เสียงลูกธนูทะลุผ่านศีรษะของทหารนายหนึ่งดังขึ้นพร้อมกับเสียงหักกระดูกคอของทหารยามอีก 2 คนในเวลาเดียวกัน ในช่วงเวลาสั้นๆ ทหารทั้ง 3 นายของอาณาจักร คาลิเซก็ถูกสังหารไปเช่นนั้นเอง แม้อาจจะพูดไม่ได้การกระทำอันอุกอาจนั่นเกิดขึ้นอย่างเงียบเชียบ แต่เสียงที่เกิดขึ้นเหล่านั้นก็ถูกกลบไปด้วยเสียงแมลงในป่า การประสานงานของพวกเขาในครั้งนี้ถือว่าสมบูรณ์แบบสำหรับการทำงานร่วมกันเป็นครั้งแรก และแน่นอนว่าพวกเขาเข้ากันได้ดีจนน่าประหลาดใจ
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคนที่พุ่งออกมาจากด้านหลังและจบชีวิตของทหารยาม 2 คนนั้นต้องเป็นโจวเหว่ยชิงอย่างแน่นอน สิ่งที่เขาทำจริงๆ แล้วค่อนข้างเรียบง่าย เด็กหนุ่มดักซุ่มอยู่ด้านหลังของคนพวกนั้น และด้วยพลังของขาขวาของเขา โจวเหว่ยชิงจึงสามารถกระโจนออกไปด้วยความเร็วที่น่าทึ่งเพื่อคว้าคอของทั้ง 2 คน ก่อนที่พวกเขาจะตอบสนองและส่งเสียงใดๆ โจวเหว่ยชิงก็เหวี่ยงศีรษะของพวกเขาลงไปที่พื้นและจับหักคออย่างไม่ปราณี มณียุทธ์ของเขานั้นเป็นประเภทเพิ่มความแข็งแกร่งทั้งหมด ไม่ต้องพูดถึงกระดูกคอที่ค่อนข้างบอบบาง เด็กหนุ่มสามารถหักกระดูกต้นขาที่หนากว่านี้ได้ด้วยซ้ำหากต้องการ
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากโจวเหว่ยชิงไม่ได้คาดคิดว่าซ่างกวนปิงเอ๋อร์จะสามารถประสานงานกับตนได้อย่างสมบูรณ์แบบเช่นนี้ เขาจึงได้เตรียมการจะใช้ขาขวาไว้ล่วงหน้าแล้ว หากลูกศรของซ่างกวนปิงเอ๋อร์มาถึงช้าเกินไป เขาก็จะใช้ขาขวาฆ่าทหารคนที่อยู่ซ้ายสุดเอง แม้ว่านั่นจะก่อให้เกิดความวุ่นวายตามมา แต่เขาก็จำเป็นจะต้องเสี่ยง
ความรู้สึกที่ได้สัมผัสกระดูกแตกเป็นเสี่ยงๆในมือ เสียงลั่นของกระดูกและชีวิตที่ปลิดปลิวออกไปเพราะน้ำมือของเขา เร่งก่อเกิดแววกระหายเลือดในดวงตาของโจวเหว่ยชิง นี่เป็นครั้งแรกของเขาที่ฆ่าใครซักคนในระยะประชิดด้วยมือของตัวเอง แต่ทว่าหัวใจของเขากลับสั่นระริกด้วยความตื่นเต้นยินดีอย่างลับๆ
เขายกมือขึ้นส่งนิ้วโป้งให้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์ที่ซ่อนตัวอยู่ในระยะไกลๆ จากนั้นเด็กหนุ่มก็ดึงลูกธนูออกจากศีรษะของทหารยามคนซ้ายสุด เช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่บนลูกธนูกับเสื้อผ้าของพวกเขาให้สะอาดก่อนจะมุ่งหน้ากลับไปสมทบกับเธอ
