หัวเฟิงยิ้มน้อยๆ และพูดว่า “ไม่ใช่ พวกเราไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของอาณาจักร แม้แต่ราชวงศ์ก็ยังไม่สามารถออกคำสั่งพวกเราตามอำเภอใจได้ ปกติแล้วหน่วยของพวกเราจะออกโรงก็ต่อเมื่ออาณาจักรใกล้จะสูญสลายเท่านั้น ในฐานะจ้าวมณีสวรรค์ เจ้าก็น่าจะรู้ว่าจ้าวมณีต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากในการฝึกฝน ดังนั้นพวกเราจึงต้องการรายได้ เพราะฉะนั้นเงินเหล่านั้นก็มาจากภารกิจพวกนี้ พูดง่ายๆ ก็คือพวกเราเป็นกลุ่มนักฆ่าที่เป็นที่รู้จักในนาม ‘สำนักสวรรค์พิสดาร’
แน่นอนว่านอกจากพวกเราแล้ว ไม่มีใครในโลกนี้รู้ว่าหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์คือสำนักสวรรค์พิสดาร ในโลกของสำนักนักฆ่าบนดินแดนไร้ขอบเขตแห่งนี้ สำนักสวรรค์พิสดารของเราถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 7 ของกลุ่มนักฆ่าทั้งหมด สำนักของพวกเราถูกจัดตั้งขึ้นมานานกว่าร้อยปีแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น อัตราความสำเร็จในการปฏิบัติภารกิจของพวกเราก็อยู่ที่ประมาณ 79% ส่วนสำนักอื่นๆที่อยู่ในอันดับต้นๆ นั้น พวกเขามีจำนวนสมาชิกในสำนักมากกว่าพวกเราอย่างน้อยสิบเท่า”
“สำนักสวรรค์พิสดาร?” ริมฝีปากของโจวเหว่ยชิงกระตุกขณะที่เขาคิดกับตัวเองว่า:ให้ตายเถอะ! ช่างเป็นชื่อที่สร้างสรรค์จริงๆ!
หัวเฟิงยิ้มบางเบาขณะที่เขาเอ่ยคำกลอนของสำนักว่า “พวกเราคือกลุ่มคนพิสดาร อาจหาญจะยิงศร ทำลายเจ้าให้ม้วยมอญ จนจากจรไปสู่สวรรค์”
“จากนี้ไปพวกเจ้าจะเป็นสมาชิกของสำนักสวรรค์พิสดารอีกด้วย อย่างไรก็ตาม เนื่องจาก 2 ปีต่อจากนี้คือช่วงเวลาฝึกฝนของพวกเจ้า ดังนั้นพวกเจ้าจะไม่ได้ส่วนแบ่งจากภารกิจที่ได้รับมอบหมาย แต่เมื่อความสามารถของพวกเจ้าสูงถึงมาตรฐานที่ทุกคนยอมรับและเห็นพ้องต้องกันแล้ว พวกเราก็จะเริ่มมอบส่วนแบ่งให้เจ้า”
มู่เอินมองโจวเหว่ยชิงก่อนที่จะพูดว่า “หึ เจ้าเด็กเหลือขอ! อย่าคิดจะตัดสินฝีมือของมือสังหารอย่างพวกเราด้วยมาตรฐานจ้าวมณีทั่วไปล่ะ แต่ก่อนหากหน่วยของเราต้องต่อสู้โดยไม่ใช้ธนู เมื่อเผชิญหน้ากับจ้าวมณีธรรมดาๆที่มีมณี 5 ดวง เจ้ามณีคนนั้นก็สามารถทำลายหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเราลงได้แล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ในช่วง 100 ปีที่ผ่านมานี้ อัตราความสำเร็จในการต่อสู้ของพวกเราเป็นอย่างไรน่ะรึ? ข้าจะพูดถึงพวกระดับสูงๆ ให้ฟัง บุคคลที่แข็งแกร่งที่สุดที่เราเคยลอบสังหารคือจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณี 9 ชุด เขาแค่เพียงคนเดียวก็แข็งแกร่งพอจะต่อสู้กับจ้าวมณีธรรมดาที่มีมณี 9 ดวงได้นับร้อยคนแล้ว! นอกจากนี้ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาจำนวนผู้คนที่เราเคยลอบสังหารก็คือ จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะที่มีมณี 9 ดวงจำนวน 11 คน จ้าวมณีที่มีมณี 8 ดวง 43 คน จ้าวมณีที่มีมณี 7 ดวง 114 คน…”
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์กล่าวว่า “ผู้อาวุโส พวกเราจะฝึกฝนอย่างหนักและตั้งใจทำภารกิจอย่างเต็มที่ด้วยกำลังทั้งหมดของเรา ได้โปรดชี้แนะพวกเราด้วย”
