“นักเรียนที่มาจากตระกูลขุนนางมักจะเฟ้นหาพรรคพวกที่โดดเด่นจากบรรดานักเรียนสามัญชนเพื่อชักชวนพวกเขาเข้าร่วมกับตระกูลของตน ในการทำเช่นนั้น พวกเขาจะล่อลวงนักเรียนคนอื่นๆ ด้วยจำนวนเงินที่ใช้ในการหลอมรวมศาสตรามณียุทธ์หรือกักเก็บทักษะ”
“เมื่อนักเรียนพวกนั้นยอมตกเป็นเบี้ยล่างให้ตระกูลขุนนางเหล่านี้ มันก็ไม่ต่างจากไปจากการกระทำของสำนักกักเก็บทักษะหรอก รุ่นพี่พวกนั้นขายอิสรภาพให้กับตระกูลเย่ไปแล้ว”
ในบรรดานักเรียนสามัญชนทั้งหมด อย่างน้อย 8 ใน 10 ส่วนต่างก็เลือกทำงานภายใต้ตระกูลขุนนางหรือสำนักกักเก็บทักษะ เนื่องจากตระกูลเย่เป็นหนึ่งในตระกูลที่มีอิทธิพลมากที่สุดในโรงเรียน พวกเขาจึงมีพรรคพวกที่มีความสามารถโดดเด่นในหมู่นักเรียนสามัญชนมาก”
“ขอบคุณน้องชาย” โจวเหว่ยชิงหันกลับไปด้วยรอยยิ้ม รู้สึกประทับใจในตัวโข่วรุ่ยมากขึ้นกว่าเดิม เห็นได้ชัดว่าโข่วรุ่ยกังวลเกี่ยวกับโจวเหว่ยชิงจึงพยายามตรวจสอบอำนาจและอิทธิพลในโรงเรียนทั้งหมดเพื่อเขา ในตอนนี้รุ่นพี่นักเรียนสามัญชนหลายสิบคนกำลังเดินมาหาเย่โหลวที่มองดูพวกเขาอย่างดูถูกเหยียดหยามและพูดว่า “บิดาเจ้าเรียกตั้งนานไม่ยอมมา! พวกเจ้ากล้าเงียบใส่ข้าอย่างนั้นหรือ!? ไม่อยากเหลือท้องไว้กินข้าวแล้วใช่ไหม?! เจ้าเด็กเหลือขอคนนี้ดูถูกลูกพี่ใหญ่ของข้า พวกเจ้าจงจัดการเขาเดี๋ยวนี้!”
ในบรรดานักเรียนสามัญชนหลายสิบชีวิต บางคนรู้สึกอับอายและก้มหน้าลงต่ำ บางคนจ้องมองไปที่โจวเหว่ยชิง ในขณะที่บางคนมองเย่โหลวด้วยความโกรธ
รุ่นพี่ที่ยืนอยู่ด้านหน้าซึ่งดูจะอายุเท่าๆ กับซ่างหลางถอนหายใจเบาๆ ขณะที่พูดกับโจวเหว่ยชิงว่า “ขอโทษนะน้องชาย พวกรับเงินจากพวกเขามาแล้ว ฉะนั้นจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่ง ช่วยมากับพวกเราหน่อยได้หรือไม่?”
โจวเหว่ยชิงยืนขึ้น พยักหน้าและพูดว่า “ตกลง” เมื่อเขาพูดเช่นนั้น เขาก็ปล่อยมือของซ่างกวนปิงเอ๋อร์และเดินออกไปตัวคนเดียว
“ข้าจะไปกับเจ้า” ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ยืนขึ้นเช่นกัน ใบหน้าที่งดงามของเธอเฉยชาและสงบนิ่งราวกับน้ำในทะเลสาบ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าการร่ำเรียนอยู่ที่นี่แบบสบายๆ ไร้ปัญหานั้นอาจไม่ง่ายอย่างที่คิด ดูแล้วมีคนจำนวนมากกว่าสิบด้วยซ้ำ เช่นนี้เธอจะปล่อยโจวเหว่ยชิงไปคนเดียวได้อย่างไร!
