บทที่ 233 ไม่อยากต่อสู้อีกต่อไป
บทที่ 233 ไม่อยากต่อสู้อีกต่อไป
เดิมทีหมี่โม่หรู่มีความโกรธแค้นเสด็จพ่อของเขา ทั้งเกลียดชังและแค้นเคืองหมี่อี้เหิงบิดาผู้ให้กำเนิดด้วย เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อเขาเข้ารับตำแหน่งและชิงบัลลังก์กับพี่น้องของตนเองได้ เขาจะแก้แค้นฮ่องเต้ต้าเซี่ยด้วยการเปิดโปงว่าเขาได้รับตำแหน่งมาด้วยการยึดบัลลังก์จากพี่ชายของตนเอง และต้องการลบล้างมลทินให้หมี่อี้เหิง เมื่อได้ขึ้นครองราชย์แล้วก็จะเปิดเผยความจริงที่ว่าตนถูกวางยาพิษในตอนนั้นด้วย
บัดนี้ไทเฮาเจิ้งผู้คร่าชีวิตคนด้วยสุราพิษได้ตายตกไปแล้ว เสด็จพ่อก็เปลี่ยนเป็นไว้วางใจและรักเขาต่างจากในอดีต หมี่อี้เหิงผู้มีข่าวลือว่าเสียชีวิตมาหลายปีแล้วจู่ ๆ ก็ปรากฏตัว ลักพาตัวภรรยาและลูกของเขาไป
เขาลืมสิ่งที่ตัวเองเคยคิดไว้ในอดีตไปแล้ว เพราะเมื่อคืนนี้ตอนที่เขาได้เจอเสี่ยวเข่ออีกครั้งและได้ยินนางพูดถึงลูก เขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายขึ้นมาทันที ราวกับว่าพลังงานทั้งหมดของเขาถูกดึงออกไป ในขณะที่เขาไม่ต้องการอะไรนอกจากภรรยาและลูก
ตราบใดที่หมี่อี้เหิงไม่ทำอันตรายต่อเสี่ยวเข่อและลูก เขาก็คิดว่าตัวเองยังสามารถยอมรับทุกสถานการณ์ได้
ในช่วงครึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาหม่นเศร้าเกินไป เพราะเขาไม่ได้ยินเสียงหัวเราะและเสียงอันดังของเสี่ยวเข่อเพราะความหงุดหงิดของหญิงตั้งครรภ์
ถ้าเขาต้องเสียเสี่ยวเข่อและลูกไปเพื่อแย่งชิงตำแหน่งนั้น…
เขาต้องไม่ปล่อยให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น ดังนั้นหากหมี่เหิงเหมาะสมก็ให้เขาได้ตำแหน่งนั้นไป
เมื่อเห็นว่าเขาพูดได้ครึ่งทาง หมี่ฉงก็ก้าวไปข้างหน้าและทุบโต๊ะเพื่อปลุกเขาให้ตื่น
“เจ้ากลัวหรือเจ้าเจ็ด? หรือเจ้ารู้สึกสงสารและรู้สึกว่าเขาคือของเจ้า… เจ้าถึงไม่ต้องการต่อต้านเขา?” แม้ในสถานการณ์เช่นนี้ หมี่ฉงก็ยังคงกังวลเกี่ยวกับความภาคภูมิใจในตนเองของหมี่โม่หรู่ และเลือกที่จะไม่พูดคำว่า ‘บิดาผู้ให้กำเนิด’
หมี่โม่หรู่ผลักมือของเขาออกไปเบา ๆ แล้วหยิบซองจดหมายที่ถูกกดไว้ใต้ฝ่ามือของหมี่ฉงขึ้นมา ก่อนจะมองดูมันอย่างโศกเศร้า และเก็บใส่ซองจดหมายอย่างระมัดระวังแล้วพูดว่า “ข้าไม่ได้กลัว ข้าคิดว่ามันไม่จำเป็นอีกต่อไป”
“ไม่จำเป็นหรือ!?” ทันทีที่คำพูดเหล่านี้ออกมา คนทั้งสามในห้องอ่านหนังสือต่างตกตะลึง
