เมื่อผลสอบออกมา สวีซื่ออวี้อยู่ในอันดับที่สิบของระดับที่สอง สอบติดราชบัณฑิต
ไม่เพียงแต่สกุลสวีที่เฉลิมฉลอง แม้แต่จวนหย่งชังโหว จวนเว่ยเป่ยโหว จวนจงฉินปั๋วที่เป็นดองก็มีความสุขเช่นกัน ให้ผู้ดูแลใช้รถลากใส่ประทัดมาจุดที่หน้าประตูจวนสกุลสวี บิดาของฮูหยินสามได้เดินทางมาเยี่ยมสวีซื่ออวี้โดยเฉพาะ
สวีลิ่งอี๋แสดงรอยยิ้มที่พึงพอใจต่อหน้าสืออีเหนียง
สืออีเหนียงปิดปากหัวเราะ “คนที่ไม่รู้คงจะคิดว่าเป็นท่านที่สอบติดราชบัณฑิต!”
สวีลิ่งอี๋กอดแล้วหอมแก้มนางแรงๆ หนึ่งที
สืออีเหนียงหัวเราะพลางพยายามผลักตัวเขาออก ทั้งสองคนกอดกันกลม…
ส่วนสวีซื่ออวี้ก็กินเลี้ยงไม่หยุดหย่อน หากไม่ใช่ไปเยี่ยมสหายร่วมชั้นเรียน ก็ไปเยี่ยมอาจารย์ หรือไม่ก็มีคนเชิญไปกินเลี้ยงแสดงความยินดี ยากที่จะได้เห็นเงา ไม่ง่ายเลยที่ฮูหยินสองจะหาโอกาสพาสวีซื่ออวี้มาพูดคุย “แค่สนุกเดี๋ยวเดียวก็พอแล้ว สิ่งที่สำคัญคือการสอบราชบัณฑิตหลวงครั้งถัดไป”
สวีซื่ออวี้ไม่ได้พูดอะไร มาพบสืออีเหนียงในวันรุ่งขึ้น
“ท่านแม่!” เขาคำนับอย่างนอบน้อม “ข้าอยากไปทำงานต่างเมืองขอรับ!”
หมายความว่าเขาไม่ได้เตรียมที่จะสอบราชบัณฑิตหลวง!
สืออีเหนียงประหลาดใจเป็นอย่างมาก
“พ่อของเจ้ารู้หรือไม่” นางครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามออกมา
“ยังไม่ได้คุยกับท่านพ่อเลยขอรับ” สวีซื่ออวี้พูดอย่างมีนัยยะ “ท่านพ่อท่านแม่ยังอยู่ ไม่ควรไปไหนไกล สามารถอยู่ในเยี่ยนจิงได้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ข้าอยากไปเจียงหนานมากกว่า” มุมปากเผยให้เห็นรอยยิ้มที่อ่อนโยน “โชคดีที่ในเรือนมีน้องสี่คอยปรนนิบัติท่านพ่อท่านแม่แทนข้า ข้าก็จะได้พาเซี่ยงซื่อกับลูกๆ ออกไปเปิดโลก ชมทิวทัศน์ภายนอก ” เขาก้าวมาข้างหน้า ค่อยๆ คุกเข่าลงตรงหน้าสืออีเหนียง “ท่านแม่” เงยหน้ามองนางด้วยแววตาเศร้าสร้อยเล็กน้อยราวกับทำใจไม่ได้ แต่ก็เจือด้วยความยินดีเล็กน้อย “ขอท่านโปรดให้อภัยที่ข้าอกตัญญูด้วยขอรับ” ขณะที่พูดขอบตาพลันแดงก่ำ หยาดน้ำตาค่อยๆ รินไหลออกมา
เมื่อเขาสอบผ่านราชบัณฑิตก็ถือว่าอยู่เหนือสวีซื่อจุนแล้ว จึงให้สวีซื่อจุนคอยปรนนิบัติดูแลบิดามารดาแทนเขา ส่วนเขาก็พาเซี่ยงซื่อและลูกๆ เดินทางไปเจียงหนานทีไกลแสนไกล กระทั่งตัดสินใจไปเป็นปี ให้นางอภัยที่เขาอกตัญญู…เขาคิดจะใช้วิธีนี้บอกกับจุนเกอว่าเส้นทางที่เขาเลือกนั้นจะไม่ไปขวางทางจุนเกออย่างนั้นหรือ ไม่สิ! บางทีเขาอาจจะอยากบอกสวีลิ่งอี๋!
สืออีเหนียงรู้สึกใจหายอยู่ชั่วขณะหนึ่ง “พ่อของเจ้าให้ความสำคัญกับเจ้าเสมอ มิเช่นนั้นก็คงไม่เกี่ยวดองกับสกุลเซี่ยง…”
“ข้ารู้ดีขอรับ!” สวีซื่ออวี้พยักหน้า รอยยิ้มดูผ่อนคลายมากขึ้น “ดังนั้นข้าจึงได้อยากไปเจียงหนาน!” พูดจบเขาก็ลุกขึ้น “ท่านแม่ ท่านคิดว่าที่ไหนดี รอให้ข้าลงหลักปักฐานได้แล้วท่านค่อยไปพักกับข้าสักสองสามวันดีหรือไม่ ข้าจะพาท่านไปเดินเล่น ไปดูเปิดหูเปิดตา จะไปพายเรือในทะเลสาบ หรือจะไปฟังเล่าหนังสือที่โรงน้ำชาก็ได้…” เขายืนขึ้นด้วยท่าทางสง่างาม สีหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสดั่งพระจันทร์เจิดจ้าและสายลมที่เบาสบาย ดั่งต้นอ่อนที่พึ่งงอกงามในฤดูใบไม้ผลิ ไร้ซึ่งหมอกควันบางๆ เหมือนในอดีต…
สีหน้าของสืออีเหนียงผ่อนคลายลง เผยให้เห็นรอยยิ้มอันอ่อนโยน
การจากไปไม่ใช่จุดสิ้นสุด บางครั้งมันคือจุดเริ่มต้นของการสยายปีก!
******
เมื่อสวีลิ่งอี๋กลับมาถึงเรือนก็เป็นเวลาจุดโคมไฟแล้ว
โคมไฟสีแดงพลิ้วไหวไปตามสายลม ในดวงตาของเขาจู่ๆ ก็แฝงไว้ด้วยความยินดี
เข้าห้องมาด้วยอาการมึนเมาเล็กน้อย สาวใช้หันเซี่ยวกับเหลิ่งเซียงยิ้มพลางเข้าไปช่วยเขาเปลี่ยนชุด
เขาไปเช็ดหน้าที่ห้องชำระที่อยู่ด้านข้าง เคี้ยวใบชาสองสามทีเพื่อกำจัดรสสุราในปาก
“ฮูหยินเล่า”
“อ่านหนังสืออยู่ที่ห้องด้านในเจ้าค่ะ” เหลิ่งเซียงเป็นคนเจียงหนาน มาอยู่จวนสวีได้หนึ่งปีกว่าแล้ว แม้ว่าจะพูดภาษากลางได้ แต่สำเนียงของนางยังคงมีความนุ่มนวลเฉพาะตัวของเจียงหนานเมืองสายน้ำ
สืออีเหนียงเองก็เป็นคนเจียงหนาน แต่นางกลับออกเสียงถูกต้องและชัดเจน พูดภาษากลางได้ไพเราะกว่าคนที่เป็นชาวเยี่ยนจิงแต่กำเนิดอย่างเขาเสียอีก
เมื่อคิดได้เช่นนี้เขาก็ยกมือขึ้นลูบศีรษะตัวเอง
เมื่อแต่งเข้ามาสืออีเหนียงก็พูดภาษากลาง ดื่มน้ำแกงเปรี้ยวเผ็ดได้ ไม่มีความรู้สึกว่าปรับตัวไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว ราวกับว่าพอเกิดมาก็เติบโตอยู่ในจวนของพวกเขา นี่ใช่คำพูดที่ว่า ‘ไม่ใช่คนเรือนเดียวกัน ไม่เข้าประตูเรือนเดียวกัน’ หรือไม่!