ฮั่นโม่ยืนขึ้นแล้วพูดกับหัวเฟิงว่า “หัวหน้า ถ้าไม่มีอะไรแล้วข้าขออนุญาตกลับก่อน”
หัวเฟิงพยักหน้าและพูดว่า “ปิงเอ๋อร์มากับข้า ข้าจะจัดสถานที่พักให้เจ้าพร้อมกับทดสอบความแข็งแกร่งของเจ้าด้วย”
“รับคำสั่ง ท่านอาจารย์” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ลุกขึ้นยืนทันที ขณะที่เธอกำลังจะจากไปโจวเหว่ยชิงก็คว้ามือเธอไว้อย่างรวดเร็ว เขาขยับเข้าไปใกล้หูของเธอแล้วกระซิบเบาๆ ว่า “ปิงเอ๋อร์ ระวังตัวด้วย อย่าให้ตาแก่หน้าตาหล่อเหลาผู้คนนั้นหลอกล่อเอาเปรียบเจ้าได้ล่ะ!” พูดจบเขาก็มองไปยังหัวเฟิง ด้วยรูปลักษณ์ที่หล่อเหลาและสง่างามของหมอนั่น เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงอันตรายบางอย่าง
ใบหน้าของซ่างกวนปิงเอ๋อร์ขึ้นสีแดงระเรื่อ เธอหยิกเขาจมเนื้อหนึ่งทีก่อนจะจากไปพร้อมกับหัวเฟิง
โจวเหว่ยชิงทันได้มองเห็นท่าทางของหัวเฟิงขณะเดินออกไปอย่างชัดเจน ริมฝีปากของเขากระตุกขึ้นด้วยรอยยิ้มแปลกประหลาด อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตกใจขึ้นมาเล็กน้อย หรือว่า…อาจจะเป็นไปได้ที่… ข้ากระซิบเบาๆ แต่เขากลับได้ยินทุกอย่าง?
ทันทีที่ซ่างกวนปิงเอ๋อร์และหัวเฟิงเดินออกไป มู่เอิน หลัวเขอตี้และเกาเฉินที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามของโจวเหว่ยชิงก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงดังสนั่น ในบรรดาพวกเขาทั้ง 3 คน หลัวเขอตี้เป็นคนที่แสดงออกเกินจริงมากที่สุด เขาหัวเราะจนน้ำตาไหลลงมาอาบแก้มทั้งสองข้าง กระทั่งทุบกำปั้นของเขาลงบนโต๊ะเสียงดัง ขณะที่มู่เอินหัวเราะจนเก้าอี้ไม้หนักๆ ที่เขานั่งทับอยู่แทบจะขยับออกจากที่ โจวเหว่ยชิงถามงงงวย “ทำไมพวกท่านถึงหัวเราะล่ะ มีอะไรน่าขำหรือ?”
เกาเฉินเอ่ยตอบขณะที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง “เหว่ยน้อย เจ้าคิดหรือว่าเสียงกระซิบของเจ้านั้นเบามากและมีปิงเอ๋อร์เพียงคนเดียวที่ได้ยิน?”
“อะไรนะ? นี่…ทุกคนได้ยินที่ข้าพูดหรือ?” โจวเหว่ยชิงถามด้วยความแปลกใจ
หลัวเขอตี้ยกนิ้วให้เขาและพูดว่า “เหว่ยน้อย ข้าจะบอกอะไรให้ ถ้ามีคนอื่นพูดเรื่องคล้ายๆ กับที่เจ้าเพิ่งพูดกับปิงเออร์ไป แม้ว่าพวกเขาจะไม่ตาย อย่างน้อยก็ต้องโดนหัวหน้าเล่นงานจนบาดเจ็บสาหัส เจ้าคิดว่าเสียงของเจ้าเบางั้นรึ? เจ้าลืมอาชีพที่พวกเราใช้ทำมาหากินไปแล้วหรือไง? พวกข้าทุกคนล้วนเป็นพลธนูและมือสังหาร! สำหรับพลยิงธนู การคำนวณระยะทางและความเร็วจากการได้ยินคือเรื่องง่ายๆสำหรับพวกเรา แม้แต่จ้าวมณีสวรรค์ระดับเทวะก็ยังไม่อาจเทียบเคียงพวกเราได้! เสียงกระซิบของเจ้าไม่แตกต่างอะไรกับมาพูดอยู่ข้างๆหูของข้าเลยด้วยซ้ำ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!! และเจ้า…เจ้ายังกลัวว่าหัวหน้าจะขโมยคนรักของเจ้า…ฮ่าๆๆๆๆๆๆ โอย ข้าขำจนเกือบตายแล้ว”
“มีอะไรน่าขำนักหรือ!? ในฐานะผู้ชายคนหนึ่ง ข้ากังวลเกี่ยวกับภรรยาของข้ามันผิดตรงไหน” โจวเหว่ยชิงร้องออกมา จากความอับอายก็เปลี่ยนไปเป็นความโกรธ
“ปัดโถ่! เจ้าเด็กเหลือขอนี่! หยุดทำให้ข้าเสียหน้าจะได้ไหม!” มู่เอินบอกกับเขา “เจ้าเด็กเหลือขอ เจ้ารู้หรือไม่ว่าหัวหน้าหัวเฟิงหวังอยากให้เจ้าเรียกเขาว่าอะไรมากที่สุด?”