โจวเหว่ยชิงยิ้มน้อยๆ และไม่ตอบกลับขณะที่เขาก้าวไปหาอีกฝ่ายช้าๆ
“ลูกพี่ รอข้าด้วย! ฮึ่ม คนพวกนี้ยอดเยี่ยมจริงๆ! กลายเป็นสุนัขของขุนนางเพียงเพื่อศาสตรามณียุทธ์กับทักษะกักเก็บ” สีหน้าของโข่วรุ่ยเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองขณะที่เดินออกจากที่นั่งของตนไปเช่นเดียวกัน
ยิ่งไปกว่านั้น บางสิ่งก็ทำให้ทุกคนประหลาดใจอย่างมาก นอกจากโข่วรุ่ยแล้วยังมีนักเรียนใหม่อีก 2 คนเดินออกมาจากกลุ่มนักเรียนสามัญชนเพื่อยืนอยู่เคียงข้างกับโจวเหว่ยชิง คนหนึ่งคือหม่าฉุนผู้ซึ่งมีใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม ส่วนอีกคนเป็นชายหนุ่มที่มีรูปร่างธรรมดา ใบหน้าดูค่อนข้างเย็นชาและห่างเหิน
เย่โหลวหัวเราะอย่างเย็นชาและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าน้องใหม่ของปีนี้จะกล้าแสดงออกไม่เบา! ดีมาก นี่เป็นโอกาสดีที่จะสั่งสอนน้องใหม่ทุกคนเกี่ยวกับกฎของโรงเรียนทหารเฟยหลี่ ติงเฉิน อัดพวกมันให้น่วม! อย่าหยุดจนกว่าจะแน่ใจว่าพวกมันใกล้ตาย แต่อย่าเผลอฆ่าพวกมันล่ะ ฮึ่ม! ข้าจะรอดูว่ามีใครกล้าขัดขืนและอวดดีใส่ข้าอีก!”
รุ่นพี่ที่เชิญโจวเหว่ยชิงออกไปก่อนหน้านี้คือติงเฉินที่เย่โหลวเรียกออกมา เมื่อเห็นโจวเหว่ยชิงเดินออกไปโดยไร้ซึ่งการขัดขืน เขาก็ถอนหายใจเบาๆ และกล่าวว่า “น้องใหม่ ขอโทษนายน้อยโหลวซะ ข้าเคยได้ยินเรื่องการต่อสู้ของเจ้ากับซ่างหลางเมื่อวันก่อนแล้ว ด้วยความสามารถของเจ้า ลูกพี่ใหญ่แห่งตระกูลเย่ไม่อยากสร้างปัญหาให้เจ้าโดยไม่จำเป็นหรอก”
โจวเหว่ยชิงยิ้มให้เขาแล้วตบรอยยับบนเครื่องแบบของอีกฝ่ายด้วยท่าทีสง่างาม เขาพูดอย่างเฉยชาว่า “ไม่จำเป็นต้องพูดพล่ามอีก เจ้าไม่ได้บอกหรือว่าตอนนี้รับเงินจากพวกเขามาแล้วเลยไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทำตามคำสั่ง? งั้นก็เอาเลยสิ บอกตามตรงว่าในสายตาของข้า ระดับของเจ้าต่ำกว่าซ่างหลางด้วยซ้ำ ในฐานะลูกผู้ชาย ถ้าเจ้าไม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยลำแข้งของตนเอง เจ้าจะยังมีคุณค่าให้ชื่นชมอยู่อีกหรือ?”
