เมื่อลมหายใจกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ร่างของโจวเหว่ยชิงก็เริ่มอุ่นขึ้น แขนที่กอดรัดซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็เริ่มผ่อนคลายลงเล็กน้อย
ทันใดนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาทันที เธอรู้สึกว่ามีบางสิ่งบางอย่างที่…เอ่อ…แข็งๆ…ขนาดใหญ่…และตั้งชัน…กำลังดุนดันเบาๆ ที่ท้องน้อยของเธอ…อีกทั้งยังกระตุกออกมาเล็กน้อย…
หลังจากประหลาดใจได้ไม่นาน ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็ตระหนักได้ทันทีว่ามันคืออะไร แต่ทว่าเธอก็ไม่กล้าขยับเขยื้อนเพราะเธอไม่รู้ว่าอ้วนน้อยโจวยังจะอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่างหรือไม่
ร่างกายของเธอเริ่มร้อนผ่าวขึ้นเรื่อยๆ แขนทั้ง 2 ข้างที่กำลังยกขึ้นโอบกอดโจวเว่ยชิงเริ่มสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่
เธอหวาดกลัวเล็กน้อย กลัวว่าสัญชาตญาณสัตว์ป่าจะเข้าแทรกแซงจิตใจของเขาอย่างอย่างฉับพลันอีกครั้งคล้ายกับคืนวันนั้น วันที่เธอสูญเสียพรหมจรรย์เป็นครั้งแรกและความเจ็บปวดนั้นก็จารึกอยู่ในใจของเธอมาตลอด เมื่อคิดได้ดังนั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะถามตัวเองว่า จะทำยังไงหากมันเกิดขึ้นอีกครั้ง? เธอควรจะทำยังไงดี? ทันใดนั้นซ่างกวนปิงเอ๋อร์ก็พบว่า แม้แต่ในตอนนี้ตัวเธอเองก็ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
สิ่งที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ทันได้เห็นก็คือ ในเวลานี้โจวเหว่ยชิงกำลังกะพริบตาปริบๆ และนั่นทำให้ใบหน้าของเขาดูประหลาดมาก
ในความเป็นจริงแล้ว ขณะที่โจวเหว่ยชิงตกอยู่ในสถานะปีศาจกลายร่าง เขาได้สูญเสียการควบคุมจิตใจของตนเองไปเพียงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ในช่วงเวลานั้น สิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกได้ถูกบันทึกอยู่ในความทรงจำของเด็กหนุ่มเช่นกัน และเมื่อจิตปีศาจของเขาเริ่มสังหารหมาป่าโลกันตร์พวกนั้น ตัวตนของโจวเหว่ยชิงก็ตื่นขึ้นมาบ้างเป็นครั้งคราว อย่างไรก็ตาม ในขณะที่เขารู้สึกตัวอยู่นั้น เขาก็ยังไม่สามารถควบคุมร่างกายของตัวเองได้อยู่ดี เด็กหนุ่มจึงทำได้เพียงมองดูตนเองไล่ล่าสังหาร ทำลายล้าง และกลืนกินหมาป่าพวกนั้นอย่างไม่รู้จบด้วยสายตาปริบๆ
เขาสัมผัสได้ว่าวงล้อทักษะธาตุหมุนไปยังบริเวณสีเทา ในขณะที่เขาพยายามที่จะเข้าใจความลึกลับของทักษะธาตุปีศาจนั้น อีกด้านหนึ่งเขาก็พยายามอย่างหนักเพื่อจะเข้าควบคุมร่างกายของตนเองให้ได้