สวีลิ่งอี๋ยิ้มพลางเข้าไปที่ห้องด้านใน ไอร้อนปะทะเข้ากับใบหน้าของเขา
สืออีเหนียงร่างกายอ่อนแอ หลายปีมานี้ครอบครัวอื่นจะเริ่มจุดเตาผิงในช่วงต้นฤดูหนาว แต่ครอบครัวของเขาจะเริ่มจุดเตาผิงเพียงแค่มีน้ำค้างแข็ง
นางห่มผ้าห่มสีแดงที่ปักลายแจกัน พิงหมอนอิงใบใหญ่สีเหลืองบนเตียงเตาริมหน้าต่าง เปิดหนังสืออ่านด้วยท่าทางที่เกียจคร้าน พลอยทำให้เขานึกถึงลูกแมวที่ขดตัวข้างเตาเพื่อหาความอบอุ่น…ฉับพลันก็รู้สึกอบอุ่นในหัวใจ เดินไปที่ขอบเตียงเตาแล้วนั่งลง ยื่นมือเข้าไปแตะผิวเปลือยเปล่านุ่มละเอียดที่อยู่ใต้ผ้าห่ม…
สืออีเหนียงที่กำลังพลิกหน้าหนังสืออย่างตั้งใจ สะดุ้งโหยงด้วยความตกใจ ขดเท้าเข้ามาตามสัญชาตญาณ แต่ก็ถูกดึงกลับไปเหมือนเดิม
นางยิ้มพลางจ้องเขา “ท่านโหวกลับมาแล้วหรือ!”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อืม” ใช้นิ้วโป้งลูบที่หลังเท้าอันนุ่มนวลของนาง ทำให้นางใจสั่น นั่งหลังเหยียดตรง รีบยื่นหนังสือในมือไปให้ “ท่านโหวคิดว่าหยางโจวเป็นสถานที่แบบใดเจ้าคะ”
มันคือหนังสือเก้าแคว้นแห่งต้าโจว
สืออีเหนียงไม่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้มานานแล้ว
เขาหรี่ตาลง “หยางโจวถือว่าไม่เลวเลย เป็นเมืองเขียวชอุ่ม มีอาหารอร่อยมากมาย” จากนั้นก็พูดขึ้นมาว่า “เหตุใดจู่ๆ จึงได้ถามถึงหยางโจวเล่า”
“อวี้เกอบอกว่าเขาอยากพาเซี่ยงซื่อและลูกๆ ไปทำงานที่เจียงหนาน” สืออีเหนียงจับจ้องสวีลิ่งอี๋
สวีลิ่งอี๋ไม่ได้พูดอะไร มือที่อยู่ใต้ผ้าห่มกลับหยุดชะงักลง
เหลิ่งเซียงยกชาเข้ามา
ฮูหยินกับท่านโหวนั่งอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิด แต่บรรยากาศในห้องกลับดูอึมครึม
นางหดคอก่อนจะรีบเดินออกไปอย่างเงียบเชียบ
สวีลิ่งอี๋ยกถ้วยชาขึ้นมาจิบหนึ่งอึก “เขาบอกว่าอะไรอีก”
“บอกให้ข้าไปเที่ยวเล่นในเมืองที่เขาไปทำงาน” สืออีเหนียงมองเขาด้วยความเห็นใจ “พาข้าไปพายเรือ ไปฟังคนเล่าหนังสือ…”
สวีลิ่งอี๋เงียบไปนานก่อนจะถอนหายใจยาว วางถ้วยชาลงแล้วเอนกายพิงหมอนอิงใบใหญ่ข้างสืออีเหนียง “เช่นนั้นก็ไปเถิด!” จากนั้นก็พูดเสียงเบาราวกับยุงว่า “เช่นนี้ก็ดี…หากเจ้าเคารพข้าหนึ่งฉื่อ ข้าก็จะเคารพเจ้าหนึ่งจั้ง…จุนเกอก็ไม่ใช่เด็กที่แยกแยะถูกผิดไม่เป็น…”
สืออีเหนียงกอดแขนแล้วพิงไหล่ของเขา “เช่นนั้นท่านก็หาสถานที่ดีๆ ให้เขาดีหรือไม่ เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราก็จะได้พาเด็กๆ ไปส่งอวี้เกอขึ้นเรือ!”
สวีลิ่งอี๋ตอบเพียง “อืม” ด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม จากนั้นก็รีบส่งจดหมายไปถึงผู้ว่าการมณฑลหูก่วง
ใต้เท้าเซี่ยงไม่ได้รู้สึกเสียดายหรือทอดถอนใจกับการตัดสินใจของสวีซื่ออวี้ แต่วางแผนอาชีพให้สวีซื่ออวี้อย่างใจเย็นและมีเหตุผล วงพื้นที่จัดเก็บภาษีที่สำคัญอย่างไท่ชัง เกาฉุน จยาซิ่งหรือสถานที่ที่เป็นถนนสายหลักของการคมนาคมอย่างเฝินโจว เต๋อโจว ฉังโจว “…เป็นไปไม่ได้ที่จะได้เป็นหัวหน้าขุนนางเลย ไปฝึกประสบการณ์ที่เขตใหญ่ๆ เช่นนี้ก่อน จากนั้นค่อยไปอำเภอเล็กๆ ที่ร่ำรวยอย่างถงเซียง ซิ่วสุ่ย ผิงหู เพื่อเป็นขุนนางที่นั่น เมื่อภาษีสูงขึ้นก็จะมีโอกาสได้รับการเลื่อนตำแหน่งมากกว่าคนอื่นมากมาย…หรือจะเลือกอีกทางหนึ่ง ไปเป็นนายอำเภอที่อำเภอแร้นแค้นอย่างเช่นเสิ่นชิว เป่าเซิง หนานจ้าว ซึ่งเป็นเรื่องง่ายที่จะทำผลงานได้!”
สวีลิ่งอี๋พิจารณาเรื่องนี้อยู่ในห้องหนังสือเป็นเวลาสองสามวัน ในที่สุดก็ตัดสินใจให้สวีซื่ออวี้ไปสถานที่อย่างไท่ชัง เกาฉุน จยาซิ่ง
ในช่วงตรุษจีนเขาได้เดินทางไปบ้านเกิดของเฉินเก๋อเหล่าโดยเฉพาะ หลังจากตรุษจีนสวีซื่ออวี้ได้รับตำแหน่งเป็นขุนนางระดับเจ็ดที่เมืองจยาซิ่ง
ตั้งแต่ที่สวีซื่ออวี้ไม่ได้ไปเข้าร่วมการสอบราชบัณฑิตหลวง ก็มีข่าวลือทุกแบบเกิดขึ้นมาในจวนสวีราวกับต้นหญ้าที่งอกเงยในฤดูใบไม้ผลิก็ไม่ปาน เมื่อข่าวลือกระจายออกไป ไท่ฮูหยินนิ่งเงียบอยู่นานก่อนจะกำชับลู่จูผู้ดูแลกุญแจหีบของ “ไปเอาเครื่องประดับของข้ามา ข้าจะมอบให้ใครสักคน”
อิงเหนียงอิจฉาเป็นอย่างมาก พูดกับสวีซื่อเจี้ยที่กำลังกล่อมบุตรว่า “หากท่านแม่จะไปเยี่ยมพี่สอง พวกเราก็โวยวายขอไปด้วยเถิด!”
สวีซื่อเจี้ยหัวเราะ “ข้าไม่กล้าหรอก หากจะพูด เจ้าก็ไปพูดเองเถิด!”
“ข้าพูดเองก็ได้เจ้าค่ะ” อิงเหนียงจ้องเขาแล้วพูดว่า “เมื่อถึงเวลานั้นท่านอย่ามารั้งข้าก็แล้วกัน”
มีสาวใช้น้อยวิ่งเข้ามารายงาน “คุณชายน้อยสี่มาเจ้าค่ะ!”
สวีซื่อเจี้ยส่งจวงเกอให้อิงเหนียง อธิบายว่า “พี่สี่บอกว่าจะชวนข้าไปส่งพี่สองด้วยกัน พวกเราเตรียมจะไปกินเลี้ยงที่หอชุนซี”
“เช่นนั้นท่านก็รีบไปรีบกลับเถิด!” อิงเหนียงส่งเขาออกจากเรือน จากนั้นก็อุ้มบุตรแล้วไปที่เรือนเจียงซื่อ
เจียงซื่ออยู่ในห้องเก็บของ
เมื่อได้ยินว่าอิงเหนียงมาหา ก็วางม้วนผ้าเอาไว้แล้วเดินออกไป
อิงเหนียงให้แม่นมพาบุตรไปเล่นกับถิงเกอ ส่วนนางก็ปรึกษากับเจียงซื่อ “พี่สะใภ้สองจะไปจยาซิ่งแล้ว พวกเราจะมอบอะไรให้นางดี”
“ข้ากำลังดูของในห้องเก็บของอยู่เลย!” อิงเหนียงมีบุคลิกร่าเริงเลยเข้ากับบรรดาสะใภ้ได้ดี เจียงซื่อยิ้มแล้วพูดว่า “ที่นั่นต้องมีวัสดุผ้ามากมายอย่างแน่นอน ส่วนท่านย่ากับท่านแม่อาจจะมอบพวกเครื่องประดับให้ ข้าเลยอยากจะมอบเครื่องลายครามจากเตาเผาทางการ ที่หนานเจียงคงจะไม่มีหรอกกระมัง”
“ดีเจ้าค่ะ!” อิงเหนียงยิ้มแล้วพูดว่า “เช่นนั้นข้าก็จะมอบเครื่องลายครามเหมือนพี่สะใภ้สี่ด้วย!”
หลังจากทั้งสองคนตกลงกันเรียบร้อย ก็พากันไปที่เรือนของเซี่ยงซื่อ
ในห้องมีเสียงดังเอะอะ ผู้ดูแลหญิงของเซี่ยงซื่อสองสามคนกำลังถือรายการพร้อมอ่านชื่อสิ่งของ ส่วนสาวใช้ใหญ่สองสามคนพาสาวใช้น้อยไปจัดการเก็บของ สิ่งของทั้งหมดถูกเก็บไปแล้วครึ่งหนึ่ง ชิ่งเกอเห็นว่าที่นี่คนพลุกพล่านจึงงอแงอยากจะไปเล่นที่ห้องหลัก เห็นใครหยิบแจกันดอกเหมยมาก็อยากจะไปจับ พอมีคนหยิบถ้วยชาก็อยากจะไปดู แม่นมไม่กล้าคลาดสายตาจากเขาเลยแม้แต่นิดเดียว สาวใช้และหญิงเฒ่าทั้งหลายที่กำลังเก็บของด้วยความเหนื่อยล้าเอาแต่ตะโกนเรียก “คุณชายน้อย” ไม่หยุดปาก แต่กลับไม่เห็นเซี่ยงซื่ออยู่ที่นั่น
เจียงซื่อกับอิงเหนียงมองหน้ากัน
ป้ารับใช้คนสนิทของเซี่ยงซื่อรีบเชิญทั้งสองคนไปนั่งที่ห้องโถงบุปผาที่อยู่ด้านข้าง “คุณนายน้อยสองถูกฮูหยินสองเรียกไปที่เรือนเสาหวาตั้งแต่เช้าตรู่แล้วเจ้าค่ะ!”
******
แตกต่างจากเสียงเอะอะโวยวายในเรือนของเซี่ยงซือ ที่เรือนเสาหวานั้นเงียบสงบ เนื่องจากว่าฮูหยินสองย้ายไปที่เรือนของไท่ฮูหยินจึงเหลือแค่ป้ารับใช้งานหยาบคอยดูแลเรือนสองคน และมีสาวใช้ที่คอยรับผิดชอบทำความสะอาดห้องหนังสือสองคนต่างก็อยู่ที่เรือนพักผ่อนของเรือนเสาหวา มีเพียงเจี๋ยเซียงที่อยู่ในห้องคอยปรนนิบัติรินน้ำชา
“ตอนที่เจ้ายังเด็กน่าจะเคยได้ยินแม่ของเจ้าบอกว่า ย่าของเจ้าเอาหนังสือล้ำค่าของสกุลเซี่ยงทั้งหมดแอบมาเป็นสินสอดทองหมั้นให้ข้า” ฮูหยินสองนั่งอยู่บนเตียงหลัวฮั่นในห้องหนังสือ สีหน้าเรียบเฉย ทำให้เซี่ยงซื่อไม่เข้าใจเจตนาของนางอย่างชัดเจน
“ข้าเคยได้ยินท่านแม่พูดมาบ้าง” นางพูดอย่างตรงไปตรงมา “เนื่องจากเป็นเรื่องระหว่างผู้อาวุโส ผู้น้อยอย่างพวกเราได้ฟังก็ไม่ค่อยเข้าใจนัก…” ไม่รอให้นางพูดจบ ทันใดนั้นฮูหยินสองก็ลุกขึ้นไปที่ห้องหนังสือพลางพูดว่า “เจ้ามากับข้า!” ตัดบทสนทนาของนาง
เซี่ยงซื่อไม่กล้ารีรอ รีบตามไปทันที
ด้านทิศตะวันออกของห้องหนังสือ บนชั้นวางหนังสือโบราณนั้นว่างเปล่า แต่กลับมีกล่องไม้การบูรสองสามกล่องที่แกะสลักด้วยลวดลายคำมงคล
“นี่คือหนังสือที่ข้านำมาจากสกุลเซี่ยง” ฮูหยินสองก้าวเดินอย่างช้าๆ มือลูบลูกพลับลายแกะสลักบนกล่องไม้การบูรอย่างแผ่วเบา ท่าทางราวกับทำใจไม่ได้อย่างไรอย่างนั้น “ทั้งหมดอยู่ในนี้ ข้ามอบทั้งหมดให้เจ้า เจ้าส่งคนมาขนไปเถิด!”
เซี่ยงซื่อประหลาดใจ
ฮูหยินสองเดินออกจากห้องหนังสือไปโดยไม่แม้แต่หันหลังกลับมามอง
เซี่ยงซื่อรีบไปหาสืออีเหนียง “ท่านแม่ ข้า…ข้าควรทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
“ในเมื่อท่านป้าสะใภ้สองมอบให้ เช่นนั้นเจ้าก็รับเอาไว้เถิด!”
นี่เป็นทรัพย์สินของฮูหยินสอง นางย่อมมีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะยกให้ใคร