บทที่ 190 สุดยอดพระชายารอง
“ไม่เพคะ” ซวงหวนส่ายหัว “มันแปลกที่จะบอกว่าหากท่านอ๋องทำผิดเล็กน้อยในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา ท่านจะถูกสั่งให้ห้ามไม่ให้เข้าเฝ้าในพระราชวัง แต่ครั้งนี้เมื่อท่านกล้าเผชิญหน้ากับฮ่องเต้ในราชสำนัก พระองค์กลับทรงเห็นชอบด้วย แม้ว่าในตอนนั้นจะมีท่าทีพิโรธอยู่บ้าง ทว่าก็ไม่มีการลงโทษใด ๆ เลยเพคะ”
บัดนี้ฉินปู้เข่อรู้สึกสับสน นางรู้สึกว่าตั้งแต่ไทเฮาสิ้นพระชนม์ ทัศนคติของฮ่องเต้ต้าเซี่ยที่มีต่อหมี่โม่หรู่ก็ดีมากขึ้นเรื่อย ๆ และตอนนี้ก็พลิกกลับไปร้อยแปดสิบองศา จากเดิมที่ไม่พึงพอใจเลยกลับกลายเป็นโปรดปรานอย่างยิ่ง
ส่วนหมี่เซวียนที่ยังคงอยู่ในตำหนักและถูกตรวจสอบก็ดูเหมือนจะถูกฮ่องเต้ต้าเซี่ยและคนอื่น ๆ ทิ้งไว้ข้างหลังแล้ว
ช่างมันเถิด หากไม่เข้าใจก็ไม่จำเป็นต้องคิดมากแล้ว ฉินปู้เข่อไล่ความคิดนั้นออกไปและกำลังจะจดจ่อกับอาหารเช้า เมื่อแตะชามซวงหวนก็เดินเข้ามาพร้อมกับสาวใช้แปลกหน้า
คิ้วของฉินปู้เข่อกระตุก และลางสังหรณ์ที่ไม่ดีก็ปรากฏขึ้นในหัวใจของนาง
“นายหญิง นี่คือคนของท่านหญิงอี๋ฮวน…” ซวงหวนแนะนำแต่ถูกนางกำนัลขัดจังหวะ
นางเดินไปหาฉินปู้เข่อด้วยตัวเองแล้วโค้งตัวคำนับ และกล่าวด้วยความเคารพ “ข้าน้อยมีนามว่าไฉ่ถัง เป็นนางกำนัลข้างกายท่านหญิงอี๋ฮวน และในอีกสองเค่อท่านหญิงจะมาเยี่ยมท่านที่ตำหนัก ขอให้พระชายาเสด็จไปรอที่ห้องโถงใหญ่ก่อนเพื่อไม่ให้ท่านหญิงต้องรอนาน”
ฉินปู้เข่อตอบแบบยืดเสียง “โอ้ ได้สิ”
เมื่อไฉ่ถังได้ยินคำตอบที่พึงพอใจแล้ว มุมปากของนางก็ยกยิ้มราวจะบอกว่า ‘ก็ต้องเป็นเช่นนั้นอยู่แล้ว’ และ ‘รู้สำนึกดีจริง ๆ’ แล้วเดินจากไปอย่างเชื่องช้าด้วยรอยยิ้ม
ซวงหวนกระทืบเท้าและชี้ไปที่แผ่นหลังของไฉ่ถังแล้วตะโกนว่า “นายหญิง นางเพิ่งบอกว่านางมีเรื่องสำคัญจะบอกท่าน ข้าน้อยจึงพานางมาที่นี่ ฟังจากน้ำเสียงเช่นนี้เป็นการมาเพื่อทักทายนายหญิงของตำหนักในฐานะพระชายารองหรือ เห็นได้ชัดว่านางไม่ได้ให้เกียรติท่านเลย”
ฉินปู้เข่อยืนขึ้นยืดตัวแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อนางส่งคนมาบอกข้า ข้าก็จำเป็นต้องทำความรู้จักกับนางเสียแล้ว ไปกันเถอะ ไปที่ห้องโถงใหญ่”
“นายหญิง ท่านจะไปรอนางจริง ๆ หรือเพคะ?!” ซวงหวนขวางหน้านางด้วยความโมโห และเจ็บใจที่ไม่อาจหลอมเหล็กให้กลายเป็นเหล็กกล้าได้
ฉินปู้เข่อพยักหน้า “จะไปก่อนล่วงหน้า แล้วเจ้าก็ไปเรียกผู้หญิงคนอื่น ๆ ในตำหนัก แล้วบอกว่าให้มาต้อนรับท่านหญิงเข้าตำหนัก และทุกคนก็จะได้สนุกสนานกัน”
หลังจากกลับจากเขตหลินเป่ย นางก็วางแผนที่จะปลดหญิงสาวในตำหนัก แต่ก่อนที่นางจะมีเวลาได้ลงมือ นางก็ได้รับบาดเจ็บ และนอนอยู่บนเตียงเพื่อพักฟื้นจนลืมเรื่องนี้ไป
เมื่อมีสตรีกลุ่มนี้อยู่ อย่างน้อยนางก็ไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับการติดต่อกับท่านหญิงอี๋ฮวนในตอนนี้
“เพคะ!” จากนั้นซวงหวนก็รับคำและไปส่งฉินปู้เข่อที่ห้องโถงใหญ่ของสวนชิงอวี้
หลังจากนั่งรอสักครู่เฉิงจือเซียงก็เดินเข้ามาพร้อมกับหน้าอกตั้งตระหง่านดูมีชีวิตชีวาของนาง ในฤดูร้อนนั้นคอเสื้อของนางกว้างขึ้นกว่าเดิม จากนั้นฮวาจิ่นชุนก็เดินเข้ามาพร้อมกับนางสนมอีกสามคน
สตรีหลายคนที่มีสีหน้าต่างกันทำความเคารพแล้วจ้องมองท้องที่นูนเล็กน้อยของฉินปู้เข่อ ราวกับกำลังมองหาข้อบกพร่องในท้องของนาง
เฉิงจือเซียงเป็นคนแรกที่ทนรอไม่ไหวและพูดขึ้นว่า “ณ เวลานี้ในปีที่แล้ว พระชายาได้ชักชวนให้พี่สาวน้องสาวทุกคนไปหาท่านอ๋องเพื่อปรนนิบัติท่าน ตอนนี้พวกเรายังไม่มีความคืบหน้าเลย แต่พระชายากลับจับท่านไว้ได้อยู่หมัด!”
ฉินปู้เข่อไม่ได้รู้สึกขุ่นเคืองแต่อย่างใด นางยกยิ้มแล้วส่งสายตาหวาน “ใช่แล้ว ข้าเองก็ยังสงสัยเลยว่าเหตุใดเจ้าถึงไม่อาจจับท่านอ๋องไว้ได้ด้วยหน้าอกอันแสนเย่อหยิ่งของเจ้า เห็นได้ชัดว่าคำว่า ‘นมโตแต่สมองกลวง’ นั้นสมเหตุสมผลยิ่งนัก ข้าเดาว่าสมองของเจ้าคงจะอยู่ที่หน้าอกสินะ จำได้ว่าเมื่อเจ้าเจอท่านอ๋องก็มีอันต้องหน้าอกสั่นจนลืมคำพูดเสมอไม่ใช่หรือ?!”
“เจ้า!” เฉิงจือเซียงไร้ซึ่งความเคารพใด ๆ เลย เพราะยังคงคิดว่าฉินปู้เข่อเป็นผู้หญิงที่ถูกโยนเข้าไปในคุกใต้ดินของตำหนัก หลังจากเข้ามาในตำหนักครั้งแรกเมื่อหนึ่งปีที่แล้ว
“ท่านหญิงอี๋ฮวนมาถึงแล้ว—” เสียงชัดเจนของไฉ่ถังดังขึ้นที่ประตูขัดจังหวะพูดของเฉิงจือเซียง
สิ้นเสียงนั้นสตรีที่สวมชุดวิวาห์ก็เดินออกมา นางอายุราวสิบแปดหรือสิบเก้า ร่างผอมสูงและมีความสง่าผ่าเผยอยู่ระหว่างคิ้วของนาง
เอ่อ ความประทับใจแรกของฉินปู้เข่อที่มีต่อท่านหญิงอี๋ฮวนผู้นี้ไม่เลวนัก แน่นอนว่าอยู่บนสมมติฐานที่ตัดความสัมพันธ์แบบพระชายาระหว่างพวกนางสองคนออกไป
“ถวายบังคมพระชายา” นางเดินไปกลางห้องโถงใหญ่และเหลือบมองฉินปู้เข่อ นางไม่ได้ย่อลงแต่เพียงแค่พยักหน้าเล็กน้อยเพื่อแสดงความเคารพ
จากนั้นนางก็นั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวแรกทางด้านขวาโดยไม่รอให้ฉินปู้เข่อพูด แล้วหยิบกาน้ำชาขึ้นมา และเหลือบมองหญิงสาวสองสามคนที่อยู่ตรงหน้านางอย่างสงบ
การเป็นนายหญิงของตำหนักนั้นช่างทรงอำนาจยิ่งนัก
“ท่านหญิงหรือ?!” เฉิงจือเซียงส่งสายตาเย้ยหยันเหยาอี๋ฮวน “ยังคงมีท่านหญิงอยู่อีกหรือหลังจากเข้าประตูตำหนักมาแล้ว บางคนเป็นเพียงพระชายารองและนางสนมชั้นล่างในตำหนัก หากจำไม่ผิดเมื่อวานนี้ควรจะเป็นงานอภิเษกสมรสที่ยิ่งใหญ่ของเจ้า แต่เหตุใดวันนี้เจ้าถึงยังสวมชุดวิวาห์อยู่เล่า?!”
ปัง!
จอกน้ำชาในมือของเหยาอี๋ฮวนกระแทกโต๊ะอย่างแรง จากนั้นนางก็ยืนขึ้นและก้าวไปข้างหน้าเฉิงจือเซียง ง้างมือขึ้นแล้วฟาดลงบนใบหน้าของเฉิงจือเซียง
เพียะ!
ใบหน้านวลผ่องของเฉิงจือเซียงปรากฏรอยนิ้วมือสีแดงห้านิ้วบวมขึ้นจากการตบ เลือดไหลซึมออกมาจากมุมปากของนาง นางมองเหยาอี๋ฮวนด้วยท่าทางสับสน จากนั้นก็หันไปมองฉินปู้เข่อราวกับว่านางต้องการร้องขอความช่วยเหลือจากนายหญิงของตน
ฉินปู้เข่อรู้สึกทึ่งกับการเปลี่ยนแปลงอย่างกะทันหันนี้ นางแอบให้คะแนนเหยาอี๋ฮวนในใจ สตรีผู้นี้เฉียบขาดยิ่งนัก นางไม่จำเป็นต้องพูดมากแต่ลงมือเลย ถือว่าเป็นนักปฏิบัติที่ดี
สุดเจ๋ง!
เมื่อรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของเฉิงจือเซียง ฉินปู้เข่อจึงละสายตาจากการดูฉากเด็ดและมองขึ้นฟ้าแบบไม่รู้ไม่ชี้
“เจ้าตบข้าทำไม!” เมื่อเฉิงจือเซียงพยายามขอความช่วยเหลือแต่ไม่ได้ผล นางจึงตะโกนเสียงดังเพื่อดึงฉินปู้เข่อลงไปในน้ำด้วย “ข้าทำอะไรผิดไป พระชายาก็ไม่พูดอะไรเลย ท่านต้องลงโทษพระชายารองที่เพิ่งเข้ามา”
เหยาอี๋ฮวนเผยรอยยิ้มชวนมอง “ข้าจะตบเจ้าจำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยหรือ?!”
“พรืด~” ฉินปู้เข่อรู้สึกขบขันกับคำพูดนี้จนนางพ่นน้ำชาออกมา ดูเหมือนว่านางจะเคยได้ยินประโยคนี้ในละครทีวีบางเรื่อง เป็นไปได้หรือไม่ว่าท่านหญิงอี๋ฮวนคนนี้ก็เคยได้ยินมาก่อนเช่นกัน?!
เมื่อตระหนักถึงสถานะนายหญิงขึ้นมาได้ ฉินปู้เข่อก็ปรับสีหน้าของตนแล้วกระแอมและพูดว่า “อะแฮ่ม หากเจ้าต้องการเหตุผล ท่านหญิงอี๋ฮวนก็ให้เหตุผลแล้ว บางคนไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา ไม่เห็นฮวงโหไม่ตายใจ ไม่มีเหตุผลใดที่จะยอมแพ้”
“ดังที่พระชายาได้ตรัสไปแล้ว ข้าจะอธิบายให้ฟัง ประการแรกคือข้าเป็นเชื้อสายของผิงเล่อเฮ่าและตำแหน่งท่านหญิงเทียบเท่ากับพระสนมของชินอ๋อง แล้วเหตุใดข้าจะไม่อาจเรียกตัวเองว่า ‘ท่านหญิง’ ได้? ประการที่สองคือนายหญิงของตำหนักยังไม่ได้เอ่ยคำใดเลย แต่นางสนมตัวเล็ก ๆ เช่นเจ้ากลับพยายามหาเรื่อง เจ้าไม่ให้เกียรติพระชายาหรือ? หรือว่าเจ้าต้องการจะแทนที่นาง?!
“ประการที่สาม แม้ว่าเมื่อวานจะเป็นงานอภิเษกสมรสที่ยิ่งใหญ่ของข้า แต่เนื่องจากเมื่อวานพระชายาเข้ามาก่อน ตามกฎแล้วท่านอ๋องจึงต้องอยู่ที่ตำหนักของพระชายาก่อน และจะมาที่ตำหนักของข้าในวันนี้ แล้วการใส่ชุดวิวาห์ในวันนี้ที่เป็นวันสำคัญของข้าผิดอย่างไร!?”
หลังจากพูดแค่ไม่กี่คำ ไม่เพียงแต่แสดงให้เห็นว่าสถานะของนางไม่แตกต่างจากพระสนม แต่ยังกระตุ้นอคติของฉินปู้เข่อที่มีต่อเฉิงจือเซียงขึ้นมา และเตือนฉินปู้เข่อด้วยว่าเมื่อคืนนี้นางได้ครอบครองท่านอ๋องแล้ว ดังนั้นจึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องจัดที่ว่างในวันนี้…
สุดยอดจริง ๆ!
หัวใจของฉินปู้เข่อยื่นมือออกมาปรบมือให้เหยาอี๋ฮวน
……………………………………………………………………………