โจวเหว่ยชิงกำลังหวาดกลัวอย่างมาก เขาไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ถึงกระนั้น ไม่ว่าอย่างไรตอนนี้ก็ไม่สามารถถอยหลังได้แล้ว
หลังจากนั้นประมาณสามวินาที บนวงล้อสีทั้ง 6 สีที่ปรากฏในดวงตาของโจวเหว่ยชิง ส่วนสีดำที่แสดงถึงทักษะธาตุมืด และส่วนสีเทาที่แสดงถึงทักษะธาตุปีศาจก็ผสานเข้าด้วยกันอย่างไม่คาดฝัน ก่อเกิดเป็นความรู้สึกแปลกๆ ครอบคลุมไปทั่วร่างกายของโจวเหว่ยชิง จากนั้นเสือดำแปลกประหลาดที่มีปีกงอกออกมาจากหลังก็ปรากฏตัวขึ้นในจิตใต้สำนึกของเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้ปากของมันกำลังอ้ากว้างราวกับว่าพยายามจะกลืนกินอะไรบางอย่าง
สิ่งที่โจวเว่ยชิงไม่รู้ก็คือตอนนี้ลวดลายสีดำเทากำลังเริ่มแผ่ขยายรูปร่างออกมาจากไหล่ขวาของเขาและเลื้อยไปตามแขน ในช่วงไม่กี่อึดใจมันก็ไปถึงข้อมือขวา
ต่อจากนั้น ม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ที่กำลังกลืนกินปราณสวรรค์ของเขาอยู่ก็พลันหยุดชะงักกระทันหัน โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าจุดตายไท่หยวนตรงข้อมือซึ่งเป็นหนึ่งในสี่จุดตายที่เขาได้ทะลวงไปแล้วนั้น จู่ๆ ก็เปิดอ้าออกกว้างราวกับปากขนาดใหญ่ ทันใดนั้นแสงจากม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ก็ผลุบหายเข้าไปข้างในราวกับว่าถูกปากนั้นดูดกลืนเข้าไป
เนื่องจากแสงสว่างจากม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์นั้นจ้าเกินไป ทำให้เฟิงหยูไม่ทันสังเกตเห็นลวดลายสีดำที่แขนของโจวเหว่ยชิง และแน่นอนว่าลวดลายนั้นก็หายไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้นทันที อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังทันได้เห็นร่างกายของโจวเหว่ยชิงผสานเข้ากับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์จนสำเร็จ และนั่นทำให้เขาถึงกับอ้าปากค้าง
จู่ๆ ความรู้สึกที่ไม่สามารถอธิบายได้ก็เกิดขึ้นในใจของโจวเหว่ยชิง หลังจากวงล้อทั้ง 6 สีได้กลืนกินแสงจากม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์เข้าไปอย่างสมบูรณ์แล้ว ในวินาทีต่อมามันกลับคืนสู่สภาพเดิม โจวเหว่ยชิงรู้สึกราวกับว่ามณียุทธ์ของตนมีชีวิตใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง เด็กหนุ่มรู้สึกว่าตนกลายเป็นส่วนหนึ่งกับมัน และความแข็งแกร่งที่เข้ามาเติมเต็มในร่างก็ทำให้จิตวิญญาณของเขาราวกับถูกกระตุ้น
เสียงครางต่ำๆ ดังสะท้อนออกมาจากตัวของโจวเว่ยชิง เขาเหลือพลังปราณสวรรค์แค่ 1 ใน 3 ส่วน แต่พวกมันก็กำลังไหลเข้าไปยังมณียุทธ์หยกน้ำแข็ง กลิ่นอายความชั่วร้ายพวยพุ่งออกมาจากบริเวณข้อมือของเขา จากนั้นมณียุทธ์ก็แยกตัวออกมาจากข้อมือของเขาก่อนจะตกลงไปในฝ่ามือ
โจวเหว่ยชิงกำมณียุทธ์นั้นไว้จนกระชับแน่น ทันใดนั้น ลำแสงสีขาวสองสายก็ยืดขยายรูปร่างออกมาจากฝ่ามือของเขาเป็นเส้นโค้งพร้อมกันสองทิศทาง จากนั้นพวกมันก็เปลี่ยนรูปร่างกลายเป็นคันธนูยาวกว้าง 1.5 เมตร ซึ่ง…ไร้สายธนู
