บทที่ 206 จ้างคนให้คุ้มค่า
คนผู้นี้คือกุนซือแห่งเมืองเตียนหลัน ลู่เฉียน
เนื่องจากทุกคนต่างรู้ดีว่าเหลียวชิ่งยอมจำนนต่อศัตรู และลู่เฉียนก็เป็นสหายร่วมงานที่ใกล้ชิดที่สุดของเหลียวชิ่ง ดังนั้นคนส่วนใหญ่ในค่ายทหารจะเชื่อสิ่งที่ลู่เฉียนบอกอย่างแน่นอน
“ต๋งชวน หลักฐานอยู่ตรงหน้าเจ้าแล้ว เจ้าจะพูดเล่นลิ้นอะไรอีก!” เหยาจ้าวชี้จดหมายที่กุนซือลู่เฉียนนำมาด้วยและพูดอย่างเคร่งขรึม
ต๋งชวนเหลือบมองหลักฐานที่กล่าวหาว่าเขาทรยศด้วยการสมรู้ร่วมคิดกับฉีรุ่ยหู่ แล้วพูดเสียงเบาว่า “ข้าขอบอกว่าลายมือและตราประทับบนจดหมายเหล่านี้ไม่ใช่ของข้า ท่านเฮ่าจะเชื่อคำพูดของกุนซือของคนที่ยอมจำนนผู้นี้จริงหรือ!”
ลู่เฉียนโต้กลับว่า “การยอมจำนนของเจ้านายของข้าเป็นแผนการชะลอกองทัพ เนื่องจากท่านเหลียวยอมพาครอบครัวไปสวามิภักดิ์ ฉีรุ่ยหู่จึงลดความเข้มงวดกับทหารคุ้มกันของเขา และข้าก็สามารถหาหลักฐานเหล่านี้ได้จากในค่ายของเขา”
“เจ้านายของข้าใจสลายเมื่อรู้ความจริงนี้ ตอนนั้นเองจึงได้รู้ว่าเหตุใดกองทัพจึงสามารถต่อสู้เพื่อยึดเมืองทั้งสี่กลับคืนมาได้ในคราวเดียว แต่มาหยุดอยู่หน้าเมืองเตียนหลัน ดังนั้นท่านจึงตัดสินใจไปเป็นผู้ลี้ภัยอยู่ในค่ายของฉีรุ่ยหู่ และในขณะเดียวกันท่านก็ให้ข้าหนีออกจากเมือง เพื่อให้นำหลักฐานนี้มามอบให้แก่ท่านเฮ่า”
“ท่านเฮ่า คำพูดที่ข้าน้อยกล่าวเป็นความจริง หากมีความเท็จปนอยู่แม้เพียงเล็กน้อยก็ขอให้ฟ้าผ่าเลย!”
เมื่อเห็นว่าต๋งชวนยังคงปกป้องตัวเอง เหยาจ้าวก็โบกมือและกล่าวว่า “หากอัครมหาเสนาบดีไม่มีเจตนาสมรู้ร่วมคิด วันนี้ท่านจะต้องส่งคนไปที่แนวหน้าร่วมกับทหารของจวนผิงเล่อเฮ่า เพื่อต่อสู้กับกองทัพของฉีรุ่ยหู่!”
“ย่อมได้!” ต๋งชวนตอบรับแล้วพูดต่อว่า “เราต้องวางแนวป้องกันและเตรียมอาวุธล่วงหน้าสองสามวันเพื่อเตรียมออกศึก จากนั้นก็สั่งให้ทหารไปที่นั่นได้เลย”
เหยาจ้าวย่อมรู้ดีอยู่แล้วว่าเขาจงใจล่าช้าจึงกล่าวว่า “ในเมื่ออัครมหาเสนาบดีไม่เต็มใจจะส่งทหารไปก็ไม่เป็นอะไร แต่เจ้าต้องไม่หยุดยั้งความรักชาติของทหารในค่ายของเจ้า! ข้าจะไปค่ายทหารของจวนสกุลต๋งชั่วคราวเพื่อรับสมัครทหารอาสา ตราบใดที่พวกเขาเต็มใจที่จะติดตามอัครมหาเสนาบดีต่อไป ข้าก็จะปล่อยพวกเขาไป!”
