“ทำไมถึงมีทหารละทิ้งหน้าที่?” ผู้บัญชาการกองร้อยบางคนถามอย่างสงสัย
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และเซียวเซ่อจดจำโจวเหว่ยชิงได้ในทันที เซียวเซ่อจึงยิ้มและกล่าวว่า “โธ่เอ๋ย… นั่นไม่ใช่ผู้ช่วยส่วนตัวของผู้บัญชาการกองพันหรอกหรือ? เกิดอะไรขึ้นกับเขา? ทำไม …”
ก่อนที่เซียวเซ่อจะพูดจบ สีหน้าของผู้บัญชาการกองร้อยทั้งหมดก็เปลี่ยนไปทันที นั่นเป็นเพราะโจวเหว่ยชิงที่กำลังวิ่งหนีไปทางด้านหลังนั้นกำลังถูกลูกธนูอย่างน้อย 30 ถึง 40 ดอกพุ่งติดตามมาจากด้านหลังของเขา และแน่นอนว่าทั้งหมดนั้นพุ่งเป้าไปที่เด็กหนุ่มอย่างชัดเจน
อย่างไรก็ตาม ราวกับว่าโจวเหว่ยชิงมีตาอีกดวงอยู่ข้างหลัง ขณะที่พุ่งไปข้างหน้าได้ 7-8 เมตร เขาก็กระโดดหลบและกลิ้งตัวไปด้านข้างอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวนั้นรวดเร็วมากและประสานงานกันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ราวกับว่าก่อนหน้านี้เด็กหนุ่มได้ฝึกฝนเช่นนี้มาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน ลูกธนู 30-40 ดอกที่พุ่งเข้าหาเขา ส่วนใหญ่ก็จะพุ่งลงไปปะทะกับพื้นที่โจวเหว่ยชิงเคยอยู่ และขณะวิ่งหนีไปเรื่อยๆ เด็กหนุ่มก็สามารถหลบลูกธนูส่วนใหญ่พ้นไปได้แล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือหลังจากเขากระโดดและม้วนตัวเสร็จ ทุกคนก็ยังได้ยินเพียงเสียง ‘ผลั่วะ ผลั่วะ’ ตามหลังมา นั่นคือเสียงลูกธนูที่เพิ่งพุ่งชนเข้ากับพื้นที่ข้างหลังโจวเหว่ยชิงไปอย่างเฉียดฉิว แต่ทว่าก็ยังไม่มีธนูสักดอกที่ยิงโดนเป้าหมายอย่างเขา
เซียวเซ่อกล่าวด้วยความประหลาดใจ “เขาไปทำอะไรให้เทพเจ้าพิโรธและสวรรค์ต้องลงโทษเช่นนี้? ทำไมเขาถึงตกเป็นเป้าหมายของการระดมยิงจากฝ่ายศัตรูล่ะ?”
นักธนูจากกองพันที่ 1 และ 2 ที่พุ่งเป้าไปยังโจวเหว่ยชิงก่อนหน้านี้เป็นกลุ่มคนที่โดดเด่นที่สุดจากกองพันที่ 2 และการที่พวกเขามุ่งโจมตีไปเพียงคนๆ เดียวก็มอบโอกาสให้แก่ทหารที่เหลือของกองพันที่ 3 และ 4 จำนวน 70 คนได้ผ่อนลมหายใจเล็กน้อย อีกทั้งนี่ยังเป็นครั้งแรกที่การสูญเสียของพวกเขาต่ำกว่าคู่ต่อสู้
โจวเหว่ยชิงกลิ้งตัวห่างออกไปประมาณ 3-4 เมตร จากนั้นร่างกายก็เด้งขึ้นจากพื้นอย่างรวดเร็ว และพริบตาเดียวที่ปลายเท้าของเขาสัมผัสกับพื้น เด็กหนุ่มก็กระโดดขึ้นสูงเกือบ 1 เมตรอย่างฉับพลัน ตามด้วยเสียง ‘หวืด’ ลูกธนูอีกดอกหนึ่งก็พุ่งออกไปจากธนูอุษาม่วง
เนื่องจากโจวเหว่ยชิงเคลื่อนไหวได้ว่องไวและหลบหลีกได้อย่างคล่องตัว เขาจึงดึงดูดความสนใจของเจ้าหน้าที่ทหารทุกคนที่เฝ้าสังเกตการต่อสู้นี้อยู่ พวกเขาต่างก็ต้องการจะเห็นความแม่นยำของเด็กหนุ่มผู้นี้ชัดๆด้วยตาของตัวเอง
ท้ายที่สุดแล้ว ท่ากระโดดเช่นนี้ก็ยากมากที่จะง้างธนูขึ้นไปได้พร้อมๆกัน ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีเวลาให้เล็งเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น และเหตุผลที่เด็กหนุ่มต้องกระโดดขึ้นสูงก็เพื่อหลบหลีกไม่ให้โดนทหารทุกคนที่อยู่รอบๆนั่นเอง
“วืดดดดดดด” ราวกับว่าเมื่อใดก็ตามที่โจวเว่ยชิงขยับธนูอุษาม่วงของเขา ทหารจากฝั่งตรงข้ามก็จะต้องร่วงลงไปกับพื้น ผู้บัญชาการกองร้อยแต่ละคนมองหน้ากันอย่างงงงวย หลายคนล้วนเป็นนักธนูที่มีประสบการณ์โชกโชน ดังนั้นเมื่อตรวจสอบด้วยสายตาตนเอง พวกเขาก็ระหนักได้ว่าหากตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกับโจวเหว่ยชิง แม้แต่พวกเขาเองก็อาจจะทำได้ไม่ดีไปกว่าด้วยซ้ำ
ผู้บัญชาการกองร้อยที่รับผิดชอบในการกำกับควบคุมกองพันที่ 1 และ 2 นั้นมีประสบการณ์มาก หลังจากค้นพบทักษะอันยอดเยี่ยมของโจวเหว่ยชิง เขาก็เปลี่ยนเป้าหมายอีกครั้ง โดยครั้งนี้ชายหนุ่มสั่งให้รอบต่อไปมุ่งเป้าไปที่ทหารที่เหลือทั้งหมดในกองพันที่ 3 และ 4 แทน ซึ่งแผนของเขาก็ง่ายมาก เนื่องจากโจวเหว่ยชิงนั้นมีความแม่นยำสูง ผู้บัญชาการกองร้อยจึงจะต้อง ‘ฆ่า’ คนอื่นๆ ให้หมดเสียก่อนแล้วเหลือเขาไว้เป็นคนสุดท้าย เพื่อจะได้ให้ทหารทั้งหมดพร้อมใจกันเล็งไปที่โจวเหว่ยชิงคนเดียวในตอนสุดท้าย ทันใดนั้น ความโชคร้ายตกใส่หัวของทหารใหม่ที่เหลือทั้งหมดของกองพันที่ 3 และ 4
ราวกับว่าได้รับการกระตุ้นครั้งใหญ่จากความสามารถของโจวเหว่ยชิง นักธนูจากกองพันที่ 1 และ 2 ต่างก็หึกเหิมที่จะแสดงความแม่นยำของตนออกมา แต่เดิมกองพันที่ 3 และ 4 นั้นเหลือทหารเพียง 70 นายอยู่แล้ว และหลังจากการระดมยิงครั้งนี้ ทหารจำนวน 40 นายก็ต้องออกจากสนามไปอย่างคาดไม่ถึง ขณะที่อีกด้านหนึ่ง ฝั่งของกองพันที่ 1 และ 2 ทหารใหม่ 80 นายกำลังยืนอยู่อย่างมั่นคง และนั่นก็กลายเป็นภาพความแตกต่างอย่างชัดเจนของทั้งสองฝั่ง
โจวเหว่ยชิงเห็นว่าฝ่ายตรงข้ามเบี่ยงเบนความสนใจไปจากเขาแล้ว ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงพยายามใช้เวลานี้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตาม ก็เหมือนกับที่ผู้บัญชาการกองร้อยผู้กำกับสั่งการกองพันที่ 1 และ 2 ได้ตัดสินใจก่อนหน้านี้ ไม่ว่าโจวเหว่ยชิงจะแม่นยำเพียงใด เขาก็มีเพียงแค่คนเดียว ในขณะที่ทหารใหม่ของกองพันที่ 3 และ 4 กำลังถูกกำจัดทิ้งไปเรื่อยๆ ฝ่ายตรงข้ามก็ยังคงมีคนเหลือมากกว่า 50 คน
“ชิบ หาย แล้ว!!!!” เมื่อมองไปยังห่าธนูซึ่งกำลังลอยละลิ่วมาทางเขา โจวเหว่ยชิงก็หันหลังออกวิ่งอีกครั้ง ในใจพลันรู้สึกมืดมนเป็นอย่างยิ่ง ฝีมือของทหารทั้งสองฝ่ายนั้นแตกต่างกันมากเกินไป อย่างน้อยเขาก็ฆ่าศัตรูไปแล้ว 16-17 คนด้วยตนเอง แต่ตอนนี้ฝั่งตรงข้ามก็ยังคงเหลืออยู่ตั้งเกือบ 50 คน นี่มันเป็นไปได้อย่างไร?
ผู้บัญชาการกองร้อยจากกองพันที่ 1 ตะโกนออกมาเสียงดัง “เล็งไปที่ไอ้หมอนั่น แล้วยิงเขาให้ได้! ใครที่จัดการมันลงได้ บิดาจะมอบรางวัลนักธนูที่ดีที่สุดให้กับเจ้าวันนี้!”
ในเวลานี้โจวเหว่ยชิงไม่เหลือทหารคนอื่นๆ มาไว้กำบังเขาอีกต่อไป และสถานการณ์ก็ยิ่งอันตรายขึ้นกว่าเดิมมาก ลูกธนูจำนวนมหาศาลที่พุ่งลงมาจากท้องฟ้ากำลังครอบคลุมสนามรบไว้ราวกับเป็นตาข่ายลูกปืนใหญ่ สำหรับโจวเหว่ยชิง ลูกธนูพวกนี้ยากมากจะหลบพ้นเหมือนอย่างที่เขาเคยทำก่อนหน้านี้
แม้เด็กหนุ่มจะไม่ได้ใช้มณีสวรรค์ แต่สถานการณ์ในขณะนี้ก็แสดงให้เห็นถึงร่างกายที่แข็งแกร่งเหนือกว่าคนทั่วไปของโจวเหว่ยชิง หลังจากมณีของเขาตื่นขึ้นมา ตอนนี้ความเร็วและความแข็งแกร่งของเขาก็ไปไกลเกินกว่าทหารธรรมดาเหล่านั้นแล้ว เด็กหนุ่มวิ่งไปรอบๆ พร้อมกับสลับทิศทางไปมาอย่างไม่หยุดหย่อน พยายามที่จะไม่วิ่งไปในทิศทางที่สามารถคาดเดาได้เพื่อให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถยิงโดนตัวเขา
อย่างไรก็ตาม สำหรับทหารจากกองพันที่ 1 และ 2 ที่เล็งเขาเป็นเป้าหมายนั้น พวกนั้นไม่เพียงต้องใช้สายตาเล็งเท่านั้น แต่ยังต้องหยุดชะงักครู่หนึ่งก่อนจะยิงออกไปอีกด้วย หลังจากโจวเหว่ยชิงพยายามวิ่งหนีไปทางด้านหลังสนามรบฝั่งตน และหลบหลีกหนีห่าลูกศรจากฝั่งตรงข้ามด้วยความยากลำบากได้ถึง 2 รอบ ระยะห่างระหว่างทั้งสองฝั่งก็กว้างขึ้นเป็นประมาณ 300 หลา ระยะทางนี้ไกลเกินกว่ารัศมีการยิงของทหารใหม่ผู้โดดเด่นเหล่านั้นแล้ว และพวกเขาทำได้เพียงแค่ยิงขึ้นไปบนอากาศให้สูงขึ้นเพื่อให้ลูกศรเหล่านั้นตกลงไปครอบคลุมพื้นที่ที่โจวเหว่ยชิงยืนอยู่เท่านั้น
โจวเหว่ยชิงฉวยโอกาสนี้หอบหายใจเฮือกใหญ่ จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ วิ่งไปพลางยิงธนูออกไปพลาง สุดท้ายก็สามารถจัดการกับศัตรูได้อีก 7-8 คน
“นี่เขากำลังเล่น ‘ยิงจำกัดระยะห่าง’ กับพวกนั้นอยู่เหรอ? ทหารใหม่คนนี้แข็งแกร่งเกินไปแล้วจริงๆ ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ท่านพูดก่อนหน้านี้ว่าเขาเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของผู้บัญชาการกองพัน? เด็กคนนั้นค่อนข้างยอดเยี่ยมเลยที เดียว!” ผู้บัญชาการกองร้อยคนหนึ่งยืนที่อยู่ข้างๆ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์อดไม่ได้ที่จะร้องอุทานออกมาอย่างชื่นชม
‘การยิงจำกัดระยะห่าง’ นั้นเป็นกลยุทธ์แบบยิง และวิ่งหนีประเภทหนึ่งที่นักธนูใช้กันอย่างมีประสิทธิภาพ แต่โดยทั่วไปแล้วมักจะใช้เพื่อจัดการกับหน่วยโจมตีระยะประชิด โดยใช้ประโยชน์จากระยะห่างที่ตนได้เปรียบกับศัตรูเพื่อป้องกันไม่ให้ศัตรูเข้าใกล้ได้ อย่างไรก็ตาม โจวเหว่ยชิงนั้นพึ่งพาความแข็งแกร่งและพลังของธนูอุษาม่วงร่วมด้วย เขาทั้งใช้ความประโยชน์จากความแตกต่างระหว่างพรสวรรค์ของเขา และระยะทางที่ได้เปรียบเพื่อ ‘ยิงจำกัดระยะห่าง’ กับฝ่ายตรงข้าม นั่นทำให้ทหารอาวุโสเหล่านี้ประทับใจและชื่นชมในตัวเขาเป็นอย่างมาก
หนึ่งในผู้บัญชาการกองร้อยของกองพันธนูที่ 1 อดไม่ได้ที่จะกล่าวว่า “ผู้บัญชาการกองพันซ่างกวน ยกน้องชายคนนี้ให้พวกเราเป็นอย่างไร? ไม่ต้องเอ่ยถึงตำแหน่งนายหมู่เลย ด้วยความสามารถของน้องชายคนนี้ เขาสามารถเป็นรองผู้บัญชาการกองร้อยของข้าได้เลย”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยิ้มอย่างแผ่วเบา นึกในใจว่าอ้วนน้อยโจวนั้นเป็นถึงจ้าวมณีสวรรค์ อย่าพูดถึงตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองร้อยของเจ้าเลย หากข้ารายงานเรื่องสถานะจ้าวมณีสวรรค์ของเขา ตำแหน่งรองผู้บัญชาการกองพันก็ยังอาจไม่พอด้วยซ้ำ
“สุภาพบุรุษย่อมไม่ยื้อแย่งของรักของผู้อื่น[1] ผู้บัญชาการกองร้อยลี่ ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้”
เซียวเซ่อยืนยิ้มอยู่ข้างๆ และพูดว่า “นั่นหมายความว่าผู้บัญชาการกองพันตกหลุมรักเขาใช่หรือไม่?”
สีหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์เปลี่ยนเป็นเย็นชา “ผู้บัญชาการกองร้อยเซียว ให้ความเคารพตนเองบ้างเถิด”
ผู้บัญชาการกองร้อยคนอื่นๆ รับรู้ได้ถึงความขุ่นเคืองใจระหว่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ และเซียวเซ่อ พวกเขาจึงไม่ได้พยายามพูดแทรก เมื่อมาถึงจุดนี้ ผู้บัญชาการกองร้อยลี่จากกองพันที่ 1 กล่าวอย่างสงสัยว่า “นั่นเจ้าอ้วนน้อยโจวกำลังทำอะไรอยู่? เขากำลังจะไปถึงป่าที่สามารถให้ที่กำบังแก่ตนเองได้ ทำไมเขาถึงหันหลังวิ่งกลับมาซะอย่างนั้น?”
ขณะที่ผู้บัญชาการกองร้อยลี่กล่าว โจวเหว่ยชิงก็วิ่งออกไปไกลได้ไกลมากแล้ว อีกทั้งเขายังสามารถเพิ่มระยะห่างได้มากขนาดนั้นแท้ๆ แต่ตอนนี้เด็กหนุ่มกลับกำลังหันหลังและวิ่งกลับไปหากองพันที่ 1 และกองพันที่ 2 อย่างไม่มีใครคาดคิดเพื่อเผชิญหน้ากับทหารมากกว่า 40 นาย
คนอื่นๆ ต่างก็ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เซียวเซ่อกลับเข้าใจสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว “เขาไม่มีลูกธนู!”
……………………………………………….
[1]สุภาพบุรุษย่อมไม่ยื้อแย่งของรักของผู้อื่น แปลว่า ไม่ควรฉกชิงของรักของคนอื่น