Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา – บทที่ 31.1 ศาสตรามณียุทธ์และทักษะกัก

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

แม้ว่ามู่เอินจะไม่ได้ให้ของขวัญต้อนรับใดๆ แก่ลูกศิษย์ของเขา ทว่าเมื่อคนทั้งกลุ่มออกเดินทางจากที่ตั้งหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ อุปกรณ์ประจำกายของโจวเหว่ยชิงก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่าธนูอุษาม่วงของเขาถูกเปลี่ยนเป็นธนูสีดำขนาดใหญ่คันหนึ่ง หากจะกล่าวว่าธนูอุษาม่วงที่ยาว 1.5 เมตรนั้นค่อนข้างใหญ่เทอะทะแล้ว ธนูสีดำที่เขาถืออยู่ตอนนี้กลับใหญ่กว่าเสียอีกเนื่องจากมันยาวเกือบ 2 เมตร! ดังนั้น เมื่อมองเผินๆ ธนูคันนี้จึงให้ความรู้สึกแตกต่างกับธนูวิญญาณมรกตคันเล็กๆ ของซ่างกวนปิงเอ๋อร์อย่างชัดเจน

แน่นอนว่าคนที่มอบธนูสีดำคันใหญ่ให้กับโจวเหว่ยชิงนั้นจะเป็นใครไปไม่ได้นอกเสียจากหลัวเขอตี้ แม้ว่าเขาจะชอบดื่มสุราและมีนิสัยเจ้าเล่ห์โดยธรรมชาติ แต่เขาก็รักษาคำพูดเสมอ ถึงกระนั้น สิ่งที่ทำให้โจวเหว่ยชิงรู้สึกเศร้าใจที่สุดก็คือธนูสีดำขนาดใหญ่นี้กลับมีน้ำหนักถึง 80 จินหรือก็คือเกือบ 4 เท่าของธนูอุษาม่วง! การง้างธนูคันนี้จึงไม่ได้ง่ายไปกว่าธนูราชันของเขาเลยแม้แต่น้อย และถึงแม้ร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งขึ้นมากจากผลลัพธ์ของมณียุทธ์หยกน้ำแข็งบริสุทธิ์ เขาก็ยังคงต้องหมุนเวียนพลังปราณสวรรค์และปลดปล่อยมณียุทธ์ออกมาก่อนจึงจะสามารถง้างธนูสีดำคันนี้ขึ้นจนสุดสายได้

มู่เอินบอกโจวเหว่ยชิงว่าคันธนูนี้เรียกว่าธนูอุษาดำ ยิ่งไปกว่านั้นคือธนูนี้ไม่มีขาย มันทำมาจากไม้ดาราอายุพันปีและมีระยะการยิงที่กว้างที่สุดในบรรดาธนูทั้งหลายที่มีบนโลก อ้อ ยกเว้นไว้ก็แต่พวกศาสตรามณียุทธ์ประเภทธนูคันอื่นๆเท่านั้น สิ่งนี้จึงเหมาะที่สุดสำหรับใช้ระหว่างการฝึกความแข็งแกร่งและความอึดทนของร่างกาย

โชคดีที่การปฏิบัติภารกิจในครั้งนี้พวกเขาไม่จำเป็นต้องเดินทางด้วยเท้า ในขณะที่พวกเขากำลังเดินออกจากลานกว้าง หัวเฟิงก็พาพวกเขาไปยังรถม้าหรูหราคันหนึ่งที่จอดอยู่ด้านนอก แม้โจวเหว่ยชิงจะยังไม่รู้ว่ามันมาจอดอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ตาม

รถม้าคันนี้มีขนาดใหญ่กว่ารถม้าธรรมดาถึงสองเท่า ตัวรถด้านนอกถูกทาสีและเคลือบไว้ด้วยทองคำและหินหยก พร้อมกันนั้นก็ตกแต่งด้วยของประดับหรูหรา รถคันนี้ถูกลากโดยม้าขนาดใหญ่จำนวน 4 ตัว

ภายในรถม้ามีกำแพงสี่ด้าน แต่ละด้านขึงไว้ด้วยพรมขนสัตว์ ที่นั่งในนั้นกว้างขวางและมีขนาดใหญ่จนเกือบจะเหมือนเก้าอี้นวม เพียงหย่อนก้นลงก็ให้ความรู้สึกอ่อนนุ่มแต่ทว่าก็ยังแข็งแรงทนทาน แน่นอนว่าข้างในนั้นดูสะดวกสบายมาก รถม้าประเภทนี้สามารถบรรจุอย่างน้อย 12 คนได้สบายๆ