เพียงชั่วขณะหนึ่ง หลังจากที่จิตปีศาจของโจวเหว่ยชิงจัดการฆ่าราชาหมาป่าโลกันตร์ลงได้ ฉับพลันนั้นร่างกายของเขาร่วงหล่นลงพื้นและในที่สุดเด็กหนุ่มก็สามารถควบคุมร่างกายตนเองได้บางส่วนเสียที เขาพุ่งทะยานเข้าหาซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างไม่ลังเล จากนั้นก็จับตัวเธอเอาไว้ ใช้กลิ่นอายของทุรมาลินปลอบประโลมตนเอง อาศัยสัมพันธ์เชื่อมโยงระหว่างเธอกับโจวเหว่ยชิงเพื่อทำให้เขาสามารถควบคุมร่างกายตัวเองได้ครบถ้วนสมบูรณ์
ด้วยเหตุนั้น ตอนนี้โจวเหว่ยชิงจึงมีสติขึ้นมาได้สักพักหนึ่งแล้ว และเมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์เริ่มโอบกอดร่างของเขาเอาไว้ไม่ยอมปล่อย นั่นทำให้ร่างกายของพวกเขาบดเบียดเข้าด้วยกันอีกทั้งยังยังเสียดสีกันไปมาอีกด้วย เมื่อเป็นเช่นนั้น จะให้โจวเหว่ยชิงไม่มีปฏิกิริยาเช่นนั้นได้อย่างไร! ในเวลานี้เขารู้สึกได้เพียงแค่ส่วนล่างของเขากำลังถูไถเข้ากับท้องน้อยที่อ่อนนุ่มและบอบบางของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างไม่หยุดหย่อน ความรู้สึกที่น่าพอใจเช่นนี้ทำให้เด็กหนุ่มรู้สึกราวว่าจะไม่สามารถ ‘ควบคุมตนเอง’ ได้อีกต่อไป อย่างไรก็ตาม ในเวลานี้จอมเจ้าเล่ห์น้อยตนนี้กลับไม่อาจจะตัดใจปล่อยหญิงสาวแสนสวยในอ้อมแขนของตนไปได้ โอกาสที่จะได้โอบกอดซึ่งกันและกันนั้นหายากแค่ไหน เขาย่อมรู้ดีกว่าใคร!
ในขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังทะเลาะกับตัวเองอยู่นั้น ร่างกายของเขาก็พลันเกิดการสั่นสะท้านอย่างรุนแรง เขารู้สึกได้ว่าพลังปราณสวรรค์ที่เงียบสงบอยู่ในร่างของเด็กหนุ่มก่อนหน้านี้กำลังระเบิดออกมาราวกับภูเขาไฟปะทุ ไอพลังสีดำเทาที่ลอยวนล้อมรอบร่างกายของโจวเหว่ยชิงค่อยๆ จางหายไป แต่แสงสีเขียวกลับเริ่มเข้มข้นขึ้นและทรงพลังมากยิ่งขึ้น พลังปราณสวรรค์ที่เคลื่อนไหวอย่างไม่หยุดนิ่งกำลังเผาไหม้อยู่ในร่างกาย ทำให้เขารู้สึกราวกับว่าอวัยวะภายในถูกบิดคว้านไปทั่ว
“อุ่กก” โจวเหว่ยชิงอาเจียนเลือดออกมาเต็มปากขณะที่ ‘น้องชายตัวน้อย’ ของเขาก็พลันอ่อนยวบลงอย่างรวดเร็ว เขาคลายมือที่โอบกอดร่างของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไว้และร่วงลงไปนั่งกองกับพื้น
“อ้วนน้อย เจ้าเป็นยังไงบ้าง?” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ประหลาดใจเป็นอย่างมาก ดูเหมือนว่าเมื่อสักครู่นี้อาการของเขาจะดีขึ้นแล้ว แต่ทว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้ … หรือว่านี่จะเป็นผลข้างเคียงจากสถานะปีศาจกลายร่าง?
โจวเหว่ยชิงโบกมือให้กับซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างรวดเร็ว เขากล่าวว่า “ข้าต้องทะลวงจุดตายจุดต่อไป” หลังจากที่เขาเปล่งคำพูดเหล่านั้นออกมาอย่างยากลำบาก เขาก็หลับตาลงและจมจ่ออยู่ในสมาธิทันที
เห็นได้ชัดว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันในร่างกายของโจวเหว่ยชิงเป็นผลมาจากการที่เขากลืนกินพลังปราณสวรรค์ธาตุลมจากหมาป่าโลกันตร์เข้าไปเป็นจำนวนมาก แม้ว่าพลังปราณสวรรค์ของเด็กหนุ่มเองจะมีทักษะธาตุลมอยู่ด้วย แต่เขาก็เป็นมนุษย์และร่างกายของโจวเหว่ยชิงก็ไม่เหมือนสัตว์อสูรสวรรค์ แม้จะมีพลังของไข่มุกรัตติกาลคอยสนับสนุน แต่เพราะเขากลืนกินปราณสวรรค์ธาตุลมมากเกินไป นั่นทำให้ตันเถียนของเขาไม่สามารถบรรจุพวกมันได้ทั้งหมด ก่อนหน้านี้ เนื่องจากเข้าสู่สถานะปีศาจกลายร่าง ปราณสวรรค์ธาตุลมจำนวนมหาศาลจึงถูกมันกดข่มเอาไว้และยังสามารถนำมาใช้เป็นพลังของตนเองได้อีกด้วย แต่ทว่าในตอนนี้ สถานะปีศาจกลายร่างได้สิ้นสุดลงแล้ว ดังนั้นเขาจึงเริ่มมีปัญหาในการสะกดอำนาจที่แท้จริงของพลังปราณจำนวนมหาศาลเหล่านั้นทันที
ปราณสวรรค์ธาตุลมจากภายนอกและปราณสวรรค์ธาตุลมภายในตัวของโจวเหว่ยชิงนั้นไม่สามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันได้ และถึงแม้หลุมดำทั้ง 4 จะหมุนและดูดกลืนปราณจากภายนอกเข้ามาด้วยความเร็วสูงสุดแล้ว นั่นก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้โจวเหว่ยชิงสามารถผ่านพ้นช่วงเวลาที่อันตรายนี้ไปได้ ทางออกเดียวที่มีในตอนนี้คือการใช้ประโยชน์จากพลังปราณภายนอกนี้เพื่อทะลวงจุดตายจุดสุดท้ายของวิชาส่วนแรก หากเขาประสบความสำเร็จ สถานการณ์เลวร้ายนี้ก็จะสามารถแก้ไขให้ดีขึ้นได้
ทักษะกลืนกินที่ไข่มุกรัตติกาลมอบให้โจวเหว่ยชิงดูเหมือนจะใช้ได้กับแค่อสูรสวรรค์ในโลกนี้เท่านั้น และมันก็ไม่ได้ผลกับมนุษย์ นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมก่อนหน้านี้ขณะที่โจวเหว่ยชิงขู่คำรามออกมาคล้ายเสือดำตัวใหญ่นั่น ซ่างกวนปิง เอ๋อร์ที่อยู่ใกล้ๆ จึงไม่ได้รับผลกระทบเหมือนสัตว์อสูรสวรรค์ตัวอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ทักษะกลืนกินก็มีข้อจำกัดเช่นกัน ยิ่งเขาแข็งแกร่งขึ้นเท่าไหร่ ความสามารถในการรองรับพลังปราณที่ถูกดูดกลืนเข้ามาก็จะเพิ่มขึ้นเช่นกัน แต่ทว่าระดับพลังของ โจวเหว่ยชิงในปัจจุบันกลับอ่อนแอเกินไป อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาอยู่ภายใต้สถานะปีศาจกลายร่าง เขาสามารถใช้ความสามารถนี้ได้อย่างเจ็มที่ แต่ก็ต้องถูกควบคุมโดยสัญชาตญาณกระหายการเข่นฆ่า อีกทั้งยังต้องการกลืนกินพลังปราณภายนอกเข้าไปจำนวนมาก ดังนั้น เมื่อสิ้นสุดสถานะปีศาจกลายร่าง ร่างกายของเขาจึงมีพลังปราณสวรรค์ธาตุลมมากเกินไป หากโจวเหว่ยชิงไม่รีบจัดการกับมันในตอนนี้ ร่างกายของเขาก็จะเกิดปัญหาขึ้นแน่นอน ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดคือร่างอาจจะระเบิดจากภายในจนตาย เนื่องจากมีพลังปราณอัดแน่นอยู่ในร่างมากเกินไปนั่นเอง