“ปิงเอ๋อร์ ท่านยิงออกไปทันเวลาพอดีเลย! เรากำจัดพวกมันไปได้ทั้งหมด 3 คน” ในขณะที่เขากล่าว โจวเหว่ยชิงก็นำลูกศรกลับเข้าไปคืนในแล่งธนูของซ่างกวนปิงเอ๋อร์
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หลับตาลง ความรู้สึกเห็นอกเห็นใจพาดผ่านทางสีหน้าของเธอ และเธอก็ดูเหมือนจะแบกรับความรู้สึกผิดไม่ไหว โชคดีที่เธอฆ่าเขาในระยะไกลๆ มิฉะนั้นความเจ็บปวดจากการฆ่าคนอาจจะชัดเจนมากกว่านี้
โจวเหว่ยชิงตบหลังเธออย่างปลอบโยน เขากล่าวว่า “การมีน้ำใจต่อศัตรูคือการทำร้ายตนเอง นึกถึงทหารทุกคนที่เสียชีวิตไปสิ ทหารของเราที่บาดเจ็บล้มตายไปด้วยน้ำมือของพวกมัน หากทหารของอาณาจักรคาลิเซตายไป 1 คนก็เท่ากับเราสามารถช่วยทหารของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์ได้อีก 1 คน เอาล่ะ พวกเราต้องรีบไปเดี๋ยวนี้”
“อืม” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้แต่กรุ่นคิดคิดกับตัวเอง เหตุใดข้าถึงได้อ่อนแอกว่าอ้วนน้อยโจวที่อายุน้อยกว่าข้าเสียอีก เขาอายุยังไม่ถึง 14 ปีเลยด้วยซ้ำ…
โจวเหว่ยชิงค้นพบทหารยามที่ซ่อนอยู่ได้อีกครั้งอย่างรวดเร็ว ทหารยามที่เฝ้าอยู่ในป้อมยามมักเป็นทหารราบชั้นยอดซึ่งได้รับการฝึกฝนให้เป็นทหารพรานคอยสอดส่องดูแลความเคลื่อนไหวในป่า ในบรรดาทหารราบธรรมดาทั่วๆ ไป พวกเขาถือว่าโดดเด่นเลยทีเดียว อย่างไรก็ตาม เมื่ออยู่ต่อหน้าจ้าวมณีสวรรค์ทั้ง 2 คน พวกเขากลับเป็นได้แค่มนุษย์ที่บอบบางและอ่อนแอเท่านั้น
อาจเป็นเพราะซ่างกวนปิงเอ๋อร์เคยช่วยเหลือโจวเหว่ยชิงโดยการเสียสละตนเองเพื่อปลุกมณีสวรรค์ของเขา ดังนั้นระหว่างทั้งคู่จึงมีบางอย่างเชื่อมต่อถึงกัน พวกเขาสองคนมีระดับความร่วมมือที่น่าทึ่งและความเข้าใจที่ลึกซึ้ง ดังนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงมุ่งเน้นไปที่การโจมตีระยะไกลส่วนโจวเหว่ยชิงเน้นการต่อสู้ระยะประชิด ทหารยามที่ซ่อนอยู่จึงถูกกำจัดไปอย่างต่อเนื่องในขณะที่พวกเขาสาวเท้ารุกต่อไปข้างหน้าเรื่อยๆ
ในที่สุด เมื่อทั้งคู่ผ่านป้อมยามทั้งหมดของอาณาจักรคาลิเซมาได้แล้ว ทหารยามก็ถูกพวกเขาสังหารไปทั้งสิ้นจำนวน 34 คน และส่วนใหญ่โจวเหว่ยชิงก็เป็นคนจัดการทหารเหล่านั้น
ขณะที่พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในความมืดมองดูค่ายศัตรูจากระยะไกล โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์ต่างก็ใช้โอกาสนี้เพื่อฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์ของทั้งคู่