“อาจารย์ พวกท่านทุกคนฟุ่มเฟือยเกินไปแล้ว รถม้าคันนี้ราคาเท่าไหร่หรือ?” แม้โจวเหว่ยชิงจะกล่าวเช่นนั้น แต่เขาก็ยังเกือบน้ำลายไหลเมื่อมองเห็นสภาพภายใน รถม้าที่สะดวกสบายและหรูหราเช่นนี้ หากเขาสามารถเป็นเจ้าของได้ เขาจะเดินทางไปรอบโลกพร้อมกับสาวงามเต็มคันรถ! แน่นอนว่านั่นจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในโลกสำหรับเขาเลยทีเดียว แม้ว่าการตกแต่งภายนอกจะค่อนข้างหรูหราโอ่อ่าเกินไปหน่อยก็ตาม

เมื่อได้ยินโจวเหว่ยชิงพูดถึงรถม้า มู่เอินก็อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าขุ่นเคือง “รถม้าคันนี้ไม่ใช่ของพวกเรา มันเป็นทรัพย์สินส่วนตัวของของหัวเฟิง เจ้าคิดว่าพวกเราได้นั่งโดยไม่ต้องเสียเงินงั้นหรือ? ตาแก่ขี้เหนียวนั่นจะเก็บเงินตามระยะทางที่พวกเราไป และทุกครั้งที่เราไปปฏิบัติภารกิจ เราจะต้องจ่ายให้เขาอย่างน้อย 1 ใน 5 ของส่วนแบ่งที่ได้รับ”

หัวเฟิงนั่งอยู่ข้างในสุดของรถม้า เมื่อได้ยินคำพูดของมู่เอินเขาก็พูดส่งเสียงหึในลำคอทันที “ตาแก่อันธพาล เจ้าพูดจาไร้สำนึกผิดชอบชั่วดีแบบนี้ได้อย่างไร? ไม่ใช่ว่าการเดินทางด้วยรถม้าของข้านั้นคุ้มซะยิ่งกว่าคุ้มหรอกหรือ? ยังไงซะ มันก็ถูกสร้างขึ้นจากโลหะผสมไทเทเนียมทั้งคัน ยิ่งไปกว่านั้น มันยังมีแม้กระทั่งกลไกดูดซับแรงกระแทก เมื่อเดินทางระยะไกลๆ ไม่เพียงแต่จะทำให้ไปถึงเร็วกว่าเท้าเปล่า แต่ก็ยังทำให้พวกเจ้าสะดวกสบายและช่วยให้เราสามารถมุ่งความสนใจไปที่ภารกิจเพียงอย่างเดียวด้วย ยิ่งกว่านั้น ส่วนแบ่งที่เจ้าจ่ายให้ข้าไม่ได้มีไว้สำหรับค่ารถม้าเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึงอุปกรณ์อื่นๆที่ใช้ในภารกิจด้วย หากพวกเจ้าเต็มใจที่จะรับผิดชอบจัดหาอุปกรณ์เหล่านั้น ข้าก็ไม่รังเกียจที่จะถอยออกมาให้พวกเจ้าจัดการกันเอง”

มู่เอินหันหน้าหนีไปอีกทางด้วยความขุ่นเคือง ในขณะที่หลัวเขอตี้ผู้กำลังนั่งเอนหลังพร้อมกับขวดเหล้าในมือนั้นกล่าวว่า “พอแล้ว ตาแก่อันธพาลนี่! ขนาดเจ้ากับศิษย์รักของเจ้าปล้นเงินข้าไปมากขนาดนี้! บิดายังไม่บ่นอะไรมากมายเลย!”

มู่เอินตบหัวของเขาแล้วพูดว่า “เหลี่ยมจัดน้อย เจ้าอายุน้อยที่สุดที่นี่ กล้าจะเรียกตัวเองว่าบิดา เจ้าเป็นบิดาใครไม่ทราบหา!?”

หลัวเขอตี้ตอบด้วยน้ำเสียงโมโหร้าย “โง่เง่า เจ้าคนโง่เง่าตัวเหม็น! ลูกศิษย์ของเจ้าไม่ใช่คนรึ? ลูกศิษย์ของหัวหน้าหัวเฟิงไม่ใช่คนรึ? พวกเขาแก่กว่าข้ารึ? ข้าก็หมายถึงพวกเขานั่นแหละ!”