ใบหน้าของติงเฉินเปลี่ยนสีทันที เขากล่าวอย่างเกรี้ยวกราด “เด็กใหม่ เจ้าอย่าได้ใจเกินไปนัก! ทุกคนล้วนต้องพบปัญหาและมีความยากลำบากที่ต้องเผชิญ เจ้าก็เป็นจ้าวมณีเช่นกัน ดังนั้นเจ้าน่าจะรู้ปัญหาที่พวกเราประสบอยู่”
โจวเหว่ยชิงกล่าวว่า “ทั้งหมดที่ข้ารู้คือข้ามีมือและเท้าของตัวเอง ถ้าข้าต้องการเงิน ข้าก็จะขยันทำงานหนักและหาเงินมาใช้จ่าย ไม่ใช่ยอมเป็นสุนัขรับใช้ให้พวกขุนนาง แต่เพราะเจ้าเลือกจะเป็นสุนัข ตอนนี้เจ้าจึงไม่จำเป็นต้องเสแสร้งต่อหน้าข้าและทำตัวเป็นคนดีแล้ว”
คำพูดของเขาทำให้รุ่นพี่นักเรียนสามัญชนหลายสิบคนเผยสีหน้าขุ่นเคืองออกมา ตอนแรกพวกเขาค่อนข้างกังวลที่จะแสดงตนว่าอยู่ภายใต้อำนาจตระกูลเย่ต่อหน้านักเรียนในโรงเรียน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้พวกเขาก็เริ่มมีอารมณ์คุกกรุ่นเพราะคำพูดของโจวเหว่ยชิง ทุกคนจึงรวมตัวกันเพื่อจะเอาชนะเขาให้ได้ พริบตาต่อมาแต่ละคนก็ปลดปล่อยมณีพลังออกมาอย่างรวดเร็ว
“พูดได้ดี! เพราะเจ้ากลายเป็นสุนัขไปแล้ว ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป!” หม่าฉุนกล่าวอยู่ด้านข้าง เมื่อมองไปที่โจวเหว่ยชิง เขาพูดต่อ “ อย่าเข้าใจผิด ข้าไม่ได้ช่วยเจ้า ข้าแค่ทนไม่ได้ที่เห็นขุนนางพวกนี้ทำตัวน่ารังเกียจ ใช้สิทธ์อะไรมากดขี่พวกเรานักเรียนสามัญชน ฮึ่ม! บิดาจะไม่ยอมจำนนกับคนพวกนี้หรอก!”
โจวเหว่ยชิงยิ้มและพูดว่า “ไม่เลว ไม่เลว เจ้าเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง อย่างน้อยก็อย่าให้ขนาดตัวของเจ้าทำให้ข้าผิดหวังล่ะ”
เย่โหลวกล่าวอย่างอดรนทนไม่ไหว “ติงเฉิน เจ้ายังรออะไรอยู่อีก?!”
ติงเฉินหายใจเข้าลึก แสงเย็นยะเยือกผุดวาบขึ้นมาในดวงตาของเขาขณะที่ก้าวไปข้างหน้าและปล่อยหมัดชกไปที่โจวเหว่ยชิง การกระทำของเขาเรียบง่ายแต่ทว่าได้รับการฝึกฝนและขัดเกลามาเป็นอย่างดี ราวกับว่าเขาเป็นสนิมเหล็กที่ได้รับการขัดเงาจนใส หมัดนั้นพุ่งเข้าหาโจวเหว่ยชิงพร้อมกับพลังความแข็งแกร่งที่ซ่อนอยู่ภายใน ที่ข้อมือขวาของเขามีหยกน้ำแข็ง 3 ดวงกำลังหมุนวนอยู่ เขาเป็นจ้าวมณีสวรรค์ที่มีมณียุทธ์เพิ่มความแข็งแกร่งเช่นเดียวกับโจวเหว่ยชิงและยังเป็นมณี 3 ดวงอีกด้วย! เนื่องจากตระกูลเย่เป็นผู้ทาบทามเขามาเป็นผู้นำของเหล่านักเรียนสามัญชนตระกูลเย่ ติงเฉินจึงเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขาอย่างไม่ต้องสงสัย
โจวเหว่ยชิงทำตามคำเรียกร้องของอีกฝ่าย เขายกหมัดขึ้นต่อยไปข้างหน้าเช่นกัน หลุมดำพลังปราณทั้ง 12 แห่ง ณ จุดตายของเขาหมุนวนด้วยความเร็วสูงสุดขณะที่พลังปราณสวรรค์ของเขาพุ่งทะลักขึ้นมา นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงได้ลุกออกมาจากที่นั่ง
