตอบตามความเป็นจริงและยื่นผ้าห่มให้หมี่โม่หรู่
หมี่โม่หรู่ตกตะลึงไปชั่วขณะ และยิ้มออกมาอย่างอ่อนโยน “ดูเหมือนว่าตอนนี้สมาธิของเจ้าจะดีกว่าข้าเสียแล้ว”
ทั้งสองเงียบลงอีกครั้งหลังจากผ่านการพูดคุยมาสักพัก ฉินปู้เข่อก็ไม่ต้องการเสาะหาเหตุผลว่าเหตุใดวันนั้นเขาถึงอารมณ์เสียใส่นางอย่างไร้เหตุผล
นางเอื้อมมือออกไปหามือของเขาที่อยู่ด้านข้าง ก่อนจะจับมือข้างนั้นไว้ในฝ่ามือของนาง
มือของหมี่โม่หรู่เย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็ง
“ท่านอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้วเพคะ”
“อืม ตั้งแต่ที่เจ้าเริ่มนับแกะตัวที่สองพัน” หมี่โม่หรู่หลับตาลง ราวกับเขาเหนื่อยล้าเต็มที
“ถ้าอย่างนั้น…” เอ่อ เขาคงอดทนเก่งน่าดู ทั้งที่ได้ยินคำด่าทอว่า ‘ลูกหมา’ แต่กลับไม่ยอมโผล่ออกมาในตอนนั้น
“ใช่ ข้าได้ยินหมดแล้ว” หมี่โม่หรู่ดึงมือออกจากฝ่ามือของอีกคน ก่อนที่แขนยาวของเขาจะเหยียดออกมาเล็กน้อย และดึงฉินปู้เข่อเข้าไปในอ้อมกอดของเขาแทน “ไม่ต้องพูดแล้ว ให้ข้ากอดเจ้าสักพักเถิด”
‘ตึกตัก’ ‘ตึกตัก’
จังหวะการเต้นของหัวใจอันทรงพลังของชายผู้นี้ทะลุผ่านเสื้อออกมา ขณะที่ฉินปู้เข่อมองเขาผ่านความมืดมิดโดยไม่พูดอะไร
หรือว่าคนนั้น คนที่ทุกคนถวายเครื่องบูชาจะเป็นญาติพี่น้องของหมี่โม่หรู่ พี่ชายของเขาอย่างนั้นหรือ?!
ที่หมี่โม่หรู่ขุ่นเคืองนาง อีกทั้งยังรู้สึกโศกเศร้าและโดดเดี่ยว มันจะต้องเกี่ยวข้องกับคนคนนี้อย่างแน่นอน นางอยากจะเอ่ยถามออกไป แต่เมื่อนึกถึงคำพูดของหมี่ฉงและใบหน้าซีดเผือดของหมี่โม่หรู่ในวันนั้นแล้ว…
เฮ้อ ก็คงเป็นเช่นนั้น ใครบ้างที่จะไม่รู้สึกเศร้าใจกับเรื่องที่เกิดขึ้น ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ทุกคนล้วนต้องตายจากไปทั้งนั้น
ร่างกายที่เย็นยะเยือกของหมี่โม่หรู่ถูกปกคลุมด้วยความอบอุ่นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ฉินปู้เข่อกำลังสะลึมสะลืออยู่ในความเงียบงัน อีกทั้งกำลังไปพบกับขุนนางโจว
“เสี่ยวเข่อ เจ้าหลับแล้วหรือ”
“อืม…” ฉินปู้เข่อขยับร่างกายให้ตนเองนอนสบายมากขึ้น และไม่สามารถรับรู้ได้เลยว่าคำที่เปล่งเสียงออกไปนั้นเป็นคำพูดพล่อย ๆ หรือคำตอบกันแน่
“เสี่ยวเข่อ ตลอดสองสามวันที่ผ่านมา เจ้าคิดถึงข้าบ้างหรือไม่” ภายในความมืดมิด หมี่โม่หรู่ดึงคนที่กลิ้งออกไปให้กลับมาในอ้อมกอดของเขา
ฉินปู้เข่อรู้สึกราวกับว่าเสียงเหล่านั้นดังขึ้นมาในความฝัน นางจึงพึมพำ “ไม่รู้สิเพคะ”
“ไม่ เจ้าต้องตอบมาว่าเจ้าคิดถึงข้าไหม”
นางตอบออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาตามคำพูดของคนก่อนหน้า “คิดถึง…”
“ตอบข้าให้ชัดถ้อยชัดคำ!” มือใหญ่ของหมี่โม่หรู่ลูบไล้คนที่นอนอยู่ในอ้อมกอด ก่อนจะขบติ่งหูของฉินปู้เข่ออย่างอ่อนโยน
ความเสียวซ่านปลุกเร้าฉินปู้เข่อที่อยู่ในอาการกึ่งหลับกึ่งตื่น หากแต่นางยังคงหลับตา แม้ว่าแขนจะพยายามผลักคนที่อยู่บนร่างกายออกไปก็ตาม “หม่อมฉันหลับไปแล้วเพคะ เหตุใดท่านถึงได้บ้าคลั่งยิ่งนัก”
“เจ้าก็ตอบข้ามาสิ” ใครบางคนกำลังดื้อรั้นจะเอาคำตอบ
“ตอบอะไรหรือเพคะ” ดูเหมือนว่านางจะได้ยินใครถามคำตอบเช่นนี้กับนาง แต่คำถามนั้นกลับดังขึ้นในความฝัน และนางไม่ได้รู้สึกประทับใจเลยสักนิด
“ตอบว่าเจ้าคิดถึงข้ามากในช่วงวันที่ผ่านมา” จูบร้อนแรงพรมไปทั่วร่างกายของนาง หมี่โม่หรู่หายใจหอบและกักขังนางไว้ในอ้อมแขน
“หม่อมฉันคิดถึงท่าน แต่ปล่อยให้หม่อมฉันนอนได้ไหมเพคะ” การถูกปลุกขึ้นกลางดึกนั้นทำให้นางอารมณ์เสียเป็นอย่างมาก
ใครบางคนหัวเราะออกมาอย่างมีความสุข ไอร้อนที่พุ่งออกมาจากจมูกและปากกำลังลอยเอ้อระเหยอยู่ที่ซอกคอและหัวไหล่ของฉินปู้เข่อ จนทำให้นางขนลุกซู่อีกครั้ง
“ในเมื่อเจ้าบอกว่าคิดถึง แล้วข้าจะปล่อยให้เจ้าเข้านอนได้เยี่ยงไร”
เพียงคำพูดเหล่านี้ก็สามารถขับไล่ขุนนางโจวออกจากความฝันไปได้ ใบหน้าของฉินปู้เข่อช่างขมขื่นยิ่งนัก ตอนนี้นางรู้สึกได้ว่าแรงจูงใจในการมาขอคืนดีของชายผู้นี้ไม่ใช่ความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง
หนึ่งวันก่อนที่หิมะจะตกหนัก ราชรถได้แล่นออกไปยังพระราชวังน้ำพุร้อน รถม้าขององค์ชาย องค์หญิง และรัฐบุรุษได้ติดตามไปที่นั่นเช่นกัน
รถม้าของตำหนักอ๋องหลี่ชินถูกจอดเอาไว้ที่ด้านหน้าของจัตุรัส ตามด้วยรถม้าขององค์หญิงแปดหรือหมี่จิ่งหาน และด้านหลังพวกเขาคือข้าราชบริพารทั้งหลาย
ฉินปู้เข่อเปิดม่านในรถม้าขึ้นและมองดูสถานการณ์ภายนอก ขบวนรถด้านหน้าและด้านหลังยาวเกินกว่าจะมองเห็นใบหน้าของพวกเขา
สมัยก่อนนางได้เห็นความอลังการโอ่อ่าของเหล่าจักรพรรดิสมัยโบราณในโทรทัศน์เท่านั้น แต่เมื่อนางได้มาเห็นด้วยตาตนเองในวันนี้ นางกลับรู้สึกว่ามันช่างสิ้นเปลืองเงินของชาติเสียจริง
เพื่อให้รถม้าของจักรพรรดิแห่งต้าเซี่ยแล่นผ่านออกไปอย่างปลอดภัยและราบรื่นที่สุด ประชาชนที่อยู่ในหมู่บ้านหรือเมืองต่าง ๆ ที่ตั้งอยู่ริมถนนจะต้องปิดประตูบ้านเป็นเวลาห้าวันติดต่อกัน พวกเขาจะไม่สามารถเปิดประตูได้จนกว่าขบวนของจักรพรรดิจะผ่านไปด้วยดี
นี่เป็นเพียงการเดินทางผ่าน และพวกเขาจะต้องทำแบบนี้อีกครั้งเมื่อมีขบวนเสด็จกลับ
ใช้เวลาเกือบครึ่งเดือนในการเดินทางไปมา และชีวิตของประชาชนผู้อยู่ริมทางมักจะได้รับผลกระทบเหล่านี้ กิจการของพ่อค้าจะถูกขัดจังหวะกะทันหัน รวมทั้งโรงหมอ ร้านขายยา และสถานที่อื่น ๆ จะต้องถูกปิดตัวลง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ประชาชนจะต้องทนทุกข์ทรมานกับความเจ็บป่วยในช่วงวันเวลาเหล่านี้
“เสียเงินโดยใช่เหตุ เพียงแค่ให้จักรพรรดิเดินทางไปมา ดูชายผู้นั้นสิเพคะ เงินพวกนี้เพียงพอสำหรับคนธรรมดาที่จะมีชีวิตอยู่ได้หลายชั่วอายุคน” นางลดม่านรถแล้วถอนหายใจเล็กน้อย
เมื่อหมี่โม่หรู่ที่กำลังอ่านหนังสืออยู่บนรถม้าได้ยินเช่นนั้น เขาก็ชะงักเล็กน้อย วางหนังสือลง และจ้องมองฉินปู้เข่อด้วยท่าทางแปลกประหลาด
[การพูดนอกเรื่องของผู้เขียน] ฉัน…ฉันรู้สึกทนไม่ไหวที่ปล่อยให้ทั้งสองคนทะเลาะกันไปมาแล้วค่ะ แงแงแง
สรุปคือถ้าอยากจะทะเลาะกัน เข้าใจผิด หรืออะไรทำนองนั้น แต่ฉันก็อยากจะให้มีบทคืนดีกันสักตอนสองตอนบ้างน่ะค่ะ
อ่าาา จะหยุดยังไงล่ะทีนี้