“ข้าจะคอยระวังหลังให้เจ้า” เมื่อซ่างกวนปิงเอ๋อร์ได้ยินว่าโจวเหว่ยชิงจำเป็นจะต้องทะลวงจุดตายจุดต่อไป เธอลุกขึ้นไปยืนเฝ้าด้านหลังให้เขาอย่างไม่ลังเล ในขณะนี้ สิ่งที่โจวเหว่ยชิงต้องการมากที่สุดคือคนคอยคุ้มกัน หากว่าอสูรสวรรค์ตัวอื่นๆ มาพบเขาเข้า เวลานี้เด็กหนุ่มก็คงจะไม่สามารถป้องกันตัวเองได้
โจวเหว่ยชิงพยายามเพ่งสมาธิไปควบคุมพลังปราณสวรรค์ธาตุลมที่กำลังปั่นป่วนอยู่ในร่างของเขา ค่อยๆ ผสานมันเข้ากับพลังปราณสวรรค์ในร่างเพื่อชักนำพวกมันลงไปยังส่วนบริเวณขาทั้งสองข้าง หลังหลุดพ้นสถานะปีศาจกลายร่างมาแล้ว ตอนนี้พลังปราณสวรรค์ของเด็กหนุ่มได้เพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เห็นได้ชัดว่านั่นคือพลังปราณสวรรค์ธาตุลมทั้งหมดที่เขากลืนกินเข้าไปก่อนหน้านี้ ทว่าปัญหาคือโจวเหว่ยชิงกลืนกินพลังปราณพวกนั้นมากจนเกินไป และหากเขาไม่รีบจัดการกับพวกมัน พลังพวกนั้นก็จะปั่นป่วนร่างกายจนเกิดหายนะได้
พลังปราณสวรรค์ภายในร่างของโจวเหว่ยชิงนั้นบริสุทธิ์มาก เพียงแต่พลังปราณสวรรค์ธาตุลมที่ได้มาจากหมาป่าโลกันตร์หลายๆ ตัวนั้นไม่ค่อยเข้ากันเท่าไหร่นัก พลังปราณที่เขาได้รับมาจึงผสมปนเปกันมั่วไปหมด เนื่องจากหมาป่าโลกันตร์แต่ละตัวมีระดับพลังที่แตกต่างกัน อีกทั้งในแต่ละตัวก็มียังพลังปราณหลากหลายชนิดผสมกันอยู่ด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกลืนกินพลังปราณรอบสุดท้ายจากราชาหมาป่าโลกันตร์ พลังปราณของมันไหลวนไปทั่วร่างของโจวเหว่ยชิงอย่างเกรี้ยวกราดบ้าคลั่ง ทำให้เขารู้สึกเจ็บปวดทรมานเหนือคำบรรยาย
ในขณะที่เขาชักนำพลังปราณสวรรค์ลงมายังส่วนล่างของร่างกาย โจวเหว่ยชิงก็รู้สึกราวกับว่าเส้นชีพจรบริเวณต้นขาของตนถูกทะลวงจนขาดสะบั้น และในเสี้ยววินาทีนั้น พลังปราณสวรรค์จากภายนอกและภายในที่ผสมปนเปกันอยู่ก็พุ่งเข้าทะยานเข้าสู่จุดตายจู้ซานหลี่(ใต้เข่า)ทันที ขณะที่จุดตายจู้ซานหลี่เริ่มหมุนวนเพื่อดูดกลืนปราณของเขานั่นเอง โจวเหว่ยชิงก็รีบดำเนินการตามหลักวิชาเทพอมตะทันทีและชักนำปราณสวรรค์ที่ผสมกันอยู่นั้นไหลวนลงไปข้างล่างอย่างไม่รีรอ
ร่างกายมนุษย์เป็นสิ่งที่ลึกลับและอัศจรรย์ หากคนอื่นฝึกวิชาเทพอมตะแบบเดียวกันก็อาจให้ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันออกไป นอกจากนี้ อาจกล่าวได้ว่าวิชาเทพอมตะนั้นเป็นวิชาที่ไม่เหมือนใคร ดังนั้นในแต่ละขั้นตอนเขาจึงต้องลองด้วยตัวเองเท่านั้น
ครั้งนี้ก็ดูเหมือนว่าโชคชะตาจะเข้าข้างโจวเหว่ยชิง พลังปราณสวรรค์ของเขาสามารถพุ่งทะลวงผ่านจุดตายจู้ซานหลี่ เปิดทางให้หลุมดำ ณ จุดตายบริเวณนั้นหมุนวนด้วยความเร็วที่เพิ่มขึ้นถึง 3 เท่าของความเร็วสูงสุดก่อนหน้านี้ ในขณะที่พลังปราณสวรรค์ธาตุลมที่ผสมปนเปกันอยู่นี้กำลังทะลวงผ่านจุดตายจู้ซานหลี่ ดูเหมือนว่าพวกมันก็ได้ไหลผ่านตัวกรองชนิดหนึ่งออกมาด้วย ผลก็คือพลังปราณสวรรค์ธาตุลมที่ไม่เข้ากันกลุ่มนี้มีความบริสุทธิ์ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
…………………………………………………………….