“อ้วนน้อย เจ้ามีแผนอะไรรึเปล่า?” หลังจากผ่านมาทั้งคืน ทั้งสองคนได้ร่วมมือร่วมใจกันต่อสู้ ทำงานประสานกันได้คล่องแคล่วจนเข้ากันได้ดีในที่สุด น่าประหลาดที่คนที่มีบทบาทเหนือกว่าและเป็นผู้นำนั้นไม่ใช่คนที่มีมณีชุดที่ 2 อย่างซ่างกวนปิงเอ๋อร์ แต่กลับเป็นโจวเหว่ยชิงที่ต้องรับผิดชอบทำหน้าที่ผู้นำแทน
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ตระหนักว่าทันทีที่โจวเหว่ยชิงเข้าสู่ป่า เขาก็กลายเป็นเหมือนปลากระดี่ได้น้ำ เขาสามารถมองดูสถานการณ์โดยรอบได้อย่างละเอียดถี่ถ้วนในแบบที่เธอพบว่าตนเองไม่สามารถทำได้ อีกทั้งประสาทสัมผัสอันแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อของเขาก็ยังสามารถตรวจจับศัตรูได้อย่างง่ายดายจากระยะทางที่ไม่มีใครทำได้ นี่คือเหตุผลหลักว่าทำไมพวกเขาถึงจัดการกับศัตรูได้เสมอ ทั้งยังเป็นเหตุผลว่าทำไมทั้งคู่จึงสามารถแอบเข้าไปในเส้นทางของศัตรูได้ทั้งหมดและมาถึงค่ายทหารหลักได้โดยไม่มีปัญหาใดๆ เลย
โจวเหว่ยชิงขอให้ซ่างกวนปิงเอ๋อร์นำแผนที่ของเธอออกมาอีกครั้ง เขาใช้แสงจันทร์เป็นตะเกียงให้ความสว่าง ตรวจสอบแผนที่และชี้ไปยังจุดที่พวกศัตรูอยู่ “ดูนี่ นี่คือตำแหน่งเป้าหมายของเรา แม้ว่าค่ายศัตรูจะมีทหารลาดตระเวนอยู่บ้าง แต่เวลานี้ก็เลยตี 1 ไปแล้ว นี่เป็นเวลาที่ทหารจะเหนื่อยง่ายและไม่ระมัดระวัง อีกสักครู่ ข้าจะเป็นคนเปิดฉากโจมตีพวกเขา เจ้าช่วยระวังหลังให้ข้าในกรณีที่มีอะไรผิดพลาดก็แล้วกัน”
“อย่างไรก็ตาม หากเราเริ่มโจมตีแล้ว เราจะไม่สามารถวกกลับไปยังเส้นทางที่เราเข้ามาได้ ดังนั้น ข้าคิดว่าเราควรผ่านเส้นทางนี้แทน ก่อนหน้านี้ข้าได้ตรวจสอบเส้นทางที่เป็นไปได้ทั้งหมดอย่างรอบคอบแล้ว และข้าคิดว่าเราควรเลือกเส้นทางนี้ หากพวกเรากลับไปที่ค่ายทหารผ่านเส้นทางนี้จะช่วยให้เราร่นระยะทางได้เกือบ 50 ลี้ นอกจากนี้ เจ้ายังกล่าวอีกว่าเส้นทางผ่านเนินเขาที่เป็นป่าตรงนั้นเป็นที่อยู่อาศัยของอสูรสวรรค์ นี่จะช่วยยับยั้งการติดตามของศัตรูเมื่อเรากำลังหลบหนีด้วยเช่นกัน”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงชี้ไปยังเส้นทางที่เขาเลือกบนแผนที่ นิ้วเรียวของเขาขยับอย่างรวดเร็วและชี้ไปยังตำแหน่งต่างๆ บนแผนที่อย่างแม่นยำ แสดงให้เห็นถึงความเข้าใจอย่างลึกซึ้งโดยเฉพาะอย่างยิ่งระยะทางที่ครอบคลุมทั้งหมดในแผนที่ เส้นทางใช้หลบหนีที่เขาชี้ให้เห็นไม่ได้เป็นเส้นตรง มีส่วนที่คดเคี้ยวและซับซ้อนมาก แต่ก็ยังเป็นระยะทางที่สั้นที่สุด อีกทั้งยังสามารถทิ้งห่างจากทหารทั่วไปของอาณาจักรคาลิเซให้ได้มากที่สุด เห็นได้ชัดว่าช่วงก่อนที่พวกเขาจะออกมาจากกระโจมของโจวเหว่ยชิง นี่คือสิ่งที่เขาเพิ่งคำนวณตอนทำท่าทางกรุ่นคิดเช่นนั้น
“ปิงเอ๋อร์ เจ้ากำลังฟังข้าอยู่ไหม?” โจวเหว่ยชิงโบกมือไปมาต่อหน้าดวงตาที่แสดงความงุนงงของเธอ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์มองเขาอย่างซับซ้อน ก่อนจะคิดกับตัวเอง คาดไม่ถึงว่าเจ้าจะเป็นอัจฉริยะจริงๆ แม้ว่าเจ้าจะปลุกมณีสวรรค์ขึ้นมาไม่ได้ แต่เจ้าก็ยังสามารถเป็นผู้บัญชาการที่โดดเด่นได้อยู่ดี
“ข้ากำลังฟังอยู่ แต่ว่า จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราเจออสูรสวรรค์มาขวางเราแทน? ด้วยระดับพลังปราณสวรรค์ปัจจุบันของพวกเรา แม้แต่อสูรสวรรค์ที่อ่อนแอที่สุดก็อาจก่อปัญหาให้เราได้มากมาย และหากจะต้องเผชิญหน้ากับพวกมัน นั่นก็เป็นเรื่องที่อันตรายอย่างยิ่ง อสูรสวรรค์มีทักษะและความสามารถเฉพาะตัวซึ่งแข็งแกร่งมาก อีกทั้งอสูรสวรรค์เหล่านี้ส่วนใหญ่มีประสาทสัมผัสที่ยอดเยี่ยมมาก ทันทีที่เราเข้าสู่อาณาเขตของพวกมัน พวกมันก็จะโจมตีเราอย่างไม่ลังเล”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดอย่างมั่นใจ “เจ้าไม่ต้องกังวลกับส่วนนั้น ข้าวางแผนทุกอย่างไว้เรียบร้อยแล้ว เจ้าไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมข้าถึงกักเก็บทักษะในมณีธาตุของข้าได้ง่ายๆ? ข้าจะบอกเหตุผลให้เจ้ารู้ ไข่มุกสีดำที่ข้ากลืนเข้าไปนั้นน่าจะเป็นก้อนจินถานของเสือดำที่มีปีกขนาดใหญ่ตัวหนึ่ง และกลิ่นอายของเสือดำตัวนี้ดูเหมือนว่าจะทำให้สัตว์ส่วนใหญ่รู้สึกหวาดกลัว และสัตว์อสูรสวรรค์เหล่านั้นก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ทักษะกักเก็บของข้านั้นมาจากอสูรสวรรค์ระดับเทวะทั้งหมด และส่วนใหญ่เป็นทักษะประเภทการควบคุม อย่างไรก็ตามในระหว่างกระบวนการกักเก็บทักษะ ไม่มีสัตว์อสูรตัวไหนกล้าต่อต้านข้าเลย แม้อาจพูดได้ว่านั่นเป็นเพราะพวกมันถูกผนึกเอาไว้ แต่กลิ่นอายจากร่างกายของข้าก็ต้องส่งผลกระทบต่อพวกมันอย่างมากแน่นอน หากเราพบอสูรสวรรค์ ตราบใดที่เราไม่ได้โจมตีพวกมันก่อน พวกมันย่อมไม่มายุ่งกับเราแน่นอนเพราะพวกมันจะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายของราชาสัตว์ป่าที่แผ่ออกมาจากร่างกายของข้า”