*ตูม* หมัดทั้งสองปะทะกัน โจวเหว่ยชิงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับเขยื้อนในขณะที่ติงเฉินสะดุดถอยหลังไป 3 ก้าวก่อนจะเอนไปมาคล้ายทรงตัวไม่ไหว สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปทันที
ควรรู้ว่าพลังปราณสวรรค์ของติงเฉินนั้นได้รับการฝึกฝนจนถึงขั้นทะลวงพิภพระดับที่ 2 แล้ว นั่นสูงกว่าโจวเหว่ยชิงถึง 2 ระดับ! อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งทางกายภาพและพลังของเขากลับเทียบโจวเหว่ยชิงแทบไม่ติด ในขณะนี้เขารู้สึกว่าหมัดขวาของตนชาจนไร้ความรู้สึกไปหมด เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ที่มีมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่ง 3 ดวงเหมือนกันและทั้งสองฝ่ายต่างไม่ได้ใช้ศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะที่กักเก็บไว้ ผลลัพธ์เช่นนี้จะไม่ทำให้เขาตกใจได้อย่างไร ทว่านั่นก็ยังไม่ใช่จุดจบของเรื่องนี้เพราะสิ่งที่ตามมากลับยิ่งทำให้เขาตกใจมากขึ้นไปอีก หลังจากทำการแลกหมัดและโจมตีใส่เขาจนกระเด็นกลับมาได้แล้ว โจวเหว่ยชิงก็หายตัวไปทันที เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ตรงหน้าติงเฉินแล้ว ขาขวาของเขาพลันยกขึ้นและฟาดลงไปอีกครั้งเหมือนขวานผ่าฟืนขนาดใหญ่ยักษ์ที่น่าสะพรึงกลัว แน่นอนว่าโจวเหว่ยชิงเพิ่งใช้ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาของเขามายืนในตำแหน่งที่เหมาะสมเพื่อใช้พลังขาขวาปีศาจโจมตีต่อ ตอนนี้พิธีเปิดกำลังจะเริ่มขึ้นแล้ว เขาจึงต้องการแสดงให้ทุกคนเห็นถึงความสามารถของตนเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้กับผู้ที่ต้องการหาเรื่องเขาหรือซ่าง กวนปิงเอ๋อร์ ในการทำเช่นนั้น เขาจะต้องเอาชนะอีกฝ่ายอย่างรวดเร็วเพื่อให้ได้ผลดีที่สุด
ทักษะเคลื่อนย้ายพริบตาไม่ได้แค่เพียงเร็ว แต่มันเร็วมากๆ ราวกับว่าในทันทีที่ติงเฉินสะดุดไปข้างหลัง ขาของโจวเหว่ยชิงก็อยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ไม่ต้องพูดถึงความจริงที่ว่าความเร็วไม่ใช่จุดแข็งของติงเฉิน ถึงแม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น เขาก็ไม่น่าจะหลบโจวเหว่ยชิงพ้นแน่ๆ คิดได้ดังนั้นเขาจึงทำแค่เพียงยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมารับขาขวาของโจวเหว่ยชิงเอาไว้อย่างไร้ทางเลือก
“ติงเฉินถูกกำจัดแล้ว” ซ่างหลางซึ่งนั่งอยู่ท่ามกลางนักเรียนสามัญชนคนอื่นๆ ถอนหายใจขณะที่เขาส่ายหัว เขาเคยสัมผัสกับพลังของขาขวาของโจวเหว่ยชิงมาด้วยตัวเองและรู้ดีว่ามันแข็งแกร่งและมีพลังทำลายล้างสูงเพียงใด ในความคิดของเขา ขาข้างนั้นน่าจะเป็นศาสตรามณียุทธ์หรือทักษะที่กักเก็บไว้ พลังที่น่ากลัวเช่นนี้ไม่ใช่สิ่งที่ติงเฉินจะเอาชนะได้ง่ายๆ