ฮั่นโม่มองไปที่หลัวเขอตี้อย่างเฉยเมยและพูดสอดว่า “ถ้าเจ้ายังทำเสียงดังอีก ข้าจะโยนเจ้าออกไป!”

หลัวเขอตี้พูดด้วยน้ำเสียงโมโห “ตาแก่อันธพาลนั่นมันเริ่มก่อนนะ มันล้อเลียนข้า ทำไมเจ้าถึงไม่โยนมันออกไป?”

ฮั่นโม่พูดอย่างอดทน “ข้าเอาชนะเขาไม่ได้ แต่ข้าเอาชนะเจ้าได้ ตบมือข้างเดียวยังไงก็ไม่ดัง แค่ข้าโยนเจ้าออกไปก็เพียงพอแล้ว “

“ฮึ่ม!! เกรงกลัวผู้แข็งแกร่งแต่เอาเปรียบคนอ่อนแองั้นรึ โมโม่น้อย ข้าจะจดจำเอาไว้!!!” หลัวเขอตี้มีสีหน้าอึมครึมขณะที่เขากระดกเหล้าเข้าปากมากขึ้น จากนั้นเขาก็สงบปากสงบคำลง

รถม้าคันนี้มีคนขับประจำอยู่คนหนึ่ง เขามีอายุประมาณ 40 ปี ใบหน้าดูซื่อๆ ทุก 4 ชั่วโมงพวกเขาจะหยุดพักม้าและจะเดินทางเพียง 14-16 ชั่วโมงต่อวัน อย่างไรก็ตาม หัวเฟิงก็ไม่ได้พูดเกินจริง แม้ว่าพวกเขาจะเดินทางไกลมาก แต่การนั่งในรถม้าก็สะดวกสบายมากจริงๆ สบายจนเหมือนกับว่านี่เป็นการเดินทางเพื่อไปเที่ยวพักผ่อนชมนกชมไม้ ไม่ใช่ทำภารกิจเสี่ยงตาย นอกจากนี้ ใต้รถม้ายังมีช่องลับซ่อนอยู่ พวกมันใช้เก็บอาหาร เครื่องดื่มและอุปกรณ์ทุกประเภทเอาไว้เป็นจำนวนมาก

มีอยู่ครั้งหนึ่งที่โจวเหว่ยชิงชนเข้ากับกำแพงรถม้าโดยบังเอิญ หลังจากนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าแม้ตนจะใช้ธนูราชันยิงเข้าใส่รถม้าคันนี้โดยตรง มันก็ยังไม่สามารถเจาะทะลุผ่านโครงสร้างโลหะผสมไทเทเนียมหนาๆ ของรถม้าคันนี้ได้ เขาแทบจะจินตนาการไม่ออกเลยว่ารถม้าคันนี้ใช้เงินเท่าไหร่สร้างขึ้นมา นอกจากนั้นเขาก็ยังอดจะยินดีกับตัวเองไม่ได้ว่า อย่างไรซะ เขากับปิงเอ๋อร์ก็ไม่ได้ส่วนแบ่งจากภารกิจอยู่แล้ว ดังนั้นก็แสดงว่าพวกเขาไม่ต้องเสียเงินนั่งรถม้าคันนี้ด้วยน่ะสิ!

สำหรับภารกิจที่กำลังมุ่งหน้าไปทำนั้นยังไม่มีใครอธิบายรายละเอียดให้พวกเขาฟังแม้แต่คนเดียว สิ่งเดียวที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์รู้ก็คือมันน่าจะอยู่ที่ไหนสักแห่งในเขตแดนของอาณาจักรเฟยหลี่

หลังจากนั่งรถม้าหรูหรามาเป็นเวลา 7 วัน พวกเขาก็มาถึงพรมแดนของอาณาจักรเกาทัณฑ์สวรรค์และอาณาจักรเฟยหลี่แล้ว เมื่อรถม้าเดินทางต่อไปข้างหน้า พวกเขาก็เข้าสู่หุบเขาหนึ่ง แม้ว่าจะมีถนนตัดเข้าไปในหุบเขา แต่มันก็ค่อนข้างเล็กและแคบมาก ก่อนหน้านี้ที่โจวเหว่ยชิงและซ่างกวนปิงเอ๋อร์เข้าสู่อาณาจักรเฟยหลี่ พวกเขาไม่ได้เดินทางโดยใช้เส้นทางนี้แต่ใช้อีกเส้นทางที่เล็กกว่าและมีระยะทางค่อนข้างใกล้กว่า อย่างไรก็ตาม เพราะขนาดของรถม้า พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้เส้นทางนี้เนื่องจากมันใหญ่เพียงพอจะให้รถม้าผ่านไปได้ ขณะที่โจวเหว่ยชิงกำลังหลับตาทำสมาธิขณะที่กำลังฝึกปราณสวรรค์ ทันใดนั้นเอง เขาก็ได้ยินเสียงร้องของม้าและรถม้าก็ถูกม้ากระชากไปข้างหน้าเล็กน้อย เสียงร้องโวยวายของคนขับรถม้าดังขึ้นก่อนที่รถม้าจะหยุดชะงักดังเอี๊ยด