หมี่โม่หรู่มองพวกเขาทีละคนแล้วพยักหน้าอย่างเฉยเมย “ซือต๋า เจ้าได้รู้แล้วว่าพ่อของเจ้าอยู่ที่ใด และมันขึ้นอยู่กับว่าเขาเต็มใจที่จะกลับมาหรือไม่ เสด็จอาเป็นที่เคารพนับถืออย่างสูงและมีฝีมือทางการทหารที่ดี ไม่ว่าองค์ชายองค์ใดจะเสด็จขึ้นครองบัลลังก์ ท่านก็จะได้รับการปฏิบัติเราวกับเป็นเทพเจ้า”
“พี่ชายสาม ท่านอยู่เคียงข้างข้าเพื่อช่วยข้ามานาน อันที่จริงความสามารถของท่านไม่ได้เลวร้ายไปกว่าใคร เพียงแต่ท่านไม่มีเจตนาที่จะขึ้นครองบัลลังก์ หากเป็นเช่นนี้ก็จงดำเนินชีวิตตามความปรารถนาเดิมของท่าน และการเป็นองค์ชายจอมเกียจคร้านก็ถือว่าไม่เลว สำหรับข้านั้น ตลอดชีวิตของข้าไม่เคยออกจากตำหนักหรือเมืองหลวงเลย ดังนั้นคงจะดีหากข้าสามารถพาเสี่ยวเข่อออกไปอยู่ข้างนอกได้”
“ไม่! นี่เจ้า เจ้า!” เมื่อหมี่ฉงได้ยินความคิดที่เรียบง่ายของเขา จึงรู้สึกเศร้าใจหนักกว่าตอนที่ได้ยินว่าหมี่เหิงได้เป็นองค์รัชทายาทอีก และขมวดคิ้วมุ่นทันที
อีกสองคนมองหน้ากันและได้ข้อสรุป
“เจ้าพูดถูก ข้าสงวนท่าทีอย่างเป็นกลางอยู่เสมอ ไม่สำคัญว่าใครจะอยู่ในตำแหน่งที่สูงสุด เพราะแน่นอนว่าข้าจะตามเจ้าไปด้วย” หมี่เฉินอี้จิบชาอย่างสบายอารมณ์ “จำได้ว่าข้าห่างหายไปอยู่ที่ชายแดนกว่าสิบปี และมันก็เป็นเวลาแห่งความสุข ในอีกไม่กี่วัน ข้าจะส่งคืนตราพยัคฆ์และเดินทางไปกับเจ้าเจ็ด”
ซือต๋าก็เห็นด้วย “ครอบครัวสามคนพ่อแม่ลูกของเจ้าไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมากนักหากออกไปอยู่ข้างนอก มันน้อยกว่าการมีตำแหน่งสูงมาก หากคิดเช่นนั้นเจ้าก็ควรพาภรรยาและลูกของเจ้ากลับมา และพากันออกจากเมืองหลวงไปให้เร็วที่สุดจะดีกว่า ข้าจะได้มีเงินเก็บเยอะกว่าทุกปี”
“เอ๊ะ พวกเจ้าสองคนเป็นอะไร?! พวกเจ้าจะไม่เกลี้ยกล่อมให้เขาเลิกยอมแพ้กลางทางเช่นนี้หรือ?!” หมี่ฉงสับสนยิ่งนักเมื่อเห็นว่าไม่มีใครสนับสนุนตน
“มีอะไรให้เกลี้ยกล่อม ไม่มีใครสามารถโน้มน้าวเขาให้อยู่ที่นี่ได้ นอกจากนี้เขาอาจจะไม่มีความสุขกับการตัดสินใจครั้งนี้ก็ได้” ซือต๋าเหลือบมองหมี่ฉงแล้วกระซิบ “แต่มันยากสำหรับเจ้าจริง ๆ”
ตลอดหลายปีที่ผ่านมาหมี่ฉงมุ่งความสนใจไปที่หมี่โม่หรู่ ความคิดเกือบทั้งหมดของเขาคือการช่วยเหลือหมี่โม่หรู่ แต่ตอนนี้ความตั้งใจของเขากำลังถูกทำลาย เขาจึงรู้สึกสูญเสียมากกว่าคนอื่น ๆ
หมี่ฉงหยุดนิ่ง ดูเหมือนเขาจะจำได้ว่าน้องสะใภ้ของเขาเคยบอกว่านางจะ ‘ไม่เข้าสู่ราชวงศ์’ ดังนั้นเจ้าเจ็ดจึงตอบรับคำขอของน้องสะใภ้อย่างนั้นหรือ?!