“นอกจากนี้ เหตุผลที่ข้าเลือกเส้นทางนั้นเป็นเพราะมันตั้งอยู่แถวๆ ขอบเนินเขา โดยทั่วไปแล้ว ยิ่งสัตว์อสูรสวรรค์แข็งแกร่งเพียงใด พวกมันก็ยิ่งต้องการอาณาเขตใหญ่มากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นพวกเราจึงไม่น่าจะพบอสูรสวรรค์ที่แข็งแกร่งจนเกินไป หากเราต้องเผชิญหน้ากับอสูรสวรรค์ระดับปฐม ถึงแม้ว่าแผนการณ์ของข้าจะใช้ไม่ได้ แต่ด้วยความเร็วของเรา นั่นก็คงไม่ยากเกินไปที่เราจะหลบหนีออกมา ด้วยแผนการณ์รัดกุม 2 ชั้นแบบนี้ ข้าถือว่านี่เป็นเส้นทางที่น่าจะปลอดภัยที่สุดในการหลบหนีของเรา”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์พยักหน้าอย่างมั่นใจและพูดว่า “เอาล่ะ งั้นเรามาทำตามแผนของเจ้ากันเถอะ” ท่ามกลางความมืดมิดยามราตรี เธอไม่ได้สังเกตเลยว่าในดวงตาของเขา รังสีแดงก่ำกระหายเลือดกำลังค่อยๆ เข้มข้นขึ้น แม้แต่โจวเหว่ยชิงเองก็ไม่ได้ตระหนักว่าอารมณ์ความรู้สึกของเขาเริ่มได้รับผลกระทบจากความกระหายเลือดนี้มากขึ้นเรื่อยๆ
ความแข็งแกร่งมักมาพร้อมกับความเสี่ยงครั้งใหญ่ เช่นเดียวกับความเสี่ยงที่มาพร้อมกับวิชาเทพอมตะ เมื่อทะลวงผ่านจุดตายได้ ผลข้างเคียงของไข่มุกสีดำก็ค่อยๆ เกิดขึ้นกับร่างกายของโจวเหว่ยชิง
ในเวลาไม่นาน เมื่อทั้งคู่ฟื้นฟูพลังปราณสวรรค์จนเต็มความจุขั้นสูงสุดของพวกเขาแล้ว โจวเหว่ยชิงก็ส่งสัญญาณมือบอกซ่างกวนปิงเอ๋อร์ในขณะที่เขากำลังขยับไปข้างหน้าอย่างเงียบเชียบ
ทางเข้าหลักของค่ายทหารอาณาจักรคาลิเซนั้นค่อนข้างกว้างขวาง ทางนี้มีขนาดเกือบ 40 เมตรเลยทีเดียว นั่นทำให้มั่นใจได้ว่าหากทหารทั้งหมดจะต้องยกพลออกไปโจมตีครั้งใหญ่ กองทัพจะสามารถเคลื่อนพลออกจากค่ายได้อย่างง่ายดาย ที่ประตูทั้งสองด้าน แต่ละด้านมีหอสังเกตการณ์สูง 20 เมตรตั้งอยู่ ในขณะที่บริเวณรั้วรอบๆ นั้นเต็มไปด้วยตะเกียงที่จุดให้ความสว่างหลายดวง ในหอสังเกตการณ์แต่ละแห่งจะมีพลธนูทหารยาม 1 คนคอยเฝ้าสังเกตการณ์ในตอนกลางคืน เมื่อใดก็ตามที่พวกเขามองเห็นสิ่งผิดปกติ พวกเขาก็จะตีระฆังที่ด้านบนของหอสังเกตการณ์เพื่อเตือนภัยให้กับทหารลาดตระเวนที่อยู่แถวนั้นได้รับรู้และทำการตอบสนองอย่างรวดเร็ว
ณ เวลานี้ ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กำลังซ่อนตัวอยู่ห่างจากค่ายหลักของอาณาจักรคาลิเซไปประมาณ 500 หลา เธอใช้นิ้วก้อยและนิ้วนางจับลูกธนูดอกหนึ่งขึ้นมา ในขณะที่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลางนั้นมีลูกศรอีกดอกหนึ่งพาดอยู่ ธนูอุษาม่วงของเธอถูกง้างขึ้นอย่างช้าๆ โดยมีลูกศรอยู่ระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง เธออยู่ในท่าพร้อมยิงและกำลังเล็งไปยังทหารนายหนึ่งที่อยู่บนหอสังเกตการณ์
โจวเหว่ยชิงกำลังขยับเข้าใกล้ที่ตั้งค่ายทหารของอาณาจักรคาลิเซอย่างต่อเนื่อง เขาวิ่งกระโจนออกไปนอกพุ่มไม้และรีบเข้าไปแอบหลบอยู่ข้างหลังหอสังเกตการณ์ ในทันใดนั้นเอง ธนูอุษาม่วงของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ขยับทันที
*สวบ* *สวบ* มีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นเบาๆ 2 ครั้ง ลูกศรทั้ง 2 ดอกต่างถูกยิงตามกันออกมาติดๆ ขณะที่ยิงลูกศรทั้ง 2 ออกมานั้น เธอใช้กลยุทธ์การยิงออกมาด้วยความเร็วที่ต่างกันเล็กน้อย โดยให้ลูกศรดอกที่ 2 มีความแรงมากกว่าลูกแรกเล็กน้อย เมื่อทำเช่นนี้ลูกศรทั้ง 2 จึงพุ่งไปยังเป้าหมายในเวลาเดียวกัน ในระยะไกลเช่นนี้ เพื่อให้แน่ใจว่าเป้าหมายจะตายในทันที ซ่างกวนปิงเอ๋อร์จึงใช้ทักษะธาตุลมของเธอเพื่อเพิ่มพลังการยิงร่วมด้วย
*วืด* *วืด* เสียงดังแหวกอากาศขึ้นมา 2 ครั้ง ลูกธนูทั้ง 2 ดอกพุ่งปะทะเข้ากับศีรษะของทหารยามคนหนึ่ง ดอกหนึ่งพุ่งเข้าหาจุดตายไท่หยาง(ขมับ)และแทงทะลุออกไปอีกด้าน ในขณะที่อีกหนึ่งดอกพุ่งตรงเข้าไปในปากของทหารยามคนนั้นพอดิบพอดีและแทงทะลุเข้าไปในสมอง แม้ว่าการระเบิดพลังของลูกธนูที่ใช้ทักษะธาตุลมนั้นจะไม่รุนแรงมากนัก แต่สำหรับเป้าหมายที่อ่อนนุ่มเช่นสมองของมนุษย์นั้น เพียงแค่นี้ก็ถือว่าน่ากลัวอย่างยิ่งแล้ว ร่างกายของพวกเขาอ่อนยวบและร่วงลงไปนอนกับพื้นบนหอสังเกตการณ์ทันทีโดยไร้เสียงใดๆ เกิดขึ้น
ขณะที่เหตุการณ์นี้กำลังเกิดขึ้น โจวเหว่ยชิงก็ชักนำพลังปราณสวรรค์ของเขาออกมาทันที ในการกระโจนเพียง 5 ครั้ง โจวเหว่ยชิงก็ร่นระยะทางไปได้แล้วกว่า 300 หลา เด็กหนุ่มจึงรีบคว้าโอกาสที่ยังไม่มีใครรู้ตัวใช้ขาขวาของเขากระแทกกับพื้นอย่างรุนแรง ด้วยความแข็งแกร่งอันน่าสะพรึงกลัวของขาขวา โจวเหว่ยชิงสามารถกระโดดข้ามรั้วขึ้นไปได้ถึง 5 เมตรจนสามารถขึ้นไปยังหอสังเกตการณ์หอหนึ่งได้อย่างคล่องแคล่วราวกับเสือดาวที่ปราดเปรียว
มองจากระยะไกลๆ หัวใจของซ่างกวนปิงเอ๋อร์แทบจะร่วงลงไปอยู่ที่พื้น เธอจ้องมองเขาอย่างเคร่งเครียด ลูกธนูอีกลูกถูกง้างขึ้นไว้ในท่าเตรียม เธอพร้อมที่จะสนับสนุนโจวเหว่ยชิงทุกเวลาที่เขาต้องการ
แผนของพวกเขาประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยม เมื่อโจวเหว่ยชิงขึ้นไปถึงหอสังเกตการณ์แล้ว เขาก็ยังไม่ถูกศัตรูค้นพบเลยแม้แต่น้อย เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนหัวใจของเขากำลังเต้นแรงอย่างบ้าคลั่ง ใจสั่นระรัวเร็วเมื่อความตื่นเต้นค่อยๆเพิ่มขึ้นในกระแสเลือด
เมื่อรวมนักธนูทั้ง 2 คนในหอสังเกตการณ์ ในคืนนี้พวกเขาได้สังหารทหารยามไปแล้วทั้งหมดกว่า 36 คน และยังห่างจากเป้าหมายในการแก้แค้นครั้งนี้เพียง 60 คน โจวเหว่ยชิงสูดหายใจเข้าลึกขณะที่เขากวาดสายตามองจากบนหอสังเกตการณ์ลึกเข้าไปในค่ายทหาร เนื่องจากแสงจากตะเกียงที่สว่างรำไร เขาจึงสามารถมองเห็นภาพมุมกว้างได้อย่างชัดเจน
ค่ายทหารของอาณาจักรคาลิเซและอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์นั้นค่อนข้างคล้ายกัน มีทหารราบหนักพักอยู่ 10 คนต่อ 1 กระโจม และมีทหารราบเบา 30 คนต่อ 1 กระโจม โจวเหว่ยชิงไม่ได้มีเป้าหมายที่เจาะจงเป็นพิเศษในใจ หลังจากการสังเกตอย่างระมัดระวังเขาก็พบเป้าหมายที่จะทำการโจมตีแล้ว
ท้ายที่สุดแล้ว โจวเหว่ยชิงก็เพิ่งเข้าร่วมกองทัพเมื่อไม่นานมานี้และไม่ค่อยคุ้นเคยกับสถานการณ์ในค่ายทหารนัก นอกจากนี้ เนื่องจากข้อจำกัดเกี่ยวกับปริมาณปราณสวรรค์ที่มี เขาจึงมีโอกาสโจมตีเพียงครั้งเดียวก่อนที่เขาจะต้องรีบถอนตัวออกไป อย่างไรก็ตาม เขาก็ต้องเก็บพลังปราณสวรรค์ไว้อีกส่วนหนึ่งเพื่อให้เพียงพอต่อการใช้หลบหนีด้วย ดังนั้น เป้าหมายของเขาจึงต้องเป็นหนึ่งในกระโจมที่ใหญ่ที่สุด จริงๆ แล้วกระโจมนั้นห่างจากหอสังเกตการณ์เกือบ 1 กิโลเมตรเลยทีเดียว แต่ทว่ามันกลับสว่างไสว และมีการลาดตระเวนโดยกองทหารทั้งหมด เห็นได้ชัดว่าเป็นนั่นเป็นสถานที่ที่สำคัญมากเลยทีเดียว
เอาที่นั่นแหละ โจวเหว่ยชิงยกมือขวาของตนขึ้นมา จากนั้นมณียุทธ์หยกน้ำแข็งเพียงดวงเดียวก็โผล่ขึ้นมารอบข้อมือขวา มันส่องประกายแสงออกมาเจิดจ้าขณะที่ธนูราชันย์ปรากฏตัวขึ้นมาในมือของเขาอย่างรวดเร็ว ในเวลาเดียวกัน วงล้อทักษะธาตุในดวงตาของเด็กหนุ่มก็หมุนไปที่บริเวณส่วนสีน้ำเงิน และเหนือข้อมือซ้ายก็เกิดประกายไฟฟ้ากระพริบวูบวาบขึ้นมาทันที
ในบรรดา 6 ทักษะธาตุทั้งหมดของโจวเหว่ยชิง มีเพียงทักษะเดียวที่เป็นทักษะการโจมตี และนั่นก็คือทักษะธาตุสายฟ้า
………………………………………………………