โจวเหว่ยชิงถามอย่างสงสัย “อะไรล่ะ?”
มู่เอินหยุดเล็กน้อยก่อนจะพูดว่า “แม่รอง ”
“อะไรนะ?!” ดวงตาของโจวเหว่ยชิงเกือบจะถลนออกมาจากเบ้า “เจ้าหมายความว่าท่านหัวหน้าเป็นผู้หญิง?”
“ไม่ ไม่…แน่นอนว่าหัวหน้าของเราเป็นผู้ชาย แต่อย่างไรซะ เขาก็ชอบผู้ชายคนอื่นอยู่เช่นกัน คนที่เขาตกหลุมรักก็คือบิดาของเจ้ายังไงล่ะ! ฮ่าๆๆๆๆๆ เจ้าเด็กน้อย เจ้าควรกังวลว่าใครบางคนอยากจะเป็นแม่อีกคนของเจ้ามากกว่าจะไปขโมยภรรยาของเจ้านะ ฮ่าๆๆๆๆ โอ้ย ช่วยด้วย ข้าหยุดหัวเราะไม่ได้ ฮ่าๆๆๆๆ”
โจวเหว่ยชิงจ้องมองบุคคลทั้ง 3 อย่างตกตะลึง กรามของเขาอ้าค้าง ถึงกับพูดไม่ออกไปชั่วขณะ ทันใดนั้นเอง ทั้ง 3 คนที่กำลังหัวเราะอย่างบ้าคลั่งก็หยุดชะงักอย่างไร้สาเหตุ สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปมา จากนั้นทั้งหมดก็ลงไปนอนหมอบอยู่กับพื้นภายในชั่วพริบตา ผนังไม้ด้านหลังพวกเขามีรูเล็กๆ 3 รูปรากฏขึ้นในบริเวณที่พวกเขานั่งรวมกันอยู่เมื่อสองวินาทีก่อน
เสียงของหัวเฟิงดังมาจากที่ไกลๆ “ถ้าพวกเจ้า 3 คนอยากตายมากนัก ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะช่วยเติมเต็มความปรารถนาของพวกเจ้า”
ใบหน้าของหลัวเขอตี้นั้นหน้าซีดขาว ในขณะที่เกาเฉินกลับมามีสีหน้าเคร่งขรึมทันที “ตาแก่เหลี่ยมจัด เจ้ากล้านินทาหัวหน้าได้อย่างไร? ข้าจะจับตาดูเจ้าไว้! เอาล่ะ ข้าจะกลับแล้ว ต้องรีบไปเก็บของสำหรับภารกิจในวันพรุ่งนี้” ทันทีที่เขาพูดจบ เขาก็หายตัวออกไปจากห้องด้วยความรีบร้อน
มีเพียงมู่เอินเท่านั้นที่นั่งลงบนเก้าอี้ของเขาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขามองไปยังโจวเหว่ยชิงที่กำลังตะลึงงันอยู่และพูดอย่างเฉยเมย “เหว่ยน้อย ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
“เข้าใจ? แน่นอนตอนนี้ข้าเข้าใจแล้ว ไม่แปลกใจที่ที่นี่ถูกเรียกว่าสำนักสวรรค์พิสดาร มีแต่คนพิสดารทั้งนั้น ไม่มีใครปกติสักคน…” โจวเหว่ยชิงมีสีหน้าแปลกๆ เนื่องจากในหัวของเขาเกิดจินตนาการฉากบางอย่างขึ้นมา…บิดาของเขาและหัวเฟิงผู้หล่อเหลากำลังจับมือกัน…
เมื่อรู้สึกว่าลำไส้ของตนเริ่มแปรปรวน โจวเหว่ยชิงก็ตบหน้าตัวเองเพื่อเรียกสติทันที
ในบรรดาสมาชิกทั้ง 7 คน เขาได้พบแล้ว 5 คน หนึ่งในนั้นเป็นพวกตัดแขนเสื้อ คนหนึ่งเป็นคนเหลี่ยมจัด คนหนึ่งเป็นอันธพาล คนหนึ่งเป็นพวกบ้าเลือด ส่วนอีกคนก็เป็นก้อนน้ำแข็งเดินได้
เขาถามอย่างลังเล “อาจารย์ ฉายาของสมาชิก 2 คนสุดท้ายคืออะไรหรือ?”