จุ๊… คนผู้นี้ทำลายหน้าที่การงานของตนให้หยุดชะงักได้เพื่อความรัก
“ข้าจะไม่พาท่านไปด้วย” คนสำคัญที่เงียบอยู่นานพูดประโยคที่ชวนให้สับสน
หมี่โม่หรู่มองหมี่เฉินอี้อย่างจริงจัง “เสด็จอา ท่านต้องดูแลตราพยัคฆ์ของท่านและเป็นผู้พิทักษ์อาณาจักรต่อไป หากข้าพาเสี่ยวเข่อออกไปจริง ๆ ข้าจะไม่พาท่านไปด้วย”
ไม่ใช่แค่พระชายาของเขา แต่เป็นทุกคนที่ได้เจอเขาต่างก็รู้ว่าพฤติกรรมเช่นนี้เกินความดูแลของผู้อาวุโสที่มีต่อผู้เยาว์อย่างชัดเจน หากหมี่โม่หรู่ไม่เข้าใจก็แสดงว่าเขาโง่เขลายิ่งนัก เขาจึงจะไม่พาคู่แข่งมาอยู่เคียงข้างเพื่อรังควานเขาได้ทุกเมื่อ
หมี่ฉงเข้าใจอารมณ์ของเขาและรู้ว่าตนจะไม่ยุ่ง แต่เสด็จอาผู้นี้ อืม บางทีการที่เขาติดต่อกับนางครั้งแรกอาจจะไม่ใช่เพราะ ‘น้ำห้ามเลือด’ แต่เพราะเขามีความคิดอื่นแอบแฝงก็เป็นได้
ตอนนี้เขาได้ตัดสินใจที่จะไม่ต่อสู้เพื่อราชบัลลังก์แล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเอาชนะอีกต่อไป
จู่ ๆ หมี่เฉินอี้ที่ถูกจ้องมองก็รู้สึกผิด แต่เขาก็ยังคงวางตัวนิ่งเงียบ ก่อนจะยกยิ้มแล้วพูดกับหมี่โม่หรู่ว่า “หลานชายเอ๋ย เจ้าอย่าเพิ่งคิดไปไกล ตอนนี้สิ่งที่เราต้องคิดเป็นอย่างแรกคือต้องหาทางพาภรรยาและลูกของเจ้าออกมาอย่างปลอดภัยให้ได้ มิฉะนั้นต่อให้ความคิดของเจ้าจะบรรเจิดเพียงใดก็ไม่มีประโยชน์”
ด้วยคำพูดประโยคเดียวนี้ทำให้คนทั้งห้องถูกปลุกให้ตื่น หมี่ฉงยังคงไม่อาจปล่อยวางสองเรื่องนั้นได้และก้มหน้าครุ่นคิดอย่างหนัก
สิ่งที่ฉินปู้เข่อพูดเมื่อคืนได้เข้ามาในหัวของหมี่โม่หรู่ เขาพูดเสียงเบาว่า “เสด็จอา หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นกับเสด็จพ่อ คนผู้นั้นจะปรากฏตัวหรือไม่”
หากเป็นความสัมพันธ์ระหว่าง ‘คู่รัก’ สองคนที่โกรธกันจริง ๆ ก็ไม่ควรทำให้อีกฝ่ายได้รับอันตรายร้ายแรง หากคนผู้นั้นมีเจตนาจะล้างแค้น เขาก็คงลงมือทำมามากจนในที่สุดก็จะออกมาโจมตีเสด็จพ่อ และไม่ต้องการให้คนอื่นหยิบ ‘ผลแห่งชัยชนะ’ ไป
ความจริงแล้วการทำร้ายเสด็จพ่อเป็นวิธีการที่เป็นไปได้
“แล้วเจ้าจะปลงพระชนม์เสด็จพ่อหรือ?” หมี่ฉงอ้าปากค้าง การเคลื่อนไหวเช่นนี้ ฮ่า ๆ เขาไม่กล้าหรอก
เพราะไม่ว่าจุดเริ่มต้นของพวกเขาจะเป็นอย่างไร ตราบใดที่พวกเขาถูกจับได้ พวกเขาจะถูกตั้งข้อหา ‘ปลงพระชนม์ฮ่องเต้’ และพวกเขาจะถูกตัดหัวอย่างแน่นอน
“ไม่ได้หมายความว่าจะปลงพระชนม์ แค่…ทำให้บาดเจ็บสาหัส และปล่อยให้คนผู้นั้นกระวนกระวายใจจนกระโดดออกมาเผชิญหน้ากับเสด็จพ่อตัวต่อตัว ยังจะดีกว่ายืนอยู่ในความมืดโดยใช้องค์ชายเป็นเครื่องมือ”