หัวเฟิงลืมตาขึ้นอย่างช้าๆเขาพูดกับมู่เอินโดยไม่มองออกไปข้างนอกแม้แต่น้อย “ตาแก่อันธพาล งานเสริมของเจ้ามาถึงแล้ว พาเหว่ยน้อยออกไปเปิดหูเปิดตาด้วยก็ได้”

ดวงตาของมู่เอินดูสดใสขึ้น เขายิ้มกว้างขณะที่พูดว่า “ข้าไม่ปฏิเสธข้อเสนอที่ดีเช่นนี้แน่นอน เหว่ยน้อย ไปกันเถอะ”

สมาชิกคนอื่นๆ ต่างก็แสดงท่าทางไม่พอใจ นั่นยังรวมไปถึงฮั่นโม่ที่ปกติมักจะทำสีหน้าไร้อารมณ์ด้วย หลัวเขอตี้มอบรอยยิ้มประจบสอพลอให้กับมู่เอิน “ตาแก่อันธพาล เจ้าไม่ต้องการความช่วยเหลือจากคู่หูหรือ?”

มู่เอินจ้องมองเขาและพูดว่า “ช่วยมารดาเจ้าสิ…” เมื่อพูดจบ หลัวเขอตี้ก็ตอบกลับเขาด้วยการชูนิ้วกลาง

ในหัวของโจวเหว่ยชิงเต็มไปด้วยคำถามขณะก้าวลงจากรถม้าพร้อมกับมู่เอิน “อาจารย์ เกิดอะไรขึ้นหรือ?”

มู่เอินกล่าวพร้อมกับยิ้มกว้าง “เป็นโอกาสของพวกเราที่จะทำเงิน! หัวเฟิงมอบโอกาสที่ดีมาให้ขนาดนี้ อาจนับได้ว่าเป็นของขวัญต้อนรับสำหรับเจ้าเลยทีเดียว หัวหน้าของพวกเราชาญฉลาดมาก เขารู้ทุกอย่างราวกับปีศาจ เจ้าคิดว่าทำ ไมเขาถึงต้องทำด้านนอกของรถม้าให้ดูหรูหราขนาดนี้ล่ะ? นั่นก็คือเหตุผลสำหรับเรื่องนี้”

เมื่อมู่เอินพูดจบก็มีเสียงตะโกนดังมาจากด้านหน้า “หยุดเดี๋ยวนี้! ภูเขาลูกนี้เป็นของข้า ต้นไม้พวกนี้ข้าก็เป็นคนปลูก หากเจ้าต้องการผ่านถนนเส้นนี้ ทิ้งของมีค่าเอาไว้ซะ ไม่อย่างนั้นเจ้าจะต้องตาย!”

“โจร?” โจวเหว่ยชิงเป็นคนฉลาด แน่นอนว่าเขาเข้าใจความหมายที่อยู่เบื้องหลังคำพูดของมู่เอินทันที คาดไม่ถึงว่าพวกเขากลับใช้รถม้าหรูหราเพื่อล่อความสนใจจากกลุ่มโจร เพื่อจะปล้นโจรคืน…ช่างเป็นความคิดที่…เอ่อ…มีเพียงคนประหลาดเท่านั้นแหละที่จะคิดแบบนี้ได้…

ขณะที่ทั้ง 2 คนเดินลงมาจากรถม้า พวกเขาก็เห็นว่าด้านหน้าของถนนถูกกลุ่มโจรกลุ่มหนึ่งขวางทางเอาไว้ พวกมันมีจำนวนคนมากกว่า 20 คน ยิ่งไปกว่านั้นคือทุกคนยังถืออาวุธเอาไว้ติดกาย ที่ด้านข้างของภูเขายังมีโจรอีกจำนวนหนึ่งยืนง้างธนูเล็งมาทางพวกเขา โจรเหล่านี้แต่งกายด้วยชุดสีน้ำเงิน แม้กระทั่งหัวหน้าของพวกมันยังสวมใส่เกราะอีกด้วย เห็นได้ชัดว่าพวกมันเป็นกลุ่มโจรที่มีระบบระเบียบกลุ่มหนึ่ง