*ตูมมม*
“อ๊ากกกกก” เสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวดดังก้องไปทั่วทั้งห้องประชุม ร่างของติงเฉินถูกฟาดลงไปกองกับพื้นแข็งๆ เช่นเดียวกับที่ซ่างหลางคาดไว้เอา ‘ติงเฉินถูกกำจัดแล้ว’ แขนทั้งสองข้างที่พยายามขัดขวางขาขวาของโจวเหว่ยชิงเอาไว้หักเป็นสองท่อน ในเวลาเดียวกัน แรงปะทะนั้นยังส่งผลให้กระดูกร้าวลงมาถึงหัวไหล่ เขาไหล่หักทันทีพร้อมกับซี่โครงทั้ง 5 ซี่! ส่วนขาของก็หักเช่นกัน ถ้าไม่ใช่เพราะโจวเหว่ยชิงยั้งแรงไว้ไม่ใช้กำลังเต็มที่และเบี่ยงตัวเฉียดไปทางด้านข้างในช่วงสุดท้าย หัวของติงเฉินก็คงจะแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ แล้ว
อึดใจต่อมา ภายในรัศมี 50 เมตรที่มีโจวเหว่ยชิงเป็นจุดศูนย์กลาง ทุกคนต่างก็ตกอยู่ในความเงียบ แม้แต่เย่โหลวที่ร้องขู่ออกมาอย่างหยิ่งผยองเมื่อครู่ก็นิ่งเงียบราวกับว่ามีก้อนอะไรติดคอ ใบหน้าของเขาซีดเผือดเมื่อมองไปยังภาพเหตุการณ์ตรงหน้า
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าในการปะทะกันระหว่างมณียุทธ์ประเภทความแข็งแกร่งบริสุทธิ์ด้วยกันนั้น ติงเฉินจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างรวดเร็ว แน่นอนพวกเขาก็ไม่คาดคิดด้วยว่าโจวเหว่ยชิงจะลงมือได้โหดเหี้ยมเช่นนี้ ขาข้างเดียวของเขาเกือบทำให้ติงเฉินพิการไปตลอดชีวิต! เลือดสดๆ ไหลทะลักออกมาจากปากของติงเฉินในขณะที่เขากระตุกอยู่บนพื้นสักพักก่อนจะสลบไป
รุ่นพี่นักเรียนสามัญชนคนอื่นๆ ที่อยู่ข้างหลังติงเฉินต่างก็ยืนอยู่กับที่ด้วยความตกตะลึง ไม่มีใครกล้าเปิดศึกโจมตีโจวเหว่ยชิงอีก
เด็กหนุ่มท่าทางเย็นชาที่ยืนอยู่ข้างหม่าฉุนก่อนหน้านี้พลันหรี่ตาลงด้วยความประหลาดใจ
ซ่างกวนปิงเอ๋อร์หลับตาลงก่อนที่ขาขวาปีศาจของโจวเหว่ยชิงจะฟาดโดนแขนของติงเฉินเสียอีก เธอรู้จักพลังของโจวเหว่ยชิงดีที่สุดและรู้ดีว่าการโจมตีที่เสริมพลังด้วยขาขวาของเขาโดยตรงย่อมไม่นำไปสู่จุดจบที่ดีแน่ ตอนที่พวกเขายังอยู่ในหน่วยเกาทัณฑ์สวรรค์ แม้แต่จ้าวมณียุทธ์ที่มีมณี 7 ดวง อย่างหัวเฟิงก็ไม่กล้าปะทะกับขาขวาปีศาจของโจวเหว่ยชิงโดยตรง ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมันไม่ใช่สิ่งที่จ้าวมณีทั่วไปสามารถรับมือได้ เมื่อวานนี้หมิงฮัวเองก็ยังใช้วิธีการต่อสู้แบบที่ไม่ให้ขาขวาของเขาสัมผัสเธอได้โดยตรง นั่นถึงจะเป็นรูปแบบการต่อสู้ที่ดีที่สุดในการรับมือกับเขา