จนถึงตอนนี้หมี่โม่หรู่ก็พบว่าตนไม่มีทั้งความเกลียดชังและความคิดถึงสำหรับหมี่อี้เหิง และถือว่าเขาเป็นคนแปลกหน้าอย่างสมบูรณ์ คนแปลกหน้าที่ฉวยโอกาสเอาเปรียบ
สมัยก่อนเขาเคยฝันถึงหมี่อี้เหิง และคิดว่าหากมีโอกาสได้เจอก็คงจะพูดคุยกับเขา และยังมีความคาดหวังความรักจากผู้เป็นพ่ออยู่ในใจบ้าง โดยคิดว่าเขาจะไม่ใช่พ่อที่ใจร้าย
แต่ตอนนี้เขาสามารถใช้หมี่อี้เหิงเป็นเครื่องมือได้อย่างสมบูรณ์
หมี่เฉินอี้ที่อยู่ด้านข้างกล่าวว่า “มันใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ หากเราไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้ด้วยตัวเอง สุดท้ายเราก็ไม่จำเป็นต้องมีส่วนร่วม”
เมื่อหมี่เฉินอี้ที่เป็นผู้อาวุโสได้พูดไปแล้ว ผู้เยาว์อีกสามคนที่เหลือก็ย่อมไม่มีความเห็น แต่หมี่โม่หรู่ก็ยังคงกังวล
เพื่อปกป้องเสี่ยวเข่อและลูกให้ปลอดภัย หมี่เฉินอี้จึงยอมตกลงที่จะสังหารฮ่องเต้ แม้ว่าจะเป็นเพียงการจัดฉากสังหาร แต่ดูเหมือนว่าชายคนนี้จะจริงจังกับเสี่ยวเข่อ และคาดว่าเขาจะจริงจังกว่าหมี่ฉงเสียอีก และการเกลี้ยกล่อมให้เขาเลิกคิดก็ยากยิ่งกว่าหมี่ฉงด้วย
เขาแหงนหน้ามองเพดานแล้วพูดว่า “วันนี้ดึกแล้ว เราจะพูดถึงขั้นตอนต่อไปกันในวันพรุ่งนี้ เนื่องจากเราต้องทำ เราจึงต้องทำอย่างรวดเร็ว ราตรีนี้เพียงเท่านี้เถิด”
ในเวลาเดียวกัน หมี่เหิงนั่งอยู่บนเก้าอี้และขอบคุณหมี่อี้เหิงผ่านผ้าม่านหนาทึบอย่างมีความสุข
“ต้องขอบคุณแผนการของท่านกุนซือสำหรับสถานการณ์ในวันนี้ ข้าคาดไม่ถึงเลยว่าฮ่องเต้จะรับหนังสือของข้าไป และตอบตกลงเพราะหนังสือเสนอตัวของข้า”
ในความเป็นจริง หมี่เหิงพร้อมที่จะคุกเข่าขอความเมตตา
“เนื่องจากตำแหน่งในราชสำนักของท่านที่เป็นองค์ชายสอง ไม่สิ เนื่องจากท่านเป็นองค์รัชทายาท เขาย่อมต้องการแบ่งปันความกังวลที่เขามีให้องค์รัชทายาทอยู่แล้ว” น้ำเสียงของหมี่อี้เหิงนิ่งสงบ ก่อนที่เขาจะเปลี่ยนคำเรียกชื่อตำแหน่ง
การเปลี่ยนคำอย่างง่าย ๆ นี้ทำให้หมี่เหิงมีความสุขยิ่งนัก เมื่อเขาอยู่ในห้องโถงของตัวเองที่ตำหนักหน้า เขายังคงวางตัวสงบและไม่ปล่อยให้ผู้คนในตำหนักตื่นตระหนก แต่พูดเพียงว่าคนในตำหนักต้องเรียกเขาว่า ‘องค์รัชทายาท’ หลังจากที่เขาเข้าพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณแล้ว และตอนนี้เขาก็ค่อนข้างรู้สึกดีเมื่อได้ยินล่วงหน้าจากที่นี่
หลังจากหมี่อี้เหิงเกลี้ยกล่อมองค์ชายสำเร็จ เขาก็พูดต่อว่า “ข้าสงสัยว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นในตำหนักอ๋องหลี่ชิน หลังจากได้ยินข่าวว่าท่านได้เป็นองค์รัชทายาทแล้ว”
“ไม่มีปฏิกิริยาอะไรมาก” หมี่เหิงพูดอย่างมีความสุข “ทุกอย่างในตำหนักยังคงเป็นปกติเช่นเดิม และก่อนที่ข้าจะมาที่นี่ในวันนี้ ข้าได้รับคำเชิญให้ไปร่วมงานฉลองวันเกิดขององค์ชายน้อยในคืนพระจันทร์เต็มดวง”