หัวหน้าโจรดูเหมือนจะอายุประมาณ 40 ปี ในมือถือมีดขนาดใหญ่เล่มหนึ่ง “พวกเจ้าแน่ใจหรือว่าจะข้ามช่องแคบภูเขาสายลมอ่อนของพวกเราไปด้วยรถม้า! ดั่งที่โบราณว่าเอาไว้ คนล้มอย่าข้าม จงเหลือหนทางไว้ให้ผู้อื่นบ้าง ดังนั้นหากพวกเจ้าต้องการมีชีวิตอยู่ต่อก็ให้ทิ้งข้าวของมีค่าไว้ครึ่งหนึ่งบนรถม้า ส่วนอีกครึ่งหนึ่งพวกเจ้าสามารถนำติดตัวไปได้ พวกเจ้าจะต้องทิ้งม้าและรถม้าไว้ที่นี่ เพราะตอนนี้มันเป็นของข้า!”

มู่เอินที่ดูน่าสังเวชขยับร่างกายสั่นเทาออกไปสองสามก้าวแล้วพูดด้วยสีหน้าอ้อนวอน “พี่ชายใหญ่ท่านนี้ ดูสิ พวกเรามีแต่คนแก่และเด็ก ถ้าไม่มีรถม้าคันนี้ เราจะเดินทางไปต่อได้อย่างไร! โปรดช่วยเราด้วย ให้พวกเราผ่านไปเถิด ท่านสามารถนำข้าวของของเราไปได้ครึ่งหนึ่ง แต่พวกเราต้องการรถม้าจริงๆ”

สีหน้าของหัวหน้าโจรเปลี่ยนไปทันที “ไอ้แก่! เจ้าเรียกใครว่าพี่ใหญ่? บิดาจะตีเจ้าให้ตาย! เจ้าแก่กว่ากว่าเกือบ 20 ปี ยังมีหน้ามาเรียกข้าว่าพี่ชาย? เจ้าด่าว่าข้าแก่รึ?”

โจวเหว่ยชิงมองจากด้านข้างและเห็นได้ชัดว่าจังหวะหายใจของมู่เอินถี่ขึ้นอย่างควบคุมไม่อยู่ ท่าทางอ่อนน้อมถ่อมตนของเขาเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว โจวเหว่ยชิงยิ้มร่าอยู่ในใจ เขารู้ดีว่าอาจารย์ของเขาไม่ชอบถูกเรียกว่าไอ้แก่ “เจ้าเด็กเหลือขอ! พวกด้านหน้าเป็นของเจ้า ส่วนด้านข้างข้าจะจัดการเอง”

“ยังไงซะ อย่าลืมเหลือไอ้เจ้านั่นไว้ให้ข้าด้วย ข้าจะดูแลมันเป็นการส่วนตัว! ไปได้แล้ว!” มู่เอินถูกหัวหน้าโจรทำให้ของขึ้นจนไม่อยากจะเล่นละครต่อไปอีกแล้ว

โจวเหว่ยชิงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ตกลง!” ในขณะที่พูด เขาก็ได้ถอดธนูอุษาดำออกมาจากหลังของเขาและไหลเวียนพลังปราณสวรรค์อย่างรวดเร็ว เขาปลดปล่อยมณีสวรรค์ออกมา ง้างธนูอุษาดำขึ้นเป็นรูปพระจันทร์เต็มดวงก่อนจะปล่อยลูกศรพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

หัวหน้าโจรเริ่มตกตะลึง เขาไม่คาดคิดว่าชายชราและเด็กหนุ่มคู่นี้จะกล้าต่อต้านเขา “ฆ่าพวกมัน!”