เมื่อมองไปยังติงเฉินที่ล้มลงบนพื้น โจวเหว่ยชิงก็ไม่ได้รู้สึกเห็นอกเห็นใจใดๆ “เจ้ายังกล้าเรียกตัวเองว่าเป็นจ้าวมณีสวรรค์อยู่อีกหรือ? ครอบครัว ‘ไข่ตะพาบ’ พวกนั้นปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างดีจริงๆ ขายตัวให้พวกเขาย่อมต้องดีอยู่แล้ว ถ้าข้ามองไม่ผิด เจ้ามีตราประทับธาตุมืดในตัวด้วย เพราะฉะนั้นตอนนี้เจ้าก็เป็นแค่ทาสคนหนึ่ง ในอนาคตเจ้าไม่ควรมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าอีก ไม่เช่นนั้น ไม่ว่าเจ้าจะรักษากระดูกของเจ้าได้อย่างไร ข้าก็จะหักมันอีกครั้ง! ข้าไม่ว่าอะไรหากเจ้าอยากจะเป็นสุนัข แต่ถ้าสุนัขมันมาเห่าต่อหน้าข้า ก็อย่าโทษว่าข้าชั่วช้าก็แล้วกัน”
หลังจากพูดจบ เขาก็หันไปมองรุ่นพี่สามัญชนตระกูลเย่คนอื่นๆ ที่ยังคงยืนอยู่ข้างหลังติงเฉิน “พวกเจ้าที่อ่อนแอแต่ใจเต็มใจที่จะเป็นสุนัขนั้น การทุบตีพวกเจ้าก็เหมือนกับทำให้เท้าของข้าสกปรก”
พริบตาต่อมาร่างของเขาหายไปอีกครั้งเมื่อเปิดใช้งานทักษะเคลื่อนย้ายพริบตา คราวนี้เขาไปปรากฏตัวต่อหน้าเย่โหลว เย่โหลวตกใจมากจนสะดุดถอยหลังพร้อมกับใบหน้าซีดเซียว เขาล้มลงใช้ก้นกระแทกพื้นเสียงดัง น้ำเสียงของเขาฟังดูสั่นสะท้านอย่างควบคุมไม่อยู่ “เจ้า…เจ้าจะทำอะไร?” ในสายตาของเขา โจวเหว่ยชิงดูเหมือนพวกป่าเถื่อนที่ยากจะต่อกร ราวกับว่าเขาเป็นปีศาจร้ายผู้นำมาซึ่งภัยพิบัติ
โจวเหว่ยชิงยิ้มจางๆ ขณะที่นั่งยองๆ และตบลงบนใบหน้าซีดเซียวของเขาเบาๆ “ใจเย็นน่า ข้าไม่ทำอะไรเจ้าหรอก กลับไปบอกลูกพี่ใหญ่ของเจ้า…คราวหน้า หาไข่ใบที่ดีกว่านี้มาให้ข้าจะดีกว่า อย่าเอาคนที่ไร้ประโยชน์เช่นเจ้ามาอีก ไสหัวไปซะ!!” เดิมทีเย่โหลวคิดจะข่มขู่ครั้งสุดท้ายก่อนจากไป แต่เมื่อเห็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มของโจวเหว่ยชิง หัวใจของเขาก็พลันจับตัวกันเป็นก้อนน้ำแข็ง เขาสั่นสะท้าน ไม่กล้าพูดอะไรออกมาอีก จากนั้นก็พาลูกน้องทั้ง 2 คนหลบหนีไปด้วยกัน
โจวเหว่ยชิงลุกขึ้นยืนอีกครั้ง มองไปยังนักเรียนใหม่อีก 20 คนในห้องเรียนของเขาและพูดอย่างเย็นชาว่า “ข้าไม่สนใจและไม่อาจทำอะไรกับรุ่นพี่ที่ตัดสินใจเลือกไปแล้วได้ แต่ทว่าพวกเราจะต้องอยู่ห้องเดียวกันไปอีก 4 ปี ถ้าพวกเจ้ากล้าก้มหัวและยอมจำนนต่อตระกูลขุนนางใดๆ เจ้าก็ควรไสหัวไปให้พ้นหน้าข้าและอย่าให้ข้าเจอเจ้าในชั้นเรียนเด็ดขาด มิฉะนั้นก็จงดูติงเฉินเป็นตัวอย่าง”
“เจ้ากล้าพูดแบบนั้นได้อย่างไร? เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาสั่งพวกเราแบบนั้น?!” เด็กหนุ่มท่าทางเย็นชาที่ยืนอยู่ข้างๆ หม่าฉุนกล่าวอย่างเคร่งขรึม “เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาตัดสินชะตากรรมของผู้อื่น? จะเลือกเส้นทางไหนก็เป็นเรื่องของพวกเรา เจ้าคิดว่าคำพูดของเจ้าเป็นกฎในโรงเรียนหรือ? แม้ว่าเราจะอยากเป็นสุนัขให้กับขุนนาง แต่นั่นก็เป็นทางเลือกของเราเอง”
………………………