“เอ๊ะ!?” หมี่อี้เหิงสนใจ เด็กคนนั้นอยู่กับเขาแต่โม่หรู่กลับเชิญคนไปร่วมงาน
ดูเหมือนว่าเขาจะมาลักพาตัวเด็กไปก่อนพระจันทร์เต็มดวง
หลังจากผ่านมาหลายปี เขาไม่ได้คาดหวังว่าตนและโม่หรู่จะมาพบกันในสถานการณ์เช่นนี้ หมี่อี้เหิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งและจู่ ๆ ก็มีความตื่นเต้นวาบขึ้นมาในหัวใจของเขา
“ท่านกุนซือสนใจหรือ?” หมี่เหิงถามทันทีเมื่อสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงในน้ำเสียงของเขา
หมี่อี้เหิงปรับอารมณ์และพูดอย่างเคร่งขรึมว่า “ข้าแค่อยากรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมที่สงบของเขา แต่อ๋องหลี่ชินมักแสดงท่าทีที่เย็นชา และคนในตำหนักของเขาอาจจะไม่ทันได้สังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของเขา”
“ยังคงสังเกตได้” หมี่เหิงพูดแทรก “ในช่วงสิบวันที่ผ่านมา คาดว่าพระชายาเจ็ดจะไม่สบายและอ๋องหลี่ชินก็ไม่กล้าออกมา แม้ว่าเมื่อก่อนเจ้าเจ็ดจะสุภาพอ่อนโยนมาโดยตลอด แต่ในช่วงนี้ที่เขาไปราชสำนัก เขาก็เย็นชาจนคนอื่นไม่กล้าที่จะพูดอะไรด้วยเลย ในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา อาการของพระชายาดีขึ้นและองค์ชายน้อยก็เกือบจะได้ฉลองวันเกิดในวันพระจันทร์เต็มดวงแล้ว ดังนั้นเขาจึงปกติขึ้นเล็กน้อย”
ดวงตาของหมี่อี้เหิงเป็นประกายและพูดว่า “ท่านสามารถสังเกตท่าทีของอ๋องหลี่ชินได้ในตอนที่ท่านไปราชสำนักในช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ข้าเกรงว่าเขาจะมีความคิดไม่ดีเมื่อเขารู้ว่าท่านจะได้อยู่ที่ตำหนักบูรพา”
“นั่นเป็นเรื่องปกติ” หมี่เหิงพยักหน้าเล็กน้อยเพื่อตอบสนองคำพูดของหมี่อี้เหิง
แม้ว่าโดยผิวเผินเขามักจะสุภาพกับหมี่โม่หรู่อยู่เสมอ แต่ทุกคนในราชสำนักต่างก็รู้ว่าระหว่างพวกเขาทั้งสองจะต้องถูกเลือกให้ได้ตำแหน่งองค์รัชทายาท แต่ตอนนี้เขาประสบความสำเร็จในการเป็นองค์รัชทายาทแล้ว เขาจึงมีความมั่นใจมากขึ้นต่อหน้าข้าราชบริพาร และนิสัยของเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าหมี่โม่หรู่ก็ยิ่งแตกต่างไปจากเดิมมากขึ้น
หมี่เหิงพักอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะกล่าวคำอำลาและจากไป หมี่อี้เหิงถอนหายใจขณะมองหลังของเขาที่กำลังจากไป นี่ก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจปกปิดได้ นี่เป็นวันแรกของการรับพระราชโองการ แต่ท่าทางและน้ำเสียงของเขาแตกต่างจากคราวก่อนยิ่งนัก เกรงว่าในอนาคตเขาจะไม่เชื่อฟังง่าย ๆ อีกต่อไป
………………………………………………………………………….