กลุ่มโจรที่อยู่ด้านข้างของภูเขายิงธนูออกมาโจมตีทั้งคู่ทันที แต่ในเวลาเดียวกันนั้นเองมู่เอินกลับขยับไปก่อนแล้ว ส่วนโจวเหว่ยชิงเองก็ปล่อยลูกศรของเขาออกไปเช่นเดียวกัน

*สวบ* ลูกศรสายฟ้าสีดำพุ่งทะยานออกไปทันที หัวหน้าโจรผู้หยิ่งผยองรู้สึกได้ถึงคลื่นความร้อนที่พุ่งเฉียดใบหูของเขาไป บริเวณติ่งหูของเขารู้สึกเจ็บปวดและแสบร้อน ขณะที่โจร 4 คนข้างๆ เขาถึงกับล้มลงไปกองกับพื้นแล้ว ลูกศรทะยานผ่านทั้ง 4 คนก่อนจะพุ่งต่อไปในระยะไกลๆ

แม้แต่โจวเหว่ยชิงเองก็ยังอดตกตะลึงกับพลังที่แท้จริงของธนูอุษาดำไม่ได้ รัศมีการยิงนั้นไกลมาก อีกทั้งพลังการโจมตีก็ยังแข็งแกร่งพอๆ กับธนูราชันของเขาเลยทีเดียว

ในขณะนั้นเอง ห่าธนูก็กำลังตกลงมาหาพวกเขาราวกับสายฝน มู่เอินขยับไปในเวลาเดียวกัน และก่อนที่โจวเหว่ยชิงจะทันได้ขยับตัวทำอะไร เขาก็พบว่ามีเงาพร่ามัวสีเทาเกิดขึ้นรอบๆ ตัวเขา จากนั้นมู่เอินก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยลูกศรในมือมากกว่า 20 ดอก

…………………………….

Related

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

Status: Ongoing
นี่คือโลกใบใหม่ที่ไม่คุ้นเคย ระบบพลังใหม่ สุดยอดศาสตราวุธ และตัวเอกที่ไม่เหมือนใคร อัปเดตวันละ 2 ตอนในโลกที่ความแข็งแกร่งคือทุกสิ่งทุกอย่าง ผู้มีพลังเหยียบย่ำผู้อ่อนแอมีเด็กผู้ชายผู้หนึ่งเกิดมาเพื่อหวังจะก้าวขึ้นเป็นราชาจ้าวมณีสวรรค์ในอาณาจักรเล็กๆ ที่ยังต้องดิ้นรนในสงครามซึ่งรายล้อม ตัวเขาในฐานะที่เกิดในตระกูลแม่ทัพจึงจำเป็นต้องมุ่งมั่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ทว่าสวรรค์กลับไม่เป็นใจ เด็กชายเกิดมาพร้อมลมปราณอุดตัน ฝึกวิชาใดๆ ก็ไร้ผล ท้ายที่สุดก็กลายเป็นเศษสวะไร้ค่าในสายตาผู้อื่น!?ทำลายความภาคภูมิใจของบิดา… กลายเป็นความอัปยศอดสูของคู่หมั้น…หากแต่เขากลับใช้ชีวิตอย่างปกติสุข เที่ยวเล่นจับปลาไปวันๆ โดยไร้ความละอาย!ทว่า…เมื่อพลาดพลั้งถูกฆ่าและทิ้งให้ตาย ท้ายที่สุดสวรรค์ก็เมตตาไข่มุกรัตติกาลจากต่างมิติถูกดึงดูดด้วยแรงดิ้นรนอยากมีชีวิตอยู่ของเขามันมอบพลังที่เปลี่ยนให้เขากลายเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่หายากที่สุด!สิ่งนั้นปลุกศักยภาพของเขาขึ้นมา… แท้จริงแล้วเขาไม่ได้ไร้ค่า…แต่นั่นจะเป็นของขวัญจากสวรรค์ที่มาเปลี่ยนชะตาของเขาได้จริงหรือ?ร่วมผจญภัยไปกับ ‘โจวเหว่ยชิง’ ตัวเอกผู้ไร้ยางอายที่ใช้เล่ห์กลทุกอย่างในการเอาตัวรอดเพื่อมุ่งไปสู่จุดสูงสุดของโลกการฝึกวิชา สร้างยอดกองทัพ ปกป้องคนที่เขารักและขยายอาณาจักรเล็กๆ ให้ยิ่งใหญ่เกรียงไกร!นี่คือโลกใบที่ไม่คุ้นเคย พบกับระบบพลังใหม่ สุดยอดศาสตราวุธ และตัวเอกที่ไม่เหมือนใครมาร่วมหัวเราะและร้องไห้ไปกับผลงานชิ้นใหม่ของ Tang Jia San Shao ผู้เขียน ตำนานจอมยุทธ์ภูตถังซาน

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท