บทที่ 696 หลี่จิ่วเต้า ‘หวังว่าที่นี่จะเป็นรังปลามังกร!’
“สวรรค์ นี่ต้องเป็นตัวตนระดับใดกันแน่!”
“ร่างจริงมิได้มาเยือน ลำพังร่างระเบียบยังน่าพรั่นพรึงถึงเพียงนี้ กระทืบเท้าเบา ๆ จักรพรรดิเซียนทั้งหมดก็กลายเป็นหมอกเลือดเลยหรือ!”
สิ่งมีชีวิตในภพเซียนต่างสะท้านเหลือแสน หวาดผวาถึงขีดสุด
แม้ว่าร่างของท่านผู้นั้นอันตรธานไปนานแล้ว กระนั้นพวกเขาก็มิอาจสงบใจลงได้ ราวกับมีเกลียวคลื่นซัดสาด จนพวกเขาใกล้จะตายด้วยความตะลึงเต็มที!
นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นภาพร่างนี้ รวมถึงผู้นำของแต่ละตระกูล แต่ละเผ่า แต่ละลัทธิ ก็เป็นครั้งแรกสำหรับพวกเขาทั้งสิ้น
ทว่าสำหรับบรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสกลับมิใช่เช่นนั้น
พวกเขามิได้เพิ่งเคยพบครั้งแรก หากแต่เป็นการพบครั้งที่สอง
ครานั้น ท่านผู้นี้มาจากนอกภพเซียน พลังสยดสยองที่ปกคลุมอยู่นอกภพเวียนประหนึ่งเด็กที่เห็นพ่อทูนหัว พริบตาเดียวก็หดพลังทั้งหมดกลับไป มิกล้าปล่อยให้รั่วไหลออกมาสักเสี้ยว ไม่กล้ากีดขวางท่านผู้นี้เลย
สิ่งมีชีวิตตนอื่นในภพเซียนไม่รู้สึกถึงเหตุการณ์นี้ แต่พวกเขารู้สึก!
ยามพลังน่าพรั่นพรึงนอกภพเซียนหดกลับไป พวกเขาก็เกิดความรู้สึก พากันมองไปทางทิศนั้น เพราะอยากทราบว่าเกิดเรื่องใดขึ้นที่นั่น
จากนั้น พวกเขาก็ได้เห็นท่านผู้นี้!
แน่นอนว่าพวกเขาไม่เห็นรูปโฉมของท่านผู้นี้
อันที่จริง พวกเขามองเพียงปราดเดียวก็เบนสายตากลับไป ท่านผู้นี้สูงส่งเกินไป พวกเขาไฉนเลยจะกล้ามองนาน มองเพียงแวบเดียวก็เกือบเอาชีวิตพวกเขาแล้ว พวกเขาเห็นเพียงเลือนรางเท่านั้น
ทว่าผู้นำและประมุขของแต่ละตระกูล แต่ละเผ่า แต่ละลัทธิคิดว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาได้เห็นท่านผู้นี้ ส่วนจักรพรรดิเซียนอาวุโสคิดว่าพวกเขาเห็นท่านผู้นี้เป็นครั้งที่สอง
แต่จริง ๆ แล้ว เป็นการเข้าใจที่ผิดทั้งหมด
ผู้นำและประมุขของแต่ละตระกูล แต่ละเผ่า แต่ละลัทธิมิได้พบพานเป็นครั้งแรก หากแต่เป็นครั้งที่สอง
บรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสก็มิได้พบพานเป็นครั้งที่สอง หากแต่เป็นครั้งที่สาม
เพียงแต่พวกเขาไม่รู้ตัวเท่านั้น
ครานั้น หลี่จิ่วเต้าพาซ่างกวนอิ๋งบุกไปยังตระกูลและลัทธิต่าง ๆ เพื่อขอ ‘ยืม’ วิชา ‘ยืม’ ประสบการณ์ฝึกตนจากแต่ละตระกูล แต่ละเผ่า แต่ละลัทธิให้ซ่างกวนอิ๋ง
แต่ถึงคราวหลี่จิ่วเต้ากลับ ก็เคยสั่งให้ห้วงเวลาย้อนกลับจนถึงช่วงที่เขามิเคยปรากฏตัว
ผู้นำและประมุขของแต่ละตระกูล แต่ละเผ่า แต่ละลัทธิ และบรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสก็ลืมเลือนเหตุการณ์ครั้งนั้นไปด้วย
จะว่าลืมเลือนคงมิได้
เพราะสำหรับผู้นำและประมุขของแต่ละตระกูล แต่ละเผ่า แต่ละลัทธิ และบรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโส เหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ภาพเมื่อครั้งเขามาเยือนภพเซียนน่ากลัวเกินไป สร้างแผลใจให้กับบรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสอย่างมาก
พวกเขารู้ดีว่าเมื่อตัวเองอยู่เบื้องหน้าตัวตนระดับหลี่จิ่วเต้านั้น พวกเขาเป็นเพียงเศษสวะ ไม่มีค่าอันใด ตัวตนระดับนี้ สามารถริดรอนพลังของพวกเขาได้ในวาจาเดียว
หารู้ไม่ พวกเขาเคยประมือกับหลี่จิ่วเต้ามาแล้ว และในตอนนั้น อีกฝ่ายก็ริดรอนพลังของพวกเขาไปทั้งหมดด้วยวาจาเดียวจริง ๆ
ทว่าน่าเสียดาย ครานั้น พวกเขาไม่เห็นรูปโฉมของหลี่จิ่วเต้า มิฉะนั้น ยามบุรุษผู้นี้เข้ามา ‘ยืม’ วิชา พวกเขาไฉนเลยจะกล้าประมือกับอีกฝ่าย คงกลัวจนปัสสาวะราดไปนานแล้ว
“ทุกท่านอย่างเกร็งไป นำศพมังกรทั้งหมดมานี่”
ลั่วสุ่ยเหินเข้ามา เอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนบาง
“จะไปเดี๋ยวนี้!”
“รอสักครู่!”
บรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสเหล่านี้ไฉนเลยจะกล้าขัดขืน ต่างพากันออกคำสั่งให้คนในตระกูลนำศพมังกรที่สะสมไว้มานี่ ซ้ำยังบอกให้คนในตระกูลขนศพมังกรในสถานที่นี้มาให้หมด
พวกเขายังรอดมาได้นับว่าโชคดีมากแล้ว!
‘นี่ก็เพราะมิได้อยู่ในอาณาจักรท้องถิ่น แต่อยู่ที่ภพเซียนหรือ’
ต้าเต๋อคิดในใจ
คุณชายเคยอวยพรเขา ยามเขาเผชิญอันตราย จะมีพลังแห่งวิถีสวรรค์จุติลงมาเพื่อคุ้มครองเขา
แต่นั่นเป็นเพียงพลังที่ใช้คุ้มครองเท่านั้น ไม่มีทางเป็นฝ่ายจู่โจมก่อน
ทว่าครั้งนี้แตกต่างออกไปอย่างเห็นได้ชัด
ครั้งนี้ไม่มีพลังวิถีสวรรค์อันใด สิ่งที่ปรากฏออกมานั้นเหมือนเป็นพลังกฎระเบียบบางอย่างที่ถักทอเป็นภาพร่างคุณชาย ซ้ำยังเป็นฝ่ายบุกโจมตี ทำร้ายบรรดาจักรพรรดิเซียนอาวุโสจนกลายเป็นหมอกเลือด บาดเจ็บสาหัส
หากเป็นเมื่อก่อน พลังนั้นเพียงแต่กระเทือนจักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลเซียวออกไปเท่านั้น ไม่มีทางโจมตีจักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลเซียว และจักรพรรดิเซียนอาวุโสตนอื่น ๆ
เขารู้สึกว่าอาจเกี่ยวข้องกับที่เขามิได้อยู่ในอาณาจักรท้องถิ่น หากแต่อยู่ที่ภพเซียน
‘หรืออาจเพราะพลังแห่งคำอวยพรนั้นวิวัฒนาจน ‘ยกระดับ’!’
ต้าเต๋อคิดขึ้นในใจอีกครั้ง
ทว่าไม่นานเขาก็เลิกคิด ฝีมือของคุณชายเกินกว่าที่เขาจะจินตนาการออก เขารู้เพียงว่าเขาจะไม่เป็นไรก็พอแล้ว!
“พระอมิตาภะพุทธเจ้า เกิดอันใดขึ้นกับท่านกันแน่”
เขาเดินมาอยู่ข้างกายพระอามิตาภะพุทธเจ้าและถามออกไป
ก่อนหน้านี้ เขาเอ่ยว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าหลงในนารี ดำดิ่งจนไม่อาจหลุดพ้น แท้จริงแล้วเขาเพียงเอ่ยเล่นไปอย่างนั้น
เขารู้ในความแน่วแน่ของพระอมิตาภะพุทธเจ้าดี ท่านคือพระเถระผู้มีพลังยิ่งใหญ่ เปี่ยมด้วยสติปัญญา ไม่มีทางหลงในนารี
“ข้าเลือกไม่ได้”
พระอมิตาภะพุทธเจ้าส่ายหน้าเบา ๆ เล่าชีวิตหลังเข้ามาถึงภพเซียน
เขาเลือกไม่ได้จริง ๆ ตั้งแต่มาถึงภพเซียน ก็ถูกตระกูลกู่ชิงตัวไป ต่อมา ถูกลงผนึกของตระกูลกู่ ไม่ว่าเรื่องใดล้วนต้องเชื่อฟังตระกูลกู่
“เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
ต้าเต๋อเข้าใจทุกอย่างแจ่มแจ้ง
ขณะเดียวกัน เขาผิดหวังในภพเซียนมาก ภพเซียนมิได้งดงามอย่างที่คิด ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนอยู่ในความอลหม่าน โหดร้ายยิ่งกว่าข้างนอกนั่นเสียอีก
“พวกเจ้าอาลัยอาวรณ์ในพระผู้เป็นเจ้าของเราปานนี้เชียวหรือ ป่านนี้แล้วยังไม่คลายผนึกให้พระผู้เป็นเจ้าของเราอีก”
ต้าเต๋อมองผู้นำตระกูลกู่พลางกล่าว
ผู้นำตระกูลกู่มิได้ตอบอันใด หากแต่หันมองจักรพรรดิเซียนอาวุโสท่านหนึ่งในตระกูลกู่ของพวกนาง
จักรพรรดิเซียนอาวุโสท่านนั้นมองพระอมิตาภะพุทธเจ้าอย่างมีความหมาย สุดท้ายก็ถอนหายใจอย่างหมดเรี่ยวแรงพลางกล่าว “คลายเสีย…”
“เจ้าค่ะ!”
ผู้นำตระกูลกู่ตอบเสียงนอบน้อม ก่อนจะเดินไปอยู่ข้างกายพระอมิตาภะพุทธเจ้า คลายผนึกทั้งหมดในตัวพระอมิตาภะพุทธเจ้าออกและถอนกลับไป
“อามิตาพุทธ!”
พระอมิตาภะพุทธเจ้าพนมมือ พยักหน้าให้ผู้นำตระกูลกู่
“มีเรื่องราวอยู่นะนี่…”
ต้าเต๋อเอ่ยด้วยรอยยิ้มกว้าง เห็นสายตายามจักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลกู่ผู้นั้นทอดมองพระอมิตาภะพุทธเจ้า
“ตระกูลกู่ไม่เคยรับบุรุษ แม้กระทั่งอสูรพาหนะที่เลี้ยงดูก็เป็นตัวเมียกันทั้งสิ้น แต่กลับเอาจริงเอาจังปานนั้นเมื่อคราวชิงตัวพระผู้เป็นเจ้าของเรา ไม่สนใจสิ่งที่ต้องเสียสักนิด เป็นเพราะอะไร”
เขามองจักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลกู่ มุมปากยกยิ้มประหลาด “เจ้าสยบให้กับเสน่ห์ชายชาตรีในตัวพระผู้เป็นเจ้าของเราใช่หรือไม่ ชอบพระผู้เป็นเจ้าของเราใช่หรือไม่”
พระอมิตาภะพุทธเจ้าหันมองจักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลกู่ผู้นั้นเช่นกัน สายตาเจือไว้ด้วยความใคร่รู้
เขาก็อยากรู้ความจริงเหมือนกัน
จักรพรรดิเซียนอาวุโสแห่งตระกูลกู่ผู้นี้เป็นหนึ่งในบรรพชนผู้ก่อตั้งตระกูลกู่ สถานะสูงส่ง
จากที่เขาสืบมา ที่ในอดีตตระกูลกู่ชิงตัวเขาอย่างไม่คำนวณถึงผลลัพธ์ปานนั้น ล้วนเป็นเพราะคำสั่งจากบรรพชนท่านนี้
ส่วนที่ว่าเหตุใดบรรพชนท่านนี้ถึงต้องชิงตัวเขาโดยไม่สนสิ่งอื่นใดนั้น จนป่านนี้เขายังมิทราบ
บรรพชนตระกูลกู่ผู้นี้มิได้เอ่ยวาจา มองพระอมิตาภะพุทธเจ้าอยู่อย่างนั้นเนิ่นนาน สุดท้าย นางมองพระอมิตาภะพุทธเจ้าพลางกล่าว “เจ้าลืมข้าไปแล้วจริง ๆ หรือ”
“ท่านหมายความว่าอย่างไร”
พระอมิตาภะพุทธเจ้าขมวดคิ้ว ในอดีตพวกเขาเคยเป็นสหายมาก่อนหรือ
“นั่นสินะ เจ้าจำข้าได้ที่ไหน เจ้าฝักใฝ่ทางธรรมมาโดยตลอดนี่!”
จู่ ๆ บรรพชนตระกูลกู่ก็หัวเราะราวกับเสียสติ แล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่ผ่านมา
ข่าวลือเกี่ยวกับตระกูลกู่ในภพเซียนนั้นไม่ผิด ทุกอย่างคือความจริง
ตระกูลกู่ชิงชังบุรุษทุกผู้เพราะเคยมีบรรพชนท่านหนึ่งต้องเสียใจเพราะความรักจริง ๆ และบรรพชนท่านนั้นก็คือนาง
ผู้ที่ทำให้นางเสียใจก็คือพระอมิตาภะพุทธเจ้า!
“อะไรนะ!”
พระอมิตาภะพุทธเจ้าสะท้านไปทั้งตัว คิดไม่ถึงเลยว่าเขาเคยมีอดีตเช่นนี้ด้วย ทว่าเหตุใดเขาถึงจำมิได้เลยเล่า?
“ยามนั้น เราทั้งคู่ยังอ่อนเยาว์ รักใคร่ชอบพอกัน วาดฝันถึงอนาคตอยู่เต็มทรวง…”
บรรพชนตระกูลกู่ตกอยู่ในภวังค์ความทรงจำ
ครานั้นพิศวงลางร้ายยังไม่ปะทุ ภพเซียนยังไม่มีอยู่ นางกับพระอมิตาภะพุทธเจ้ายังเป็นผู้ฝึกตนน้อย ๆ ที่ไร้ชื่อเสียง
พวกเขาโตมาด้วยกัน ฝึกฝนด้วยกัน ซ้ำยังนัดแนะวันวิวาห์ไว้เรียบร้อย รอให้พวกเขาบำเพ็ญจนสำเร็จเมื่อใดจะแต่งงานกันทันที
ทว่าวันหนึ่ง จู่ ๆ พระอมิตาภะพุทธเจ้าก็เปลี่ยนไป
พระอมิตาภะพุทธเจ้าราวกับกลายเป็นคนละคน เทศนาธรรมแก่นาง ซ้ำยังบอกลานาง เอ่ยว่านับแต่นี้ไป เขาจะบำเพ็ญธรรมไปตลอดกาล ไม่มีกิเลสอื่นใดในใจอีก
สิ่งใดหรือคือธรรม?
นางไม่รู้ เพราะนั่นเป็นครั้งแรกที่นางได้ยิน
พระอมิตาภะพุทธเจ้าจากไปง่าย ๆ เช่นนั้น ไม่มีข่าวคราว นางสืบเสาะอยู่หลายคราก็ไร้ผล
ต่อมา นางยังสืบหาสิ่งที่เกี่ยวข้องกับ ‘ธรรม’ ทว่ามิมีผู้ใดรู้ว่า ‘ธรรม’ คืออะไร
กาลเวลาล่วงเลยผ่านไปอย่างยาวนาน นางบำเพ็ญจนมีความสำเร็จ กลายเป็นจักรพรรดิเซียน กระนั้นยังไม่มีข่าวคราวใดของพระอมิตาภะพุทธเจ้า
เรื่องนี้กลายเป็นบาดแผลในใจนางไปตลอดกาล และทำให้นางเข้าใจว่า คำสาบานของบุรุษนั้นเชื่อมิได้ นางชิงชังในตัวบุรุษเป็นที่สุด และไม่ต้องการให้สมาชิกสตรีเพศในตระกูลของนางต้องประสบชะตากรรมเดียวกับนาง
นางค่อย ๆ เปลี่ยนตระกูลกู่เป็นตระกูลสตรี
ต่อมา ความพิศวงลางร้ายปะทุ ภพเซียนถูกก่อตั้งขึ้น นางจึงพาคนในตระกูลมายังภพเซียน
เดิมคิดว่าคงไม่ได้พบพระอมิตาภะพุทธเจ้าอีก แต่นางคิดไม่ถึงเลย ว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าจะมายังภพเซียน!
แต่ไหนแต่ไร นางเคยคิดว่าหากได้พบพระอมิตาภะพุทธเจ้าอีกครั้ง จะเฉือนเนื้อเลาะกระดูกบุรุษใจทรามอย่างพระอมิตาภะพุทธเจ้าเสีย
ทว่ายามพระอมิตาภะพุทธเจ้าปรากฏตัวจริง ๆ นางกลับหักใจมิได้เลย
“อามิตาพุทธ”
พระอามิตาภะพุทธเจ้าทอดถอนใจ นี่หรือคือชาติก่อนของเขา
ก่อนหน้านี้ เขาไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
นับแต่เขาจำความได้ ธรรมะก็สลักอยู่ในหัวของเขา สิ่งที่สลักมาด้วยยังมีนาม ‘พระอมิตาภะพุทธเจ้า’
หลังจากนั้น เขาก็ก้าวสู่เส้นทางบำเพ็ญธรรม
‘อาตมาในชาติก่อน ตรัสรู้กะทันหันอย่างนั้นหรือ’ เขาคิดในใจ
‘ธรรมะมาจากแห่งหนใดกันแน่ เหตุใดถึงเลือกอาตมา’
สีหน้าของเขาเคร่งเครียด นี่เป็นเรื่องที่กวนใจเขาอยู่ตลอด
ผู้คนในใต้หล้าล้วนเข้าใจว่าเขาคือผู้สร้างธรรมะ ทว่าความจริงหาใช่เช่นนั้นไม่ เขาเป็นเพียงผู้เผยแผ่ธรรมะ ‘พระอมิตาภะพุทธเจ้า’ นั้นเป็นผู้อื่น บางที เส้นทางบำเพ็ญธรรมของเขาอาจช่วยย้อนรอยชาติก่อนของเขาได้
ปริศนาเยอะเกินไป เหตุใดจู่ ๆ เขาในชาติก่อนถึงตรัสรู้ แล้วธรรมะมาจากที่ใด ในช่วงเวลาที่เขาไม่รู้เรื่อง เกิดอันใดขึ้นกับเขา
ธรรมะนี้มิได้ธรรมดาอย่างที่คิด…
“ชีวิตคนเราในใต้หล้านี้ ต่างมีเส้นทางของตนเอง บางทีเหตุผลที่ข้าเกิดมาก็เพื่อเผยแผ่ธรรมะ ความจนใจนั้นมีอยู่เต็มไปหมด ไฉนเลยจะสมหวังไปเสียทุกสิ่ง อย่าได้มีความยึดติดในใจมากนัก ความผิดบาปมากมายในใต้หล้านี้ต่างเกิดจากความยึดติดในใจ…”
พระอมิตาภะพุทธเจ้ามองบรรพชนตระกูลกู่พลางกล่าว
เขาฝักใฝ่ในธรรม ไม่อาจรับสิ่งอื่นเข้ามาไว้ในใจได้อีก แม้จะได้รับรู้เรื่องราวต่าง ๆ ในชาติก่อนแล้ว หัวใจธรรมของเขาก็ไม่เปลี่ยน ยังต้องการบำเพ็ญธรรมให้ถึงที่สุด
ต้าเต๋อด้านข้างมิได้พูดจา เขาไปจากตรงนั้นเงียบ ๆ ให้โอกาสพระอมิตาภะพุทธเจ้าได้สนทนากับบรรพชนตระกูลกู่เป็นส่วนตัว
แต่ละตระกูล แต่ละลัทธิต่างลงมือได้รวดเร็ว ผ่านไปไม่นาน พวกเขาก็นำศพมังกรที่เก็บสะสมไว้ในแต่ละตระกูล แต่ละลัทธิออกมา ทั้งยังขนศพมังกรทุกตัวในแดนแกนกลางมาที่นี่ด้วย
พระอมิตาภะพุทธเจ้าสนทนากับบรรพชนตระกูลกู่อยู่ตลอด ต้าเต๋อไม่รู้ว่าพระอมิตาภะพุทธเจ้าสนทนาเรื่องใดกับบรรพชนตระกูลกู่
ทว่าในสายตาของเขา บรรพชนตระกูลกู่ยังปล่อยวางมิได้ สายตาที่ทอดมองพระอมิตาภะพุทธเจ้ายังคงเต็มไปด้วยความเคียดแค้น!
ที่จริงคิดแล้วก็เป็นเรื่องปกติ
บรรพชนตระกูลกู่แค้นใจมานานจนประเมินมิได้ ความชิงชังระดับนี้ไฉนเลยจะหายไปได้ง่าย ๆ…
“ไปกันเถิด”
ลั่วสุ่ยเรียกต้าเต๋อ จะกลับกันแล้ว
“รอก่อน!”
ต้าเต๋อตอบกลับลั่วสุ่ย ก่อนจะวิ่งไปหาพระอมิตาภะพุทธเจ้าและถาม “พระผู้เป็นเจ้าจะไปกับข้าด้วยหรือไม่ หากไม่ไป ภายหลังพระผู้เป็นเจ้าคงออกจากภพเซียนได้ยากแล้ว”
ด้านนอกภพเซียนมีพลังน่าพรั่นพรึงปกคลุม หากครั้งนี้พระอมิตาภะพุทธเจ้าไม่ไปกับเขา คงยากจะออกจากภพเซียนได้อีก
“อาตมาเกิดมาเพื่อธรรมะ ทุกหนแห่งในใต้หล้านี้ล้วนเป็นแดนแห่งพุทธศาสนา ต่างต้องการให้อาตมาเผยแผ่ธรรมะ ที่นี่ก็เช่นกัน พวกเจ้ากลับไปเถิด อาตมาจะอยู่ที่นี่”
พระอมิตาภะพุทธเจ้ากล่าว
เขารู้ดีว่าหากไม่ไปตอนนี้ ต่อไปคงยากจะไปจากภพเซียนได้แล้ว
ภพเซียนมิใช่แดนสุขาวดี ภายหน้าอาจอลหม่านยิ่งกว่านี้ การที่เขาอยู่ในภพเซียนต่อมิใช่ทางเลือกที่ฉลาดนัก
กระนั้นเขาก็ยังตัดสินใจอยู่ที่ภพเซียน เผยแผ่ธรรมะ
“ก็ได้”
ต้าเต๋อมิได้เอ่ยอันใดไปมากกว่านี้ ยอมรับการตัดสินใจของพระอมิตาภะพุทธเจ้า เขากลับไปอยู่ข้างกายพวกลั่วสุ่ย แล้วไปจากภพเซียนด้วยกัน
…
“ใช่ท่านหรือไม่”
ในสถานที่หนึ่งของภพเซียน ซ่างกวนอิ๋งคุกเข่าที่พื้นด้วยความเลื่อมใส โขกศีรษะให้ร่างของหลี่จิ่วเต้าไม่หยุด
‘ท่านวางใจได้ ข้าจะพยายามฝึกฝน ไม่ให้ความช่วยเหลือที่ท่านมอบให้ต้องเสียเปล่า!’
นางเอ่ยในใจอย่างขึงขัง
…
ดินแดนหยิน เหยียนโจว แดนทักษิณทิศ ท่ามกลางเทือกเขาที่เชื่อมยาวต่อไปเรื่อย ๆ
ภายในป่าไผ่ที่เขียวขจีทุกฤดู หลี่จิ่วเต้ามือถือขวาน ตัดไผ่ออกมาไม่น้อย
เขานับดูแล้ว จำนวนของไผ่เหล่านี้กำลังดี ทำไม้ตกปลาให้พวกหลิงอินได้คนละก้าน
“เอ็นตกปลาไม่เป็นปัญหาสำหรับพวกหลิงอิน อีกอย่าง มีลั่วสุ่ยอยู่ด้วย”
หลี่จิ่วเต้าคลี่ยิ้ม มัดไผ่รวมไว้ด้วยกัน แล้วแบกไผ่เหล่านั้นไปจากที่นี่
‘ทะเลสาบแห่งนั้นดูไม่เลวจริง ๆ เพียงแต่ไม่รู้ว่าจะตกปลามังกรขึ้นมาได้หรือไม่…’ เขาคิดในใจ
‘ฮ่า ๆ ข้าหวังให้ในทะเลสาบนี้มีแต่ปลามังกร เช่นนั้น ลั่วสุ่ยคงมี ‘ขนม’ ให้กินจนพอในการเดินทางหลังจากนี้’
‘หากเป็นรังปลามังกรจริง ทุกคนตกปลาเป็นกันหมดแล้ว จะตกปลามังกรที่นี่ไปจนเกลี้ยงหรือเปล่า!’
หลี่จิ่วเต้าหัวเราะร่วน
…
ท่ามกลางอวกาศ นาวาโบราณลำหนึ่งแล่นผ่านดวงดาวต่าง ๆ อย่างรวดเร็ว
“ใกล้ถึงแล้ว ถึงเวลานั้น ทุกคนตั้งสติ ความหวังของเผ่าปลามังกรของเราอยู่ที่นั่น!”
หัวหน้าเผ่าปลามังกรเอ่ยด้วยแววตาลุกวาว
ศึกแย่งชิงในแดนบรรพโกลาหลนี้ มันมั่นใจว่าจะมีผลเก็บเกี่ยว เผ่าปลามังกรของพวกมันจักต้องแข็งแกร่งขึ้นได้แน่!
มันตื้นตันจนหัวเราะออกมาเสียงดัง คล้ายว่ามองเห็นอนาคตอันเฟื่องฟูเจิดจ้าของเผ่าปลามังกรแล้ว!