หากเปรียบเทียบกับภาพที่เห็นก่อนหน้านี้ คันธนูนี้ให้ความรู้สึกราวกับเป็นสิ่งของที่จับต้องได้จริง ตัวคันธนูดูเหมือนว่าถูกแกะสลักมาจากหยกน้ำแข็ง มันส่องแสงเป็นประกายงดงาม ล้อมรอบไปด้วยหมอกน้ำแข็งที่เปล่งแสงแวววับ รูปร่างเพรียวลมของมันให้ความรู้สึกราวกับสัตว์ร้ายทรงพลังที่ถูกปล่อยออกมาจากกรงขัง
โจวเหว่ยชิงยกธนูราชันย์ขึ้นมาดู ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกว่าแขนของตนเองสามารถเชื่อมต่อกับธนูนี้ได้อย่างมหัศจรรย์ นั่นทำให้เขารู้สึกตกหลุมรักธนูนี้เป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มจะชื่นชอบม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์โล่ซวนอู่มาก แต่หลังจากที่เขาหลอมรวมเข้ากับธนูราชันย์ได้สำเร็จ หัวใจก็เต็มตื้นไปด้วยความรู้สึกพึงพอใจอย่างถึงที่สุด
“ท่านผู้อาวุโส เป็นไปได้ด้วยหรือที่คันธนูจะไม่มีสายธนู?” โจวเหว่ยชิงมองธนูราชันย์ในมือของเขาก่อนจะถามด้วยความสงสัย
เฟิงหยูตอบกลับด้วยน้ำเสียงตกใจเล็กน้อย “เจ้าจำเป็นต้องเติมปราณสวรรค์เข้าไปที่มณีอีก หากเจ้าเพิ่งมาถึงระดับที่ 4 ของพลังปราณสวรรค์ เจ้าจะต้องใช้ปราณสวรรค์อย่างน้อยครึ่งหนึ่งเพื่อที่จะสร้างคันธนูนี้ให้สมบูรณ์ จำไว้ว่าแม้แต่สายธนูก็ต้องการพลังปราณสวรรค์เพื่อสร้างมันขึ้นมา”
โจวเหว่ยชิงกล่าวตอบเมื่อตระหนักได้แล้ว “ข้าเข้าใจแล้ว ปราณสวรรค์ของข้าไม่เพียงพอที่จะสร้างสายธนู เอาเถอะ ไว้ข้าจะลองสร้างอีกทีภายหลังละกัน” ขณะที่เขาถอนพลังปราณสวรรค์คืนกลับไป ธนูราชันย์ก็คืนร่างกลายเป็นมณียุทธ์หยกน้ำแข็งลอยวนอยู่เหนือข้อมือของเขาตามเดิมเช่นกัน อย่างไรก็ตาม ในขณะนี้ประสิทธิภาพของมณียุทธ์ก็ลดลงไปมากเนื่องจากโจวเหว่ยชิงไม่เหลือพลังปราณสวรรค์มากนัก
“ดูเหมือนว่าการหลอมรวมมณียุทธ์เข้ากับศาสตรามณียุทธ์จะไม่ยากขนาดนั้นเลยนี่? ดูสิ ข้าเพิ่งทำสำเร็จไปเอง” โจวเหว่ยชิงกล่าวด้วยความพึงพอใจอย่างมากขณะเขาเรียกคืนมณีของตนกลับไปเข้าที่
“เด็กน้อย! เจ้ามันไม่ใช่มนุษย์แล้ว!” เฟิงหยูโพล่งลมหายใจที่เขากลั้นไว้ออกมาขณะจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
โจวเหว่ยชิงก็จ้องเขากลับด้วยตาที่เบิกกว้างเช่นเดียวกัน “ผู้อาวุโส เหตุใดต้องด่าข้าด้วยเล่า?”
เฟิงหยูตอบด้วยรอยยิ้มขื่นขม “ข้าไม่ได้ด่าเจ้า ข้าชื่นชมเจ้าต่างหาก! เจ้าคิดว่าการหลอมรวมมณียุทธ์กับศาสตรามณียุทธ์นั้นง่ายดายนักหรือ? แม้ข้าจะมีมณียุทธ์ครบทั้ง 9 ดวงแล้ว แต่ข้าก็ไม่คิดว่าการหลอมรวมมณียุทธ์กับศาสตรามณียุทธ์นั้นง่ายดายเลย เหตุผลที่แม่นางน้อยภรรยาเจ้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อพบกับตาแก่ฮูเหยียนก็เป็นเพราะว่าอาจารย์ศาสตรามณียุทธ์ระดับปรมาจารย์เช่นเขานั้นสามารถรับประกันความสำเร็จที่แน่นอนในการหลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์ได้ ถึงแม้ว่าจะแพงไปหน่อยก็ตามทีเถอะ อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นอย่างนั้น ในคัมภีร์ 100 ใบก็ยังรับประกันว่าอาจจะสำเร็จสักใบ แต่ข้าก็ยังไม่เคยเห็นใครสามารถหลอมรวมกับม้วนคัมภีร์ศาสตรามณียุทธ์ได้สำเร็จภายในการทดลองครั้งแรกเช่นเจ้ามาก่อน ยิ่งไปกว่านั้น นี่เป็นครั้งแรกที่เจ้าหลอมรวมเข้ากับศาสตรามณียุทธ์ด้วยซ้ำ สวรรค์ นี่เป็นเรื่องที่เกินกว่าการหยั่งรู้ของข้าแล้ว!”
โจวเหว่ยชิงกรุ่นคิดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คิดว่าตนเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดแล้ว เขาเดาว่าเหตุผลที่ทำให้ตนเองประสบความสำเร็จอาจเป็นเพราะทักษะธาตุทั้ง 6 ของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทักษะธาตุในส่วนสีดำและสีเทาที่กลืนกินซึ่งกันและกัน ทว่าเด็กหนุ่มก็ยังไม่ต้องการเปิดเผยความลับข้อนี้ ดังนั้นเขาจึงยิ้มและกล่าว “ท่านไม่ได้บอกว่าอัตราความสำเร็จของการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ของผู้อาวุโสฮูเหยียนคือ 1 ใน 100 ส่วนหรือ? ดังนั้นมันจึงเป็นไปได้ที่ 1 ส่วนที่ว่านั่นจะสามารถเกิดขึ้นในครั้งที่ 1 หรือครั้งที่ 100 นั่นไม่ใช่เรื่องปกติหรอกหรือ?”
เฟิงหยูกล่าวอย่างทำตัวไม่ถูก “นั่นเป็นความจริงที่ตำราเขียน แต่จากประสบการณ์ 60 ปีของข้านั้น ข้ายังไม่เคยเห็นหรือได้ยินใครที่ประสบความสำเร็จในการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์ภายในครั้งแรกเลยสักครั้ง”
“60 ปี? ผู้อาวุโส ท่านล้อข้าเล่นกระมัง?” โจวเหว่ยชิงกล่าวอย่างค่อนข้างตกใจ ดูจากรูปร่างภายนอกของเขา อย่างมากก็มีอายุได้ประมาณ 40 ปีเท่านั้น
เฟิงหยูหัวเราะ จากนั้นชายหนุ่มก็เอ่ยตอบ “เด็กน้อย อายุที่แท้จริงของข้านั้นน้อยกว่าตาแก่ฮูเหยียนเพียงหนึ่งปีเท่านั้น เจ้าคิดว่าเหตุใดเขาถึงเรียกข้าว่าตาแก่เฟิงหยูเช่นกันเล่า เจ้านั่นอายุ 75 ปี ส่วนข้าอายุ 74 ปี หากเปรียบเทียบกันแล้ว จ้าวมณียุทธ์อาจจะพ่ายแพ้แก่จ้าวมณีธาตุในระดับขั้นเดียวกัน แต่สิ่งที่เป็นข้อได้เปรียบที่สุดคือจ้าวมณียุทธ์มีพลังต่อต้านความแก่ชรา เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่พวกเราจ้าวมณียุทธ์มีคือพลังการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแกร่ง ในขณะที่จ้าวมณีธาตุนั้นมีพลังกำกับควบคุมพลังธาตุ อย่างไรก็ตาม ตราบใดที่เจ้าเป็นจ้าวมณี เจ้าก็จะมีอายุขัยอย่างน้อย 150 ปี ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ที่มีอายุขัยมากกว่าเจ้ามณีทั่วไปเสียอีก และยังมีจ้าวมณีสวรรค์เช่นเจ้าที่มีอายุมากกว่า 200 ปีแต่มีพลังแข็งแกร่ง และน่าเกรงขามเป็นอย่างยิ่ง พวกเขากระทืบเท้าหนึ่งที มหาสมุทรทั้ง 4 ยังต้องสะเทือน หนทางการฝึกตนของเจ้านั้นยังอีกยาวไกลเหลือเกิน เพราะฉะนั้นระหว่างทางเจ้าจะต้องตั้งใจและทุ่มเทให้มากกว่านี้”
หลังจากได้ยินเช่นนั้น โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างยิ่ง “เพราะฉะนั้น จ้าวมณีสวรรค์เลยมีอายุขัยนานกว่าคนอื่นงั้นหรือ นี่ข้าได้รับประโยชน์จากการเป็นจ้าวมณีสวรรค์เยอะมากเสียจริง เอาล่ะ ท่านผู้อาวุโส ข้าขอเก็บม้วนคัมภีร์อีก 99 ใบนี้ไว้ได้หรือไม่ขอรับ?”
เฟิงหยูส่งกล่องไม้โจวเหว่ยชิง ก่อนจะพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “เฮ้ เจ้าหนู รู้ไหมว่าทำไมข้าถึงชอบเจ้า?”
“ทำไมล่ะขอรับ?” โจวเหว่ยชิงหยิบกล่องไม้อย่างระมัดระวังแล้วปิดมัน จากนั้นก็เก็บลงในกระเป๋าของเขาทันที
เฟิงหยูตอบ “เพราะเจ้าไม่เสแสร้ง ตัวโกงที่แท้จริงย่อมเผยธาตุแท้ ดีกว่าสุภาพชนที่ปากว่าตาขยิบ ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าก็ยังไม่ใช่ตัวโกงที่แท้จริงอีกด้วย แต่ยังไงซะ ข้าก็ย่อมอยากรู้อยากเห็นว่าคนอายุน้อยๆ อย่างเจ้าเรียนรู้ทักษะเจ้าเล่ห์เพทุบายขนาดนี้มาจากผู้ใด?”
ในหัวของโจวเหว่ยชิงมีภาพชายชราเจ้าเล่ห์คนหนึ่งผุดวาบขึ้นมาทันที แต่แน่นอนว่าคนๆ นั้นไม่ใช่บิดาของเขา เด็กหนุ่มแย้มยิ้มและพูดว่า “นั่น…ข้าบอกไม่ได้ขอรับ”
……………………………………………………