เมื่อมาถึงจุดนี้ ต๋งชวนก็ไม่อาจหาคำพูดมาแก้ตัวได้อีก เขารู้ว่าตอนนี้เขาต้องแสดงบางอย่างเพื่อหาทางรอด ดังนั้นเขาจึงยอมรับคำขอของเหยาจ้าว
แต่ต๋งชวนก็ยังคงคิดในแง่ดี ทหารของจวนสกุลต๋งอยู่กับเขามาห้าหรือหกปี บางคนก็มากกว่าสิบปี ดังนั้นคนในกองทัพต้องเห็นคุณค่าของความรู้สึก และจะไม่วิ่งไปอยู่ฝั่งตรงข้ามเพราะคนนอกอย่างแน่นอน
สิ่งที่ต๋งชวนไม่รู้ก็คือในขณะที่เหยาจ้าวพาพยานมาเผชิญหน้ากับเขานั้น มีข่าวลือในค่ายทหารของจวนสกุลต๋งว่าเหลียวหลัน ลูกสาวคนสุดท้องของเจ้าเมืองเตียนหลันถูกอัครมหาเสนาบดีลักพาตัวไปเมื่อคืนนี้
และเมื่อคืนเหลียวหลันคนนี้ก็เสียชีวิตหลังจากถูกทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมในกระโจมของอัครมหาเสนาบดี ตอนแรกกุนซือต้องการใช้หลักฐานที่มีอยู่แลกเปลี่ยนกับชีวิตของแม่นางเหลียวเพื่อเจ้านายของเขา แต่เมื่อเห็นว่าหญิงสาวเสียชีวิตแล้ว เขาก็รู้สึกขุ่นเคืองและรู้สึกผิดจึงเก็บหลักฐานมาที่ค่ายทหารของจวนผิงเล่อเฮ่า
ข่าวลือมีชีวิตชีวาอย่างมาก บางคนกระโดดออกมาบอกว่า เมื่อคืนนี้พวกเขาได้ยินเสียงของผู้หญิงคนหนึ่งกรีดร้องด้วยความเจ็บปวดในกระโจมของอัครมหาเสนาบดี และบางคนบอกว่าเห็นคนรับใช้ข้างคอกม้าห่อศพผู้หญิงไว้ในเสื่อฟางแล้วนำออกไป
คนอื่นก็กระโดดออกมาบอกว่า เฉิงปิงและเฉิงเฟยได้รับคำสั่งให้ลักพาตัวแม่นางเหลียวมาจากครอบครัว
เฉิงปิงเป็นคนที่แนบเนียน เขาถูกกล่าวหาและยั่วยุด้วยคำพูดแต่ก็ยังนิ่งเฉย แต่เฉิงเฟยแตกต่างออกไปเพราะเขาเป็นคนซื่อและเก็บอารมณ์ไม่อยู่ เขาจึงโต้ตอบทันทีเมื่อได้ยินเพียงสองประโยค
ทหารของจวนสกุลต๋งที่ไม่ต้องการติดตามเจ้านายและเพิกเฉยต่อสถานการณ์ ต่างรีบพากันไปที่ค่ายทหารของจวนผิงเล่อเฮ่าทันที
ดังนั้นเมื่อเหยาจ้าวยกธงทัพและเรียกให้ทุกคนออกศึกและต๋งชวนก็ไม่ได้คัดค้าน จึงมีทหารเพียงหนึ่งหมื่นหรือสองหมื่นคนจากหนึ่งแสนคนของต๋งชวนเท่านั้นที่จะรออยู่ ส่วนทหารที่เหลืออีกเจ็ดหมื่นหรือแปดหมื่นคนพร้อมที่จะจับอาวุธขึ้นมาต่อสู้ และเข้าร่วมกองทัพของเหยาจ้าว
กองทัพพร้อมออกศึกแต่เฉิงเฟยกลับถูกกีดกัน เดิมทีเขาต้องการออกไปกับกองทัพเพื่อสังหารข้าศึกในสนามรบ แต่เมื่อทหารของจวนสกุลต๋งมองเขาเปลี่ยนไปหลังรู้ว่าเขาช่วยลักพาตัวเมื่อคืนนี้ พวกเขาจึงไม่เต็มใจยอมรับเขาอีกต่อไป
“เหตุใดเมื่อคืนเจ้าไม่บอกข้าว่าใครอยู่ในรถม้า!” เฉิงเฟยถามอย่างโกรธจัดและเรียกร้องความรับผิดชอบจากเฉิงปิง “และสตรีผู้นั้นจะถูกทรมานจนตาย แต่เจ้าก็ไม่ได้บอกข้า!”
แม้ว่าเฉิงเฟยจะเคยสังหารผู้คนแต่ก็เฉพาะข้าศึกในสนามรบ เขาจึงรู้สึกผิดในใจเมื่อหญิงสาวตัวเล็ก ๆ ที่บอบบางต้องมาเสียชีวิตเพราะเขา
โดยเฉพาะเมื่อสตรีผู้นั้นมาจากครอบครัวที่ดี
“ใครบอกว่านางตายแล้ว เจ้าไม่เห็นหรือว่ามีคนช่วยชีวิตนางไว้กลางทาง” เฉิงปิงมองเพื่อนแสนซื่อตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม
“คนผู้นั้นมาเพื่อช่วยนางจริงหรือ? นางไม่ได้ถูกอัครมหาเสนาบดีจัดการอย่างนั้นหรือ?”
เฉิงปิงตบไหล่ของเขา “ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปรับเงินห้าร้อยตำลึง เมื่อวานข้าบอกเจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือว่าจะได้เงินเมื่องานเสร็จ?”
“หือ?” เฉิงเฟยตกตะลึงเล็กน้อย เมื่อคืนนี้พวกเขาถูกทุบจนหมดสติและถูกโยนทิ้งไว้ที่ข้างถนน เขาจึงคิดว่ามันล้มเหลวแล้วและจะไม่ได้รับเงิน
เนื่องจากทหารของจวนสกุลต๋งส่วนใหญ่ออกไปแล้ว จึงเกิดความโกลาหลขึ้นในค่าย อัครมหาเสนาบดีกำลังอารมณ์เสีย และหัวหน้าทหารก็กำลังยุ่งอยู่กับการรายงานความผิด ดังนั้นทั้งสองคนจึงเดินออกจากค่ายทหารของจวนสกุลต๋งในเวลากลางวันแสก ๆ โดยที่ไม่มีใครสนใจ
หลังจากเดินมาถึงค่ายทหารของจวนผิงเล่อเฮ่า คนที่ดูเหมือนองครักษ์ก็พยักหน้าให้เฉิงปิงแล้วเดินนำพวกเขาไป
เฉิงเฟยมองชายผู้นี้อย่างตกตะลึง “นั่นไม่ใช่คนที่ทุบเราเมื่อคืนนี้หรือ?”
ในไม่ช้าทั้งสองก็ถูกพาไปที่กระโจม หมี่โม่หรู่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อยแล้วพูดด้วยเสียงเบา “หัวหน้าเฉิงไม่ทำให้ผิดหวังจริง ๆ”
เฉิงปิงหัวเราะเล็กน้อย “เพราะท่านอ๋องเป็นผู้วางแผนพ่ะย่ะค่ะ”
เมื่อเห็นว่าหมี่โม่หรู่ไม่ได้เอ่ยคำใด เฉิงปิงจึงพูดต่อว่า “ท่านอ๋องสัญญากับพวกเราทั้งสองไว้ล่วงหน้า ฮ่า ๆ…”
“คนละห้าร้อยตำลึง ไม่ลืมหรอกน่า” หมี่โม่หรู่ยกมือขึ้นเล็กน้อย แล้วอู๋เหินก็เดินมาพร้อมกับถาด
“นี่คือตั๋วเงินที่สามารถนำไปแลกเปลี่ยนได้ทุกร้านตั๋วแลกเงิน หากเจ้ามีเงินเยอะในช่วงนี้ ข้าก็เกรงว่ามันจะทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้นอีกครั้ง”
“ท่านอ๋องรอบคอบยิ่งนัก ขอบพระทัยท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ” เฉิงปิงรับตั๋วเงินมาและผลักเฉิงเฟยที่อยู่ในอาการงุนงง
จากนั้นเฉิงเฟยก็ตอบสนอง เขาหยิบตั๋วเงินขึ้นมาด้วยมืออันสั่นเทาแล้วมองดูซ้ำแล้วซ้ำอีก ราวกับว่าเขาอ่านถ้อยคำที่อยู่บนนั้นไม่ออก
“หลังจากนี้หัวหน้าเฉิงวางแผนจะอยู่ในค่ายทหารของจวนสกุลต๋งต่ออีกหรือไม่?”
เฉิงปิงเก็บตั๋วเงินไว้ที่หน้าอกแล้วตอบตามตรงว่า “กระหม่อมผู้นี้อยู่ที่เดียวมานานและไม่ต้องการย้ายรัง กระหม่อมจึงเกรงว่าท่านอ๋องจะต้องผิดหวัง”
“ข้าไม่ผิดหวังหรอก แต่ข้านึกขึ้นมาได้ว่ายังมีภารกิจมูลค่าสองพันตำลึงที่ต้องขอความร่วมมือจากหัวหน้าเฉิง ไม่ทราบว่าหัวหน้าเฉิงยินดีที่จะทำเงินจากภารกิจครั้งนี้หรือไม่” หมี่โม่หรู่มองดูทั้งสองคนตรงหน้าเขาด้วยรอยยิ้ม และจ้องมองเฉิงเฟย “ดูเหมือนว่าสหายของหัวหน้าเฉิงคนนี้จะมีความสุขมาก”
เฉิงปิงหัวเราะและกล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าเฟยเต็มใจ ท่านอ๋องก็โปรดบอกมาเถิดพ่ะย่ะค่ะ”
“ได้ แต่ข้าได้ยินเรื่องเกี่ยวกับหัวหน้าเฉิงในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา บางทีหัวหน้าเฉิงอาจจะสนใจ” หมี่โม่หรู่พูดแล้วหยุดชั่วคราวเพื่อยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ “หัวหน้าเฉิง ไม่ทราบว่าเยี่ยถิงเป็นใครหรือ”
เยี่ยถิง…
ใบหน้าของเฉิงปิงหม่นหมองลง รอยยิ้มบนใบหน้าของเขาจางหายไป ส่วนเฉิงเฟยก็จ้องหน้าเขาอย่างว่างเปล่า
……………………………………………………………………………….