มู่เอินลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปหาโจวเหว่ยชิง “เจ้าจะต้องระวังสมาชิก 2 คนสุดท้ายให้ดี หนึ่งในนั้นคือผู้หญิงเพียงคนเดียวในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ของเรา หญิงสาวผู้งดงามนางนั้นหลงรักหัวเฟิงมานานกว่า 20 ปี เช่นเดียวกับที่หัวเฟิงหลงรักบิดาของเจ้า นางชื่อสุยเฉา แต่พวกเรามักจะเรียกนางว่าหญ้าน้อย [1] อย่างไรก็ตาม นางเป็นพวกหยินหยางพร่อง อารมณ์จึงรุนแรงมาก นอกจากหัวเฟิงแล้ว นางดุร้ายกับคนอื่นๆ มาก ฉายาของนางก็คือ ‘ภูเขาไฟ’ ไฟหมายถึงอารมณ์ คุกรุ่นของนาง ในขณะที่ภูเขาหมายถึงทักษะธาตุของนาง แน่นอนว่านางคือจ้าวมณีธาตุดิน นางเป็นคนที่เจ้าต้องระวังมากที่สุดเพราะว่าในสายตาของนาง บิดาของเจ้าเป็นผู้ขโมยคนที่นางรักไป”
“สมาชิกคนสุดท้ายคือรองหัวหน้าของเรา เขาชื่อว่ายี่ฉือ ความสามารถพิเศษของเขาคือการซุ่มโจมตีและยิงสนับสนุน เขาเป็นผู้ช่วยที่ดีที่สุดในสนามรบ อีกทั้งในแง่ของแผนการชั่วร้ายตลบตะแลงก็ไม่มีใครสามารถเอาชนะเขาได้ เพศของเขา เอ่อ…ค่อนข้างไม่เหมือนใครเท่าไหร่…ก็เหมือนกับฉายาของเขานั่นแหละ ‘ลักเพศ’ “
บนหัวของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยขีดสีดำ 5 ขีด[2] กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขากระตุกเล็กน้อย ที่นี่มันศูนย์รวมคนประเภทไหนเอาไว้บ้างเนี่ย? มีพวกลักเพศและราชสีห์ตัวเมียเพิ่มเข้ามาอีก! พวกเขาจะใช้เวลาอีก 2 ปีถัดไปที่นี่ได้จริงๆ หรือ!
“เอาล่ะ พวกเราก็ไปกันเถอะ ข้าจะจัดหาสถานที่พักให้เจ้า จากนั้นเจ้าก็แสดงพลังของเจ้าให้ข้าดู ข้าได้ยินว่าเจ้าได้หลอมรวมศาสตรามณียุทธ์กับมณีของเจ้าเรียบร้อยแล้ว แล้วเจ้ากักเก็บธาตุลงในมณีหรือยัง?”
โจวเหว่ยชิงพยักหน้าและพูดว่า “อืม ข้าทำหมดแล้ว”
ดวงตาของมู่เอินกรอกไปมาขณะที่เขาพูดว่า “ตาแก่โจวคงจะยินดีจ่ายให้เจ้าสินะ!”
ขณะนี้ ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ทำใจได้แล้ว อย่างไรซะ เขาก็เรียนรู้กับมู่เอินมานานกว่า 2 ปี ความสามารถในการปรับตัวเข้ากับสถานที่แปลกประหลาดนั้น เขาก็ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี เมื่อฟังคำพูดของมู่เอิน เขาได้แต่ยิ้มให้กับตัวเอง
หลัวเขอตี้กล่าวว่า “เอาล่ะ ข้าจะกลับไปดื่มเหล้าก่อน เหว่ยน้อย อย่าลืมสิ่งที่ข้าบอกเจ้าก่อนหน้านี้ล่ะ”
โจวเหว่ยชิงยกคิ้วขึ้นแล้วพูดว่า “ท่านพูดว่าอะไรนะ? ข้าลืมไปแล้ว”
“อะไรนะ?!” หลัวเขอตี้กระแทกมือลงบนโต๊ะและโบกไม้โบกมือให้โจวเหว่ยชิง “เด็กเหลือขอตัวน้อย เจ้าอยากตายรึ?”
มู่เอินกรอกตาแล้วพูดว่า “ข้าคิดว่าคนที่อยากตายคือเจ้ามากกว่า! ลูกศิษย์ของข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ แต่เจ้ากลับขู่เขาแล้ว? เช่นนี้เจ้าจะเป็นอาจารย์ลุงของเขาได้อย่างไร?”
โจวเหว่ยชิงรีบหนีไปซ่อนตัวอยู่ด้านหลังมู่เอินอย่างรวดเร็ว เขาพยักหน้าและพูดว่า “ใช่แล้ว ท่านอาจารย์ลุง! ความจำของข้ามักจะไม่ค่อยดี แต่ถ้าข้าได้รับของขวัญต้อนรับ บางทีมันอาจช่วยฟื้นความทรงจำของข้าให้นึกถึงสิ่งที่ท่านพูดก่อนหน้านี้ก็เป็นได้”
หลัวเขอตี้พูดด้วยความโมโห “ข้ากำลังพูดถึงเจ้าต่างหาก!”
มู่เอินพูดอย่างไร้เดียงสา “แต่เหว่ยน้อยไม่ใช่บุตรชายของข้า เขาเป็นเพียงแค่ลูกศิษย์ของข้า เจ้าบอกว่าลูกหนู แต่เขาไม่ใช่ลูกข้าเสียหน่อย เฮ้ออออ นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้เห็นโจวสุ่ยหนิวสั่งสอนใครบางคน ข้าแทบจะรอไม่ไหวเลยที เดียว!”
หลัวเขอตี้จ้องมองที่คู่ศิษย์อาจารย์ตรงหน้าอย่างเหลืออด ในที่สุดเขาก็สบถออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง “ข้าล่ะกลัวพวกเจ้าสองคนจริงๆ! ตาแก่อันธพาล ข้าจะให้ของขวัญต้อนรับกับเขา!”
มู่เอินพูดอย่างใจกว้าง “ไม่มีปัญหา! แค่จำเอาไว้ว่าต้องนำมันมามอบให้ก่อนที่เราจะออกเดินทางในวันพรุ่งนี้ก็แล้วกัน ไปกันเถอะ เหว่ยน้อย”
โจวเหว่ยชิงมอบรอยยิ้มงดงามให้กับหลัวเขอตี้และกล่าวว่า “อาจารย์ลุง ขอบคุณมาก! ข้าคิดว่าของขวัญของท่านจะต้องยอดเยี่ยมมากแน่ๆ!”
เมื่อได้ยินคำพูดของเขา หลัวเขอตี้ก็เกือบจะโขกหัวของเขาเข้ากับผนัง คู่ศิษย์อาจารย์นี้ไม่อาจจะเอาชนะได้ง่ายๆจริงๆ พวกเขาประสานรับกันได้อย่างรวดเร็วราวกับเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี หึ เมื่อโจวเหว่ยชิงพูดเช่นนี้ ของขวัญต้อนรับ ธรรมดาๆ ก็คงจะไม่พอ เขาจะต้องมอบของขวัญที่ยอดเยี่ยมมากให้กับเจ้าเด็กนั่น! เมื่อมองไปยังทั้งสองคนที่กำลังเดินออกไป หลัวเขอตี้ก็อดจะขบเขี้ยวเคี้ยวฟันพลางคิดกับตัวเองไม่ได้ว่า บางทีมันอาจถึงเวลาแล้วที่ข้าควรจะหาศิษย์เช่นกัน!
ขณะที่พวกเขาเดินออกมายังลานกว้าง มู่เอินก็หันไปหาโจวเหว่ยชิงและพูดว่า “เหว่ยน้อย เจ้าเหลี่ยมจัดนั่นกล่าวว่าศาสตรามณียุทธ์ของเจ้าเป็นธนูที่ยอดเยี่ยมมาก นำออกมาให้ข้าดูหน่อย เจ้านั่นมีสายตาเฉียบคมและยังพิถีพิถันมาก การที่เขาชื่นชมธนูของเจ้าแสดงว่ามันน่าจะใช้การได้ดีทีเดียวง”
………………………………………………………………..
[1] สุยเฉา – เฉา Cao (草) แปลว่าหญ้า
[2] คืออารมณ์ประมาณนี้ [ -.-“’’’]
[3] เปรียบเทียบว่าความเจ้าเล่ห์ของโจวเหว่ยชิงได้รับการสั่งสอนมาจากมู่เอิน
Related