ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ส่งเสียงในลำคออย่างเย็นชา จากนั้นก็มองไปที่เขาสลับกับเซียวหรูเซ่อ หลังจากความรู้สึกเขินอายในจิตใจของเธอสงบลงได้ครู่หนึ่ง เธอก็เปิดปากถามอย่างสงสัย “เจ้าสองคน…?” เธอรู้เช่นกันว่าโจวเหว่ยชิงไม่ได้ตั้งใจให้เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เธอจึงไม่ได้ตำหนิเขา
เซียวหรูเซ่อเงยหน้ามองท้องฟ้าอย่างไม่รู้ไม่ชี้ ราวกับว่าเธอไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสักครู่แม้แต่น้อย โจวเหว่ยชิงยิ้มกว้าง และพูดว่า “ข้ากำลังพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้บัญชาการกองร้อยเซียวอยู่ หลังจากเราต่อสู้กันไปก่อนหน้านี้ พวกเราก็ตระหนักว่าเราทั้งคู่เคยเป็นเพื่อนเล่นวัยเด็กกันมาก่อน หลังจากนั้นปัญหาเกิดก็ขึ้นกับร่างกายของข้าเหมือนที่ท่านเห็น…”
“แต่ข้าเพิ่งได้ยินเจ้าเรียกเขาว่า “พี่หญิง” เมื่อกี้นี้!”
โจวเหว่ยชิงมองตาของเซียวหรูเซ่อ เขาเห็นคำเตือนทางสายตาจึงเข้าใจได้ในทันที “ผู้บัญชาการกองพัน ท่านไม่คิดว่าใบหน้าของผู้บัญชาการกองร้อยเซียวดูงดงามเหมือนหญิงสาวหรอกหรือ? เขารูปร่างหน้าตาเหมือนผู้หญิงเป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กแล้ว เพื่อนๆ ของเราทุกคนเรียกเขาว่าพี่สาว นี่เป็นชื่อเล่นลับๆ ของเขาเลยเชียวล่ะ!”
ลมหายใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ค่อยๆ กลับมาคงที่ เธอพูดอย่างเคร่งขรึม “แล้วเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าก่อนหน้านี้? ทำไมอยู่ๆ เจ้าถึงคลุ้มคลั่งขึ้นมาอีก?”
โจวเหว่ยชิงพูดอย่างจนปัญญา “ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! จู่ๆ ร่างกายของข้าก็เริ่มเย็นลง ข้ารู้สึกเจ็บปวดทรมาณไปทั่วร่าง หลังจากนั้นข้าก็จำไม่ค่อยได้แล้วว่าแล้วว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กรุ่นคิดซักพัก ทันใดนั้นการแสดงออกของเธอเปลี่ยนไปอย่างฉับพลันเธอร้องอุทานว่า “หรือว่านี่จะเป็นสถานะปีศาจกลายร่าง?”
ทั้งโจวเหว่ยชิงและเซียวหรูเซ่อเผยใบหน้าประหลาดใจออกมาพร้อมกัน จากนั้นทั้งคู่ก็ถามออกมา “สถานะปีศาจกลายร่างคืออะไร?”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าว “อ้วนน้อยโจว เจ้าจำไม่ได้หรือ? ข้าเคยบอกเจ้าแล้วเกี่ยวกับพวกจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุปีศาจเช่นเดียวกับเจ้า การที่ทักษะธาตุปีศาจตื่นขึ้นอาจทำให้พวกเขามีสภาพจิตใจไม่มั่นคง และในที่สุดพวกเขาก็อาจกลายเป็นปีศาจจ้าวมณีสวรรค์ที่มีจิตใจชั่วร้ายได้”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ข้าจำได้! และท่านยังบอกว่าอาการเหล่านี้เกิดจากการตื่นขึ้นของมณีสวรรค์ และพวกเขามักจะฆ่าคนใกล้ชิดเช่นสมาชิกในครอบครัว โดยที่ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้”
ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แดงขึ้น เธอนึกถึงคืนวันนั้นขึ้นมาทันที และไม่สามารถปฏิเสธคำพูดของเขาได้จริงๆ แน่นอนว่าถ้าโจวเหว่ยชิงควบคุมตนเองไม่ได้มากพอ เธอก็จะต้องตายไปในวันนั้นและกลายเป็นเครื่องสังเวยให้กับมณีสวรรค์ของเขาอย่างแท้จริง
“ข้าได้ยินมาว่าในบรรดาจ้าวมณีสวรรค์ที่ครอบครองทักษะปีศาจ มีบางคนน่ากลัวมากเป็นพิเศษ เมื่อวิญญาณของพวกเขาได้รับการยั่วยุหรือร่างกายของพวกเขาถึงขีดจำกัด บางครั้งพวกเขาก็เข้าสู่สถานะพิเศษที่เรียกว่าสถานะปีศาจกลายร่าง ในช่วงเวลาที่เกิดปรากฏการณ์ “ปีศาจกลายร่าง” จ้าวมณีสวรรค์พวกนั้นก็จะเข้าสู่สถานะคลุ้มคลั่ง ทั้งยังได้รับความแข็งแกร่งและพลังอำนาจเพิ่มขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ อย่างไรก็ตาม สภาพจิตใจของพวกเขาก็มักจะไม่มั่นคงหรือแทบจะไม่มีสติหลงเหลืออยู่เลย ดังนั้นในช่วงเวลานั้นคนพวกนี้ก็จะกลายเป็นเครื่องจักรสังหารที่ไร้สติ และเนื่องจากการดำรงอยู่ของพวกเขาเป็นอันตรายเกินไป วังกักเก็บทักษะของอาณาจักรขนาดใหญ่ๆ ในโลกจึงได้รวมกลุ่มกันเพื่อล่าจ้าวมณีสวรรค์ทักษะธาตุปีศาจเหล่านี้เพื่อสังหารหมู่พวกเขาให้สิ้นซาก ทว่าในการทำเช่นนั้นพวกเขาก็ต้องสูญเสียกำลังพลของตนไปจำนวนมากเช่นกัน จากนั้นเป็นต้นมาไม่เคยมีข่าวคราวใดๆ เกี่ยวกับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีความสามารถในการเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่างอีกเลย”
ท่าทีของเซียวหรูเซ่อเปลี่ยนไปทันทีเมื่อได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้ เธอจึงพูดว่า “โจว…อ้วนน้อย ข้าจะพาเจ้ากลับบ้าน” ด้วยความวิตกกังวล หญิงสาวเกือบจะเรียกโจวเหว่ยชิงด้วยชื่อจริงออกไปซะแล้ว
โจวเหว่ยชิงเข้าใจความหมายโดยนัยของเธอโดยธรรมชาติ เพื่อความปลอดภัยแล้วเธอต้องการให้เขากลับบ้านเพื่อให้บิดาของเขาตรวจสอบ แต่เขาก็ส่ายหัวซ้ำๆ อย่างรวดเร็วและพูดว่า “ไม่ ไม่ ข้าไม่อยากกลับไป ท่านผู้บัญชาการกองพัน ท่านกังวลมากเกินไปแล้ว เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ไม่ใช่สถานะปีศาจกลายร่างสักหน่อย ถ้าใช่ข้าคงจะฆ่าพวกท่านทั้งคู่ไปแล้ว! ตอนนี้ข้ารู้สึกได้ว่าหลังจากที่ข้าฟื้นคืนสติร่างกายก็พัฒนาไปแล้วบางส่วน ร่างกายเต็มไปด้วยพละกำลังมหาศาล เพราะฉะนั้นมันน่าจะเกี่ยวข้องกับไข่มุกสีดำที่ข้ากลืนเข้าไปมากกว่า บางทีอาจเป็นเพราะพลังของไข่มุกสีดำนั้นน่ากลัวเกินไปและข้าก็ไม่สามารถดูดซับพลังของมันได้อย่างเต็มที่”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ยินคำอธิบายของเขาจึงรู้สึกผ่อนคลายเล็กน้อย แต่ทว่าก็ยังพูดออกมาอย่างเคร่งขรึม “อ้วนน้อย ต่อไปนี้อย่าอยู่ให้ห่างจากข้าอีก อย่างน้อยถ้ามีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นข้าก็ยังสามารถช่วยเจ้าควบคุมตัวเองได้ เพราะข้าไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ร่างกายของเจ้าจะดูดซับพลังของไข่มุกสีดำได้หมด”
เมื่อได้ยินซ่างกวนปิงเอ๋อร์เรียกชื่อของเขาโดยตรง โจวเว่ยชิงก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก เขาพูดว่า “ปิงเอ๋อร์ เจ้าวางใจเถิด ข้าจะไม่ทิ้งเจ้าไปแน่นอน”
ทันใดนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตระหนักได้ว่าตัวเองเผลอเรียกเขาด้วยชื่อจริง ใบหน้าที่งดงามของเธอขึ้นสีอย่างรวดเร็ว จากนั้นเธอก็กล่าว “กลับไปรวมกับทหารที่ค่ายเถอะ ข้าช่วยให้เจ้ารับตำแหน่งนายหมู่แล้ว แต่เจ้าก็จะยังคงเป็นผู้ช่วยส่วนตัวของข้าต่อไป กลับไปเก็บข้าวของของเจ้า พรุ่งนี้พวกเราจะออกเดินทางไปยังแนวหน้าในตอนเช้า”
“ตกลง ปิงเอ๋อร์” เมื่อเห็นว่าเธอไม่ได้ทำท่าทางปฏิเสธเมื่อเขาเรียกชื่อเธอตรงๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการทำเช่นนี้ต่อหน้าเซียวหรูเซ่อ ความตื่นเต้นของโจวเหว่ยชิงก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้น นี่น่าจะถือเป็นความคืบหน้าก้าวใหญ่เลยทีเดียว!
เซียวหรูเซ่อไม่ได้พูดอะไรเพิ่มเช่นกัน เมื่อเห็นว่าโจวเหว่ยชิงสามารถกอดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้ได้โดยไม่โดนทุบตีอะไรเลย เธอก็ตระหนักได้ว่าสถานะของโจวเหว่ยชิงเปลี่ยนไปเป็นดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะฉะนั้นให้เขาอยู่กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้
ตกกลางคืน กลุ่มทหารที่อยู่นอกเมืองหลวงเกาทัณฑ์สวรรค์ต่างก็กำลังพูดคุยกันอย่างออกรส สำหรับกรมทหารที่ 5 ทุกคนตั้งแต่ทหารใหม่จนถึงทหารเจนศึก หลังจากเสร็จมื้อคำทุกคนก็พูดคุยกันอย่างคึกคักจอแจระหว่างเก็บสัมภาระของพวกเขา พลทหารต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อมเพื่อที่จะสามารถออกเดินทางไปยังแนวหน้าได้ทันทีหลังจากเก็บกระโจมเสร็จในตอนเช้า พวกเขาจะถูกพิจารณาว่าเป็นทหารเต็มตัวก็ต่อเมื่อพวกเขาได้เข้าร่วมต่อสู้ในสนามรบจริงๆ แล้วเท่านั้น และในอนาคตอันใกล้นี้ แนวหน้าจะกลายเป็นสมรภูมิเดียวที่จะใช้ทดสอบพวกเขา
อย่างไรก็ตาม ในคืนนี้โจวเหว่ยชิงกลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ว่างงาน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นั้นยุ่งมาก โดยเฉพาะในคืนนี้ เนื่องจากเธอเป็นคนที่รับผิดชอบดูแลการเกณฑ์ทหารใหม่ทั้งหมดในครั้งนี้ โจวเหว่ยชิงพอไม่มีอะไรเหลือให้ทำแล้วหลังทานอาหารเย็นเสร็จเขาจึงไปเดินเตร็ดเตร่รอบๆ ค่ายทหารและพยายามจะรับรู้ถึงความเปลี่ยนแปลงในร่างกายของเขาให้ได้
หลังจากกินอาหารมื้อเย็นเสร็จและพักผ่อนเล็กน้อย พลังปราณสวรรค์ในร่างกายของโจวเหว่ยชิงก็ได้รับการฟื้นฟูจนเต็ม นี่แสดงให้เห็นถึงความเหนือกว่าของวิชาเทพอมตะในแง่ของการฟื้นตัว นอกจากนี้เขายังค้นพบว่าขนาดพื้นที่ความจุของปราณสวรรค์ในร่างของตัวเองเพิ่มขนาดขึ้นเล็กน้อยหลังจากเหตุการณ์ที่ป่าดาราวันนี้ อย่างไรก็ตาม มันแตกต่างกับการเพิ่มระดับปราณสวรรค์ขึ้นพรวดพราดทีเดียว 4 ระดับดังเช่นตอนที่เด็กหนุ่มปลุกมณีสวรรค์ครั้งแรก ทว่าการเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในครั้งนี้คือความแข็งแกร่งทางกายภาพของเขา หลังจากกลับมาถึงค่าย โจวเหว่ยชิงก็ลองยิงธนูอุษาม่วงอีกครั้งก่อนจะส่งคืนให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ เขาพบว่าแม้จะแทบจะไม่ออกแรงง้างธนูเลยแม้แต่น้อย แต่ธนูก็เกือบจะหักคามือของเขาแล้ว แน่นอนว่านี่เป็นการใช้กำลังกายล้วนๆ เพียงอย่างเดียว ไม่เกี่ยวกับปราณสวรรค์!
ในเวลาเดียวกันโจวเหว่ยชิงรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างผิดปกติเกี่ยวกับขาขวาของเขา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาขยับขาขวา เขาก็ค้นพบบางสิ่งที่น่าประหลาดใจ
เมื่อยกขาขวาขึ้น โจวเหว่ยชิงพบว่าขาของเขาสามารถเหยียดตรงขึ้นเหนือศีรษะของเขาได้ในทันทีโดยไม่รู้สึกเจ็บปวดใดๆ สิ่งที่ลึกลับ และน่าประหลาดใจที่สุดคือตอนนี้เด็กหนุ่มสามารถยกขาขวาขึ้นอ้อมข้ามศีรษะไปด้านหลังได้ด้วย! ความอ่อนตัวที่น่าอัศจรรย์เช่นนี้อาจจะกล่าวได้ว่าขาของเขายืดหยุ่นได้ดีกว่าร่างกายของเหล่าจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะกายยืดหยุ่นเสียอีก! อนิจจา…มีเพียงขาขวาที่มีการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้ เมื่อโจวเหว่ยชิงลองยกขาซ้ายดูมันก็ไม่ได้ให้ผลเช่นเดียวกัน นอกจากนี้เขายังค้นพบว่าความแข็งแกร่งและความว่องไวของขาขวาของตนเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกได้ถึงความแตกต่างเมื่อเทียบกับส่วนอื่นๆ ของร่างกาย
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ อย่างน้อยตอนนี้การเปลี่ยนแปลงที่ขาขวาของเขาก็ไม่ได้มีประโยชน์ใดๆ กับโจวเหว่ยชิงเลย และในความเป็นจริงแล้วมันยังค่อนข้างเป็นตัวถ่วงเสียด้วยซ้ำ เมื่อเดินตามปกติ แน่นอนว่ามันยังไม่เกิดอะไรขึ้น แต่เมื่อเขาเริ่มวิ่ง เด็กหนุ่มก็พบว่าพละกำลังของขาขวาของเขานั้นมากเกินไป เมื่อออกแรงใดๆ ร่างกายก็จะพุ่งออกไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว ทำให้ร่างกายของเขาเสียสมดุลในการทรงตัว นี่จึงอาจต้องใช้เวลาพอสมควรในการปรับตัวและทำความคุ้นเคยกับมัน
เมื่อดูลาดเลาทหารที่พลุกพล่านอยู่รอบๆตัวเขาแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ทดลองยืนอยู่บนพื้นอย่างมั่นคงโดยมีเพียงขาซ้ายที่พยุงร่างกายของเขาไว้ จากนั้นก็ยกขาขวาขึ้นเตะไปมาในอากาศอย่างรวดเร็ว การขยับอย่างรวดเร็วทำให้ขาขวาของเขากลายเป็นภาพมัวๆ ในอากาศทันที และนั่นก็ทำให้เกิดภาพซ้อนขึ้นหลายครั้ง ในจังหวะเดียวกันนั้นก็มีเสียงดังหวีดหวิวเกิดขึ้นราวกับใช้ดาบฟันอากาศ ยิ่งไปกว่านั้น โจวเหว่ยชิงยังค้นพบว่าตัวเองยังสามารถปล่อยลูกเตะออกไปได้จากทุกๆมุม ราวกับว่าขาขวาของเขาไร้กระดูก!
…………………………………………………………….