บทที่ 186 การอภิเษกสมรสพระราชทาน
หมี่โม่หรู่เม้มปากและหัวเราะเบา ๆ “คนอื่นไม่ได้โชคดีเท่าข้า เป็นเพราะมีเมล็ดแตงโมวิเศษที่สตรีอันเป็นที่รักของข้ามอบให้”
เนื่องจากสุขภาพของฉินปู้เข่อไม่ค่อยดี ซือต๋าจึงยืนกรานให้นางนอนอยู่บนเตียงเพื่อดูแลลูกในครรภ์ และไม่สามารถลุกจากเตียงมาเดินได้จนกว่าจะครบสามเดือน
นางคัดค้านในทุกวิถีทาง และยกศาสตร์แห่งการเลี้ยงทารกในครรภ์ช่วงศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดมาเล่าให้หมี่โม่หรู่ฟัง แต่เขาก็ยังคงยืนยันที่จะทำตามวิธีการของซือต๋า และให้นางนอนบนเตียงเป็นเวลาหนึ่งเดือน
ฉินปู้เข่อรู้สึกว่าเตียงจะยุบเป็นรูปร่างของนางเพราะโดนนางนอนทับแล้ว
เมื่อนางนับนิ้วรอวันและตั้งตารอที่จะลุกจากเตียงในวันมะรืนเพื่อออกไปร่าเริง พระราชกฤษฎีกาของฮ่องเต้ก็ลงมาทำลายอารมณ์ดีของนางจนแตกออกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
บางทีฮ่องเต้ต้าเซี่ยอาจจะมองเห็นความดีของหมี่โม่หรู่ หรือเป็นความต้องการชดเชยทางจิตวิทยา ฮ่องเต้ต้าเซี่ยจึงรู้สึกว่า ฉินปู้เข่อเป็นเพียงลูกสาวอนุในจวนมหาเสนาบดี ส่วนองค์ชายนั้นมีความสูงส่ง
ในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกว่าฉินปู้เข่อกำลังตั้งครรภ์จึงไม่สะดวกที่จะรับใช้พระโอรสของเขา ดังนั้นเขาจึงเห็นว่าควรให้ท่านหญิงอี๋ฮวนผู้เป็นลูกสาวของผิงเล่อเฮ่าได้เข้าไปในตำหนักขององค์ชายในฐานะพระชายารอง และจะพระราชทานงานอภิเษกสมรสให้เร็ว ๆ นี้
ฉินปู้เข่อจำได้ว่าผิงเล่อเฮ่าเป็นขุนนางที่กุมอำนาจทางการทหารอยู่ในมือเยอะ ดูเหมือนว่านอกเหนือจากการบรรเทาความต้องการทางกายภาพของหมี่โม่หรู่แล้ว ฮ่องเต้ต้าเซี่ยจะยังเตรียมให้หมี่โม่หรู่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการคานอำนาจทางทหารด้วย มันเป็นไปได้ที่จะเริ่มต้นด้วยสิ่งนี้และปล่อยให้หมี่โม่หรู่ค่อย ๆ กัดเซาะอำนาจทางทหารในมือของต๋งชวน
สงบจิตใจและลองคิดดูก่อน นี่คือสิ่งที่แสดงว่าฮ่องเต้ต้าเซี่ยไว้วางใจหมี่โม่หรู่มากขึ้น และยังเป็นเครื่องหมายของการแทรกซึมอย่างเป็นทางการของเขาในเรื่องของอำนาจ
เหตุผลเดียวกับที่หมี่เซวียนต้องอภิเษกสมรสกับต๋งเหม่ยจิงเมื่อปีก่อน
แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหดหู่ในใจ นางรู้ความจริงที่ยิ่งใหญ่และรู้ระบบฮูหยินคนเดียวและอนุหลายคนในยุคนี้ แต่นางก็ยังไม่อาจควบคุมอารมณ์ได้
หลังจากคิดดูแล้ว นางก็มองว่าอารมณ์ขึ้น ๆ ลง ๆ นั้นมาจากอารมณ์ที่แปรปรวนอย่างมากของสตรีมีครรภ์ ตราบใดที่นางกินดี ดื่มดีและนอนหลับสบาย นางก็ย่อมไม่เกรี้ยวกราด
หมี่โม่หรู่ออกไปอยู่ที่วังทั้งวันเพื่อทำงานของราชสำนัก เมื่อเขากลับมาที่ตำหนักในตอนเย็น ฉินปู้เข่อก็กำลังนั่งอยู่หน้าโต๊ะอาหารขนาดใหญ่และยุ่งกับงานของนาง
“เสี่ยวเข่อ เจ้า…” หากบอกว่าไม่ใช่ก็เป็นเรื่องโกหก ตอนนี้หมี่โม่หรู่กลัวที่จะสบตากับฉินปู้เข่อ
ฉินปู้เข่อเงยหน้าขึ้นจากกองกระดูกซี่โครงที่นางแทะจนเกลี้ยง แล้วหรี่ตาลงและยกยิ้ม “เหตุใดวันนี้ท่านจึงกลับมาช้าจัง เสวยอาหารเย็นหรือยัง ท่านต้องการจะมากินด้วยกันหรือไม่”
สงบนิ่งเพียงนี้เชียวหรือ หมี่โม่หรู่แตะหลังคอของตนและมองซ้ายมองขวาอย่างอึดอัด ไม่มีบุคคลภายนอกและไม่ควรให้ผู้อื่นเห็น
“ได้สิ” หมี่โม่หรู่ตอบด้วยเสียงพึมพำและนั่งข้างนาง เขาคิดว่าเมื่อเขากลับมาจะต้องถูกนางตี ดุด่าและไล่เขาออกจากห้อง เขาเตรียมใจถึงขั้นที่ว่าอาจจะถูกข่วน จึงหาคำอธิบายไว้ให้ทุกคนฟังในวันพรุ่งนี้แล้ว
ข่าวการอภิเษกสมรสมาถึงตำหนักตอนเที่ยงและตอนนี้นางก็สงบลงแล้ว นางไม่สนใจเลยหรือ หมี่โม่หรู่รู้สึกไม่มีความสุขเล็กน้อยด้วยเหตุผลบางอย่าง
จุ๊ ๆ บางครั้งผู้ชายก็งี่เง่า ก่อนเข้าประตูเขากลัวว่าหล่อนจะโกรธจนทำร้ายตัวเองกับลูก แต่พอตอนนี้นางไม่โกรธ เขากลับรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
“เหตุใดเจ้าไม่ตบข้าสองครั้งเพื่อขัดขวาง?!” ไม่รู้ว่ามันเป็นการระงับความสับสนภายในใจของเขา หรือเพื่อระงับความโกรธของหญิงสาว หมี่โม่หรู่จึงขยับเข้าไปใกล้นางและชี้ไปที่ใบหน้าของตนอย่างมีสติ
“ตบแรง ๆ เลยก็ได้ ไม่ต้องกังวลว่าผู้ใดจะมาเห็น” เขาพูดต่ออย่างชัดเจน
ฉินปู้เข่อถือแท่งกระดูกขนาดใหญ่ไว้ในมือ ปากของนางมันแผล็บ และมองดูใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นมาตรงหน้าตนอย่างสงสัยพร้อมสีหน้าแบบ “ท่านเป็นบ้ารึเปล่าเนี่ย”
……………